ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ร่างกายและความเจ็บปวด ในมุมมองทางมานุษยวิทยา ผ่านงาน ของ Elaine Scarry โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ผมคิดว่า ผมก็กำลังแปลงความเจ็บปวดให้กลายเป็นพลังสร้างสรรค์ ผมไม่พูดแต่ผมเขียน หนังสือ The Body in Pain: The Making and Unmaking of the World (1985) โดย Elaine Scarry สำรวจประสบการณ์ของความเจ็บปวด (pain) และบทบาทของมันในกระบวนการสร้างและทำลายโลกของมนุษย์ โดยเน้นว่าความเจ็บปวดไม่เพียงแต่ส่งผลต่อร่างกายและจิตใจ แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญในบริบทต่าง ๆ เช่น การทรมาน (torture) และการสร้างสรรค์งานศิลปะ ภาษา และวัฒนธรรม แนวคิดสำคัญที่เขาใช้ในการอธิบายปรากฏการณ์นี้เช่น 1. ความเจ็บปวดคือความไร้ภาษา Scarry อธิบายว่า ความเจ็บปวดทำให้ผู้ที่ประสบกับมัน สูญเสียความสามารถในการสื่อสาร และผู้ที่มองเห็นหรือรับรู้ความเจ็บปวดของผู้อื่นก็ไม่สามารถเข้าใจได้อย่างเต็มที่ ความเจ็บปวดจึงกลายเป็นสิ่งที่ “ไม่สามารถแปลเป็นภาษา” (unsharable) เพราะมันไม่มีการแสดงออกที่แท้จริงในเชิงภาษา ดังนั้นมันสีสิ่งที่เรียกว่าภาวะความเงียบในความเจ็บปวด Scarry ชี้ให้เห็นว่าผู้ที่เจ็บปวดอย่างหนักมักหมดความสามารถในการใช้ภาษา ความเจ็บปวดจึง “ทำลาย” ภาษาไปพร้อม ๆ กับทำลายตัวตนด้วย 2. ความเจ็บปวดกับการทำลายโลก (Unmaking of the World) การทรมานเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้ความเจ็บปวดเพื่อแยกแยะและลดทอนความเป็นมนุษย์ Scarry ชี้ว่า ผู้ทรมานใช้ความเจ็บปวดในการทำลายโลกทางความคิดและความสัมพันธ์ของผู้ถูกทรมานลงไปอย่างสิ้นเชิง 3. ความเจ็บปวดกับการสร้างโลก (Making of the World) ในขณะที่ความเจ็บปวดทำลายโลกมนุษย์ความเจ็บปวดยังถูกใช้การสร้างสรรค์ (เช่น ศิลปะ ภาษา และวัฒนธรรม) เพื่อฟื้นฟูโลกและเยียวยาตัวตนของตนเอง ดังเช่น ความคิดสร้างสรรค์ของมนุษย์ เช่น การสร้างวรรณกรรมหรือสิ่งประดิษฐ์ คือกระบวนการแปลงความเจ็บปวดให้กลายเป็นสิ่งที่มีความหมาย กระบวนการฟื้นฟูผ่านการเล่าเรื่อง เช่น งานวรรณกรรมและการสร้างสรรค์ช่วยฟื้นฟูภาษาที่สูญเสียไป และทำให้ผู้คนกลับมามีความสามารถในการสร้างความหมายอีกครั้ง ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือ เช่น 1. การทรมาน (Torture) Scarry ใช้ตัวอย่างจากประวัติศาสตร์และการเมืองเพื่อแสดงให้เห็นว่าการทรมานเป็นการใช้ความเจ็บปวดในการควบคุมอำนาจ ดังนั้น การทรมานไม่ได้เพียงทำลายร่างกาย แต่ยังลบล้างความเป็นตัวตนของเหยื่อ ดังเช่น ตัวอย่างจากการสอบสวนและทรมานทางการเมือง Scarry ยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ความเจ็บปวดเพื่อควบคุมความคิดและพฤติกรรมของเหยื่อ เช่น การทรมานในสงครามเย็น หรือในระบอบเผด็จการ การใช้ความเจ็บปวดเป็นเครื่องมือ ซึ่งผู้ทรมานมักใช้ความเจ็บปวดเพื่อทำลายความสามารถของเหยื่อในการสร้างความหมายหรือยืนยันความเป็นตัวเอง เช่น การปฏิเสธไม่ให้เหยื่อพูดในภาษาของตัวเอง การบังคับสารภาพ การทรมานบีบให้เหยื่อ “สร้างคำสารภาพ” ซึ่ง Scarry ชี้ว่านี่เป็นตัวอย่างของการทำลายโลกเก่าของเหยื่อและสร้างความจริงเทียมที่ผู้ทรมานกำหนดขึ้น 2. ปรากฏการณ์ของสงคราม (War) ความเจ็บปวดจากสงครามแสดงให้เห็นถึงการทำลายล้างในระดับสังคม แต่ในขณะเดียวกัน สงครามก็กระตุ้นให้เกิดการสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรม ผ่าน วรรณกรรมและศิลปะเพื่อเยียวยาความเสียหาย ตัวอย่างเช่น การใช้ระเบิดนิวเคลียร์ในสงครามโลกครั้งที่ 2 โดย Scarry เชื่อว่าการใช้ระเบิดและอาวุธที่ทำลายล้างสูงแสดงถึงการทำลายโลกอย่างสมบูรณ์แบบไม่เพียงแค่ในแง่ทางกายภาพ แต่ยังรวมถึงจิตวิญญาณและความหมายของชีวิตในสังคม ดังนั้นความเจ็บปวดในสงครามมักถูกทำให้เป็นสิ่งที่มองไม่เห็น (invisible pain) เมื่ออยู่ในกรอบของอำนาจรัฐที่พยายามชอบธรรมต่อความรุนแรง 3. งานสร้างสรรค์ Scarry ยกตัวอย่างงานศิลปะ วรรณกรรม และวัฒนธรรมที่เกิดขึ้นจากความเจ็บปวด เช่น กวีที่เขียนบทกวีเพื่อสะท้อนความทุกข์ของตนเอง ตัวอย่างเช่น กวีนิพนธ์ของ Wilfred Owen ที่บรรยายถึงความเจ็บปวดและความสูญเสียในสงครามโลกครั้งที่ 1 กระบวนการสร้างสรรค์ในศิลปะและวรรณกรรม (Art and Literature) ตัวอย่างของงานเขียนและศิลปะที่เกิดจากความเจ็บปวด Scarry อ้างถึงงานเขียนในยุคสงคราม เช่น All Quiet on the Western Front ของ Erich Maria Remarque ที่สะท้อนความทุกข์ทรมานและสูญเสียของทหารในสนามรบ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงงานศิลปะที่เกิดขึ้นหลังการสูญเสีย เช่น ผลงานของ Pablo Picasso (Guernica) ที่สะท้อนความรุนแรงในสงครามกลางเมืองสเปน มุมมองที่น่าสนใจ เกี่ยวกับเรื่องความเจ็บปวดเช่น 1. ความเข้าใจเชิงปรัชญาและวัฒนธรรม หนังสือช่วยให้เราเข้าใจว่าความเจ็บปวดไม่ใช่แค่ประสบการณ์ส่วนบุคคล แต่ยังเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองด้วย 2. การเชื่อมโยงระหว่างความทุกข์และความสร้างสรรค์ Scarry เสนอว่า แม้ความเจ็บปวดจะทำลายล้าง แต่มนุษย์สามารถใช้มันเป็นแรงผลักดันในการสร้างความหมายใหม่ให้กับชีวิตได้ 3.แนวคิดของ Scarry เกี่ยวกับ “โลก” (World) Scarry เชื่อว่าโลกของมนุษย์ไม่ได้หมายถึงแค่พื้นที่ทางกายภาพ แต่ยังรวมถึง โลกแห่งความหมาย ซึ่งสร้างขึ้นจากภาษา ความคิด และความสัมพันธ์ แม้ความเจ็บปวดจะทำลายโลก แต่ความสามารถในการสร้างสรรค์ เช่น ศิลปะและวรรณกรรม คือวิธีการที่มนุษย์สร้างโลกขึ้นใหม่ 4. แนวคิดเรื่องการทำลายและการสร้างโลก ดังเช่น การทำลายโลก คือ ความเจ็บปวดในรูปแบบต่าง ๆ เช่น การทรมานหรือสงคราม ทำให้ผู้ประสบเหตุสูญเสียความสามารถในการสื่อสารหรือรักษาความสัมพันธ์กับโลกแห่งความหมาย ส่วนการสร้างโลกใหม่ คือ มนุษย์สามารถฟื้นฟูโลกแห่งความหมายได้ผ่านการสร้างสรรค์ เช่น การบอกเล่าประสบการณ์ผ่านงานเขียน การสร้างวัตถุทางวัฒนธรรม หรือแม้แต่การฟื้นฟูชุมชน ดังนั้น การสร้างและทำลายโลกอยู่ในมือของมนุษย์ 5. ความเจ็บปวดทำให้ “ความจริง” ถูกควบคุมโดยผู้มีอำนาจในบริบทของการทรมาน ผู้ทรมานใช้ความเจ็บปวดในการสร้าง “ความจริงเทียม” ที่ทำให้เหยื่อยอมจำนนต่อการตีความของพวกเขา 6. ความเจ็บปวดทำให้มนุษย์กลายเป็น “สิ่งไม่มีตัวตน” (Dehumanization) Scarry ชี้ว่า ความเจ็บปวดไม่เพียงทำลายร่างกาย แต่ยังทำให้คนสูญเสียตัวตนในสายตาของผู้อื่นและตนเอง 7. ความเจ็บปวดคือความไร้ภาษา ความทุกข์ทรมานอย่างหนักแสดงถึงการไม่สามารถแปลความเจ็บปวดออกมาเป็นคำพูด ทำให้มนุษย์กลายเป็นสิ่งที่ไม่สามารถถูกเข้าใจได้ 8. ความเจ็บปวดเป็นทั้งความทุกข์ส่วนบุคคลและความรุนแรงทางสังคม หนังสือเล่มนี้เน้นให้เห็นว่าความเจ็บปวดไม่ได้จำกัดอยู่แค่ร่างกายของบุคคล แต่ยังเป็นเครื่องมือของโครงสร้างอำนาจ เช่น การเมืองและสงคราม 9. มนุษย์มีความสามารถที่จะเปลี่ยนความเจ็บปวดให้เป็นพลังสร้างสรรค์ แม้ว่าความเจ็บปวดจะทำลายล้าง แต่มนุษย์สามารถใช้มันเป็นแรงผลักดันในการสร้างภาษา วัฒนธรรม และศิลปะ 10. การเข้าใจความเจ็บปวดคือการเข้าใจอำนาจ การวิเคราะห์ความเจ็บปวดในหนังสือช่วยเปิดเผยกลไกของอำนาจที่ใช้ควบคุมผู้คนผ่านการทำลายและสร้างโลกไปพร้อมๆกัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...