ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มองความเป็นแม่และอนามัยเจริญพันธ์ุ ผ่านมุมมองมานุษยวิทยาวิทยาการแพทย์ จาก งานของ Wallace โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือ Anthropologies of Global Maternal and Reproductive Health (2021) โดย Lauren J. Wallace เป็นหนังสือที่นำเสนอการศึกษาด้านสุขภาพมารดาและการเจริญพันธุ์ในบริบทโลกาภิวัตน์ โดยใช้มุมมองทางมานุษยวิทยา หนังสือเล่มนี้เจาะลึกถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง วัฒนธรรม และสังคมที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพมารดาและระบบอนามัยเจริญพันธุ์ทั่วโลก พร้อมทั้งสำรวจผลกระทบจากนโยบาย การพัฒนา และการเปลี่ยนแปลงระดับโลกที่ส่งผลต่อระดับชุมชนและชีวิตปัจเจกบุคคล ความสำคัญของหนังสือ ช่วยให้เข้าใจถึงความเชื่อมโยงระหว่างสุขภาพมารดาและการเจริญพันธุ์กับบริบททางเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ส่งเสริมการตระหนักถึงความหลากหลายทางวัฒนธรรมในการวางแผนนโยบายด้านสุขภาพ รวมทั้งช่วยให้นักวิจัย นักพัฒนา และผู้กำหนดนโยบายตระหนักถึงผลกระทบของแนวทางปฏิบัติระดับโลกที่มีต่อชุมชนท้องถิ่น หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับผู้ที่สนใจประเด็นด้านสุขภาพโลก มานุษยวิทยาการแพทย์ และการพัฒนาสังคมในบริบทของความยุติธรรมทางเพศและสุขภาพ เนื้อหาสำคัญในหนังสือปนะกอบด้วย 1. มุมมองทางมานุษยวิทยาหนังสือเน้นการวิเคราะห์ความสัมพันธ์เชิงอำนาจ ความไม่เท่าเทียมทางสังคม และบทบาทของรัฐและองค์กรพัฒนาเอกชนในระบบสุขภาพอนามัยเจริญพันธุ์ 2. กรณีศึกษาที่หลากหลาย หนังสือรวบรวมกรณีศึกษาจากภูมิภาคต่าง ๆ เช่น แอฟริกา เอเชีย และละตินอเมริกา เพื่อแสดงให้เห็นถึงความแตกต่างของวัฒนธรรมและโครงสร้างทางสังคมในแต่ละพื้นที่ เช่น การเข้าถึงบริการสุขภาพมารดาในพื้นที่ชนบท หรือความเชื่อเกี่ยวกับการตั้งครรภ์และการคลอดในบริบทท้องถิ่น 3. แนวคิดสำคัญ Reproductive Justice (ความยุติธรรมด้านอนามัยเจริญพันธุ์) การวิเคราะห์ว่าผู้หญิงแต่ละกลุ่มมีความสามารถหรือข้อจำกัดในการควบคุมร่างกายของตนเองอย่างไร Global Health Governance ผลกระทบของนโยบายโลกาภิวัตน์ที่ส่งผลต่อการเข้าถึงบริการสุขภาพในระดับท้องถิ่น Embodied Experiences: การตั้งครรภ์และการเจริญพันธุ์ในฐานะประสบการณ์ที่สะท้อนวัฒนธรรมและโครงสร้างสังคม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจาก “Anthropologies of Global Maternal and Reproductive Health” นำเสนอกรณีศึกษาที่แสดงถึงความซับซ้อนของบริบทสังคมและวัฒนธรรมในประเด็นสุขภาพมารดาและการเจริญพันธุ์ทั่วโลก ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้ เช่น 1. กรณีศึกษาใน Sub-Saharan Africa: มีการอธิบายว่าสตรีในชนบทของแอฟริกามักประสบปัญหาในการเข้าถึงบริการสุขภาพมารดา เนื่องจากการขาดแคลนบุคลากรทางการแพทย์ โครงสร้างพื้นฐานที่ไม่เพียงพอ และความเชื่อดั้งเดิมที่ส่งผลต่อการตัดสินใจรับการรักษา การคลอดบุตรในชนบทของ Sub-Saharan Africa บริบทในหลายประเทศของ Sub-Saharan Africa เช่น เคนยาและยูกันดา ผู้หญิงในชนบทมักเผชิญกับความท้าทายในการเข้าถึงบริการสุขภาพมารดา เช่น คลินิกฝากครรภ์หรือโรงพยาบาล ประเด็นปัญหาเกิดจากโครงสร้างพื้นฐานไม่เพียงพอ: ถนนขรุขระหรือขาดพาหนะที่เหมาะสมทำให้การเดินทางไปยังสถานพยาบาลเป็นเรื่องยาก รวมทั้งการขาดบุคลากรทางการแพทย์ โดยเฉพาะโรงพยาบาลหรือศูนย์สุขภาพในพื้นที่ชนบทมักมีเจ้าหน้าที่จำกัด หรือบางครั้งไม่มีหมอผู้เชี่ยวชาญด้านการคลอดเลย อิทธิพลขอฃความเชื่อดั้งเดิม ในบางชุมชน มีความเชื่อเกี่ยวกับการคลอดในบ้านที่ผูกพันกับวัฒนธรรม เช่น ความเชื่อว่าการคลอดในโรงพยาบาลอาจนำโชคร้ายมาสู่ครอบครัว การเตัวอย่างข้าไปหนุนเสริมหรือแก้ปัญหาดังกล่าว เช่น ตัวอย่างโครงการช่วยเหลือจาก NGOs ที่จัดตั้ง “Birth Waiting Houses” ใกล้โรงพยาบาล เพื่อให้ผู้หญิงที่กำลังจะคลอดสามารถรออยู่ในที่พักที่ปลอดภัยก่อนคลอดได้ ซึ่งแม้โครงการดังกล่าวจะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตของมารดาได้ แต่ก็ยังเกิดคำถามเกี่ยวกับวิธีการที่ไม่คำนึงถึงความต้องการและความอ่อนไหว ทางวัฒนธรรมและมุมมองของผู้หญิงในพื้นที่ในการกำหนดนโยบายเพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว 2. โครงการอนามัยเจริญพันธุ์ในอินเดีย หนังสือกล่าวถึงโครงการที่เน้นการวางแผนครอบครัวและการใช้ยาคุมกำเนิด โดยตั้งคำถามถึงการละเลยความต้องการและมุมมองของผู้หญิงในท้องถิ่น โครงการควบคุมประชากรในอินเดีย ซึงบริบทในอินเดีย รัฐบาลได้ดำเนินโครงการวางแผนครอบครัวมาตั้งแต่ทศวรรษ 1950 เพื่อควบคุมประชากรที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะในชนบท ประเด็นปัญหาที่เกิดขึ้นคือการมุ่งเน้นเชิงนโยบาย และผลลัพธ์ เชิงปริมาณมากเกินไป โครงการจำนวนมากเน้นการแจกจ่ายยาคุมกำเนิดและการทำหมัน โดยไม่พิจารณาถึงผลกระทบต่อร่างกายหรือจิตใจของผู้หญิง รวมถึงพิจารณาปัจจัยที่เกี่ยวข้อง เช่น ความคาดหวังของครอบครัว ในหลายชุมชน โดยเฉพาะในพื้นที่ชนบท ผู้หญิงถูกกดดันให้มีลูกชายคนแรกก่อนที่จะพิจารณาใช้วิธีควบคุมการเจริญพันธุ์รวมถึงความไม่สมดุลของอำนาจระหว่างเพศชายกับหญิง สามีกับภรรยา เช่น ผู้หญิงอาจไม่มีสิทธิ์ในการตัดสินใจเกี่ยวกับร่างกายตนเอง เนื่องจากสามีหรือสมาชิกครอบครัวมีอิทธิพลมากกว่า การแก้ปัญหา หนึ่งในโครงการที่หนังสือเล่มนี้พูดถึงคือการพยายามปรับนโยบายให้เหมาะสมกับบริบท โดยเน้นการให้ความรู้และการสนับสนุนการเลือกอย่างอิสระแทนการบังคับ แม้การปรับปรุงจะช่วยลดความตึงเครียดระหว่างชุมชนและรัฐได้บางส่วน แต่ยังมีความจำเป็นในการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างและวัฒนธรรมบางอย่าง 3. บทบาทขององค์กรระหว่างประเทศ วิเคราะห์ว่าการแทรกแซงขององค์การอนามัยโลก (WHO) หรือ NGOs บางแห่ง อาจนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างแนวปฏิบัติระดับสากลกับค่านิยมในท้องถิ่น การใช้มาตรฐานระดับโลกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในหลายประเทศ เช่น ฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย การแทรกแซงด้านสุขภาพมารดามักได้รับอิทธิพลจากองค์กรระหว่างประเทศ เช่น WHO หรือ UNFPA ประเด็นปัญหาก็คือ ความขัดแย้งระหว่างมาตรฐานระดับโลกและท้องถิ่น เนื่องจากแนวทางขององค์กรระดับโลกอาจไม่ได้คำนึงถึงบริบททางศาสนาและวัฒนธรรมในท้องถิ่น เช่น กฎหมายห้ามทำแท้งในฟิลิปปินส์ ที่สวนทางกับเป้าหมายการลดการเสียชีวิตของมารดา รวมทั้งการขาดความเข้าใจในความเปราะบางและอ่อนไหวต่อบริบททางสังคมและวัฒนธรรม ในบางโครงการ องค์กรระดับโลกเน้นเป้าหมายเชิงตัวเลข เช่น การลดอัตราการเสียชีวิตของมารดา แต่ละเลยความต้องการและมุมมองเชิงวัฒนธรรม การแก้มีไขปัญหา เช่น มีการพัฒนาโครงการที่ปรับใช้แนวทางการดูแลแบบผสมผสาน เช่น การฝึกอบรมหมอตำแยพื้นบ้านให้ทำงานร่วมกับระบบสุขภาพ เกิดการผสานความร่วมมือระหว่างความรู้สมัยใหม่และความรู้ดั้งเดิมช่วยสร้างความไว้วางใจในชุมชนและปรับปรุงคุณภาพการบริการ แนวคิดที่ได้จากตัวอย่างเหล่านี้ สะท้อนให้เห็นการดูแลสุขภาพมารดาและอนามัยเจริญพันธุ์ไม่ใช่เพียงเรื่องของการแพทย์ แต่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมือง รวมทั้งการเข้าใจบริบทวัฒนธรรมเป็นสิ่งจำเป็นในการออกแบบและดำเนินโครงการ โครงการระดับโลกควรมีความยืดหยุ่น และเปิดรับความคิดเห็นของชุมชนในพื้นที่ หนังสือเล่มนี้ช่วยให้ผู้อ่านเห็นมุมมองที่ซับซ้อนของระบบสุขภาพและการเจริญพันธุ์ทั่วโลก พร้อมนำเสนอกลยุทธ์การแก้ไขปัญหาที่ใส่ใจความหลากหลายและความเป็นธรรม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...