ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

มานุษยวิทยาเศรษฐกิจและการนำไปใช้ในการศึกษา มองผ่านงานของMarcel Mauss เรื่อง The Gift โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

งานที่ใช้เป็นตัวตั้งต้น ให้นักศึกษาคิดกับระบบการรักษาในโรงพยาบาล การซื้อประกันสุขภาพ ประกันชีวิต การจ่ายค่าเทอมการเรียน การเลี้ยงวันเกิด และอื่นๆ เตรียมสำหรับวิชามานุษยวิทยาเศรษฐกิจในแต่ละสัปดาห์ หนังสือ The Gift: The Form and Reason for Exchange in Archaic Societies(1925) โดย Marcel Mauss หนังสือ The Gift ถือเป็นงานคลาสสิกที่วิเคราะห์ระบบการแลกเปลี่ยนในสังคมโบราณ โดยMarcel Mauss ชี้ให้เห็นว่าการให้ของขวัญในชุมชนดั้งเดิมไม่ได้เป็นเพียงเรื่องของเศรษฐกิจ แต่ยังเกี่ยวข้องกับศีลธรรม สังคม และจิตวิญญาณ The Gift เป็นงานที่เปลี่ยนมุมมองของมานุษยวิทยาเศรษฐกิจ โดย Mauss ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจในสังคมโบราณไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ส่วนตัวเหมือนระบบทุนนิยม แต่มีพื้นฐานอยู่บนการแลกเปลี่ยนทางสังคม ความสัมพันธ์ และพันธะทางจิตวิญญาณ เขาเสนอแนวคิดว่าของขวัญในสังคมเหล่านี้ไม่ได้ให้ “ฟรี” แต่มีเงื่อนไขที่ซ่อนอยู่ เช่น การสร้างพันธะ การรับรองความสัมพันธ์ทางสังคม และการแลกเปลี่ยนต่อเนื่อง แนวคิดสำคัญ 1. Potlatch: ระบบการให้ของขวัญในหมู่ชนเผ่าอินเดียนในแถบแปซิฟิกตะวันตกเฉียงเหนือ 2. Reciprocity (การแลกเปลี่ยนซึ่งกันและกัน): แนวคิดที่ว่าของขวัญมีผลผูกพันในสามลำดับขั้น – การให้ การรับ และการตอบแทน 3. Obligation (พันธะ): การให้ของขวัญสร้างความผูกพันที่ต้องมีการตอบแทนในอนาคต 4. Hau (จิตวิญญาณของของขวัญ): Mauss อธิบายว่าในวัฒนธรรมบางแห่ง ของขวัญมีจิตวิญญาณที่ผูกพันผู้ให้และผู้รับ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือที่น่าสนใจอาทิ 1. ระบบ Potlatch ของชนเผ่าควาคิวเทิล (Kwakiutl) Potlach เป็นพิธีการแลกเปลี่ยนสิ่งของที่แสดงถึงอำนาจและสถานะของชนเผ่าการให้ของขวัญอย่างฟุ่มเฟือยแสดงถึงความมั่งคั่งและต้องการสร้างหนี้ทางสังคม ระบบ Potlatch ของชนเผ่าควาคิวเทิล (Kwakiutl) Potlatch เป็นระบบแลกเปลี่ยนและพิธีกรรมของชนเผ่าควาคิวเทิล (Kwakiutl) และชนพื้นเมืองในชายฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือของอเมริกาเหนือ เช่น ชนเผ่า Tlingit และ Haida ระบบนี้ถูกศึกษาอย่างละเอียดโดยนักมานุษยวิทยาอย่าง Franz Boas และได้รับการวิเคราะห์ในงาน The Gift ของ Marcel Mauss เพื่ออธิบายความสัมพันธ์ระหว่างเศรษฐกิจและสังคม Potlatch เป็นพิธีการแจกจ่ายหรือทำลายทรัพยากรในปริมาณมหาศาล ซึ่งมีวัตถุประสงค์สำคัญคือ 1. สร้างหรือยืนยันสถานะและอำนาจของเจ้าภาพ 2. กระชับความสัมพันธ์ทางสังคมระหว่างชุมชน 3. แบ่งปันทรัพยากรเพื่อสร้างสมดุลในสังคม ลักษณะสำคัญของระบบ Potlatch 1. การแจกจ่ายทรัพยากร โดยเจ้าภาพจะมอบสิ่งของ เช่น อาหาร ผ้าห่ม เครื่องมือ หรือของมีค่าอื่น ๆ ให้กับแขกที่มาร่วมงาน ถือเป็นการแจกจ่ายเป็นสัญลักษณ์ของความมั่งคั่งและความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ 2. การทำลายทรัพยากร (บางกรณี) บางครั้ง เจ้าภาพจะเผาสิ่งของล้ำค่า เช่น ผ้าห่มหรืออาหาร หรือแม้กระทั่งทำลายเรือแคนู เพื่อแสดงความร่ำรวยและสถานะเหนือกว่าคู่แข่ง 3. การแข่งขันเชิงสถานะ (Status Rivalry) Potlatch มักถูกใช้ในการแข่งขันเชิงสถานะระหว่างหัวหน้าเผ่าหรือชุมชนต่าง ๆ เจ้าภาพที่สามารถมอบหรือทำลายทรัพยากรมากที่สุดจะได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพล 4. ระบบเศรษฐกิจแบบ “Redistribution”โดย Potlatch เป็นตัวอย่างของระบบเศรษฐกิจที่เน้นการแจกจ่ายทรัพยากรเพื่อสร้างความเท่าเทียมในสังคม พิธีกรรมและบริบทของ Potlatch จะกระทำต่อเมื่อมีเหตุการณ์สำคัญในชีวิต โดย Potlatch มักจัดขึ้นในโอกาสสำคัญ เช่น การแต่งงาน การตั้งชื่อบุตร หรือการรำลึกถึงผู้ล่วงลับ โดยถือว่าการให้ของขวัญที่มีคุณค่าเชิงสัญลักษณ์ สิ่งของที่มอบให้อาจมีมูลค่าทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรม เช่น เครื่องราง หรือสัญลักษณ์ของเผ่า หัวใจสำคัญคือการกระชับเครือข่ายทางสังคม การจัด Potlatch เป็นโอกาสในการสร้างพันธมิตรและความสัมพันธ์ระหว่างชุมชน การวิเคราะห์โดย Marcel Mauss ใน The Gift Marcel Mauss ใช้ Potlatch เป็นตัวอย่างของการแลกเปลี่ยนที่เน้นพันธะทางสังคมมากกว่าเศรษฐกิจ โดยเขาชี้ให้เห็นว่าPotlatch สร้างพันธะสามขั้นตอน คือ การให้ (Give) เจ้าภาพแจกจ่ายสิ่งของหรือทำลายทรัพย์สินการรับ (Receive) ผู้เข้าร่วมต้องรับของขวัญเพื่อยอมรับพันธะและสุดท้ายการตอบแทน (Repay) ผู้รับต้องตอบแทนด้วยสิ่งของหรือการกระทำในโอกาสต่อไป ความหมายของการทำลายทรัพยากร ดังเช่น การทำลายทรัพย์สินใน Potlatch ชี้ให้เห็นว่าความมั่งคั่งในระบบนี้ไม่ได้อยู่ที่การครอบครอง แต่เป็นความสามารถในการ “ให้” และ “ละทิ้ง” นี่คือเศรษฐกิจแบบจิตวิญญาณ (Spiritual Economy) ซึ่ง Mauss อธิบายว่า Potlatch สะท้อนแนวคิดเรื่อง Hau หรือจิตวิญญาณของสิ่งของที่ผู้ให้ส่งต่อไปยังผู้รับ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมกรณี Potlatch ของชนเผ่า Kwakiutl ในพิธีหนึ่ง หัวหน้าเผ่า Kwakiutl แจกจ่ายผ้าห่มจำนวนมากให้กับแขกที่มาร่วมงาน โดยมีเงื่อนไขว่าผู้รับต้องจัดงาน Potlatch ตอบแทนในอนาคต ในงานมีการทำลายเรือแคนู ซึ่งหัวหน้าเผ่าบางคนเผาเรือแคนูของตนเองต่อหน้าสาธารณะเพื่อแสดงความมั่งคั่งและศักดิ์ศรี สะท้อนการแข่งขันระหว่างเผ่า ในบางกรณี เผ่าหนึ่งจัดงาน Potlatch ที่ยิ่งใหญ่เพื่อท้าทายอำนาจของเผ่าอื่น ทความสำคัญในสังคมร่วมสมัย เศรษฐกิจเชิงแบ่งปัน (Sharing Economy) แนวคิด Potlatch ถูกใช้ในการวิเคราะห์ระบบเศรษฐกิจร่วมสมัย เช่น การบริจาคเพื่อการกุศล หรือการแบ่งปันในชุมชนฃ การสร้างสถานะในโลกดิจิทัล เช่น การแจกของฟรีหรือการสร้างกิจกรรมในสื่อออนไลน์เพื่อสร้างชื่อเสียงและความนิยม สะท้อนแนวคิดเดียวกับ Potlatchฃ สุดท้ายการพัฒนาแนวคิดทางสังคมศาสตร์ ซึ่ง Potlatch เป็นตัวอย่างสำคัญของระบบเศรษฐกิจที่เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ ทำให้เกิดการศึกษาที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ สังคม และพิธีกรรม 2. ระบบแลกเปลี่ยนในหมู่เกาะทรอเบรียน (Trobriand Islands) พิธีกรรม Kula Ring: การแลกเปลี่ยนเครื่องประดับ (สร้อยคอและกำไล) ระหว่างเผ่าต่าง ๆ สิ่งของไม่ได้มีมูลค่าทางเศรษฐกิจแต่มีคุณค่าทางสังคมและพิธีกรรม ระบบแลกเปลี่ยนในหมู่เกาะทรอเบรียน (Trobriand Islands) หมู่เกาะทรอเบรียน ตั้งอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิก ใกล้ปาปัวนิวกินี มีระบบเศรษฐกิจการแลกเปลี่ยนที่เรียกว่า Kula Ring ซึ่งถูกศึกษาลึกซึ้งโดย Bronisław Malinowski ในหนังสือ Argonauts of the Western Pacific (1922) และถูกอ้างอิงโดย Marcel Mauss ใน The Gift เพื่ออธิบายลักษณะของการให้และรับที่มีพันธะทางสังคม Kula Ring เป็นระบบแลกเปลี่ยนสิ่งของระหว่างชนเผ่าต่าง ๆ บนเกาะทรอเบรียน โดยแลกเปลี่ยนในวงจรหมุนเวียนที่ครอบคลุมหมู่เกาะทั้งหมด โดยสิ่งของที่แลกเปลี่ยนคือสร้อยคอ (Soulava) เพื่อส่งต่อไปในทิศทางตามเข็มนาฬิกาในขณะที่กำไลแขน (Mwali) ส่งต่อไปในทิศทางทวนเข็มนาฬิกา ซึ่งคุณลักษณะของสิ่งของไม่มีมูลค่าเชิงเศรษฐกิจในแบบของเงินตรา แต่มีมูลค่าทางพิธีกรรม สังคม และประวัติศาสตร์ ซึ่งสิ่งของแต่ละชิ้นมีประวัติและชื่อ ที่เชื่อมโยงกับชนเผ่าและผู้ครอบครอง วิธีการแลกเปลี่ยน การแลกเปลี่ยนใน Kula Ring ไม่ใช่การแลกเปลี่ยนเพื่อประโยชน์ส่วนตัวทันที แต่เพื่อเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเผ่า ดังนั้นสิ่งของจะต้องถูกส่งต่อ ไม่สามารถเก็บไว้โดยไม่คืนหรือแลกเปลี่ยน ลักษณะสำคัญของ Kula Ring คือเรื่องพันธะทางสังคม การให้สร้อยคอหรือกำไลเป็นการสร้าง พันธะ ระหว่างผู้ให้และผู้รับ การไม่ตอบแทนหรือหยุดวงจรถือเป็นเรื่องที่เสียหายต่อความสัมพันธ์ เรื่องการสร้างสถานะและอำนาจ หัวหน้าเผ่าที่ให้ของขวัญในวงจรนี้ได้รับความนับถือจากเผ่าอื่น ยิ่งสามารถแลกเปลี่ยนสิ่งของที่มีชื่อเสียงได้มาก ยิ่งเสริมสร้างสถานะในชุมชนเรื่องวัฒนธรรมพิธีกรรมฃ การแลกเปลี่ยน Kula เป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับความเชื่อ เช่น การสวดมนต์ หรือการให้เครื่องบูชา เรื่องความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและจิตวิญญาณ โดย Kula Ring ไม่ได้เป็นแค่การแลกเปลี่ยนสิ่งของ แต่ยังเป็นการแลกเปลี่ยน จิตวิญญาณ และความไว้วางใจ การวิเคราะห์ของ Marcel Mauss ใน The Gift Mauss ใช้ Kula Ring เป็นตัวอย่างสำคัญเพื่อแสดงว่า 1.ของขวัญมีพันธะผูกพัน การแลกเปลี่ยนสร้อยคอและกำไลใน Kula Ring แสดงถึงสามขั้นตอนในแนวคิดของ Mauss: การให้, การรับ, และการตอบแทน 2. ของขวัญสร้างความสัมพันธ์ระหว่างเผ่า การแลกเปลี่ยนใน Kula Ring ไม่ใช่แค่เรื่องเศรษฐกิจ แต่เป็นการสร้าง เครือข่ายทางสังคม ที่ยั่งยืน 3. ของขวัญมีจิตวิญญาณ (Hau) Mauss อ้างถึง “จิตวิญญาณ” ของสร้อยคอและกำไลใน Kula Ring ที่สะท้อนถึงความสำคัญของตัวบุคคลและเผ่าที่เคยครอบครอง ตัวอย่างเหตุการณ์ใน Kula Ring ในพิธีการแลกเปลี่ยนระหว่างเกาะ ผู้นำชนเผ่าจัดเตรียมเรือสำหรับเดินทางไปยังเกาะอื่นพร้อมสิ่งของ (สร้อยคอหรือกำไลข้อมือ) เมื่อมาถึงเกาะ เจ้าของเกาะจะมอบของขวัญกลับ เช่น อาหารหรือสิ่งของใน Kula Ring การแสดงอำนาจผ่านของขวัญ หัวหน้าเผ่าบางคนจะแลกเปลี่ยนสิ่งของที่มีชื่อเสียง มีคุณค่า หายาก ซึ่งเป็นการประกาศสถานะในระดับภูมิภาค หรือชุมชน ดังที่ Mauss บอกว่า “The gift carries with it a part of the giver’s spirit.” หมายถึงสิ่งของใน Kula Ring มีความผูกพันกับตัวผู้ให้และผู้รับและ “Gifts are never free.” ใน Kula Ring การแลกเปลี่ยนสร้อยคอหรือกำไลไม่ใช่เรื่องสมัครใจ แต่มีพันธะทางสังคมที่ต้องตอบแทนและ “Exchange is not purely economic but deeply social.” การแลกเปลี่ยนใน Kula Ring เป็นตัวอย่างของการเชื่อมโยงเศรษฐกิจเข้ากับความสัมพันธ์ทางสังคม 3. เศรษฐกิจแบบแลกเปลี่ยนในโพลินีเซียและเมลานีเซีย โดย Marcel Mauss กล่าวถึงวัฒนธรรมในโพลีนีเซียที่ของขวัญไม่เพียงแต่สะท้อนความมั่งคั่ง แต่ยังเชื่อมโยงกับความศักดิ์สิทธิ์ด้วย สำหรับระบบการแลกเปลี่ยนทรัพยากรในหมู่เกาะ Melanesia โดย Mauss พูดถึง Moka ของชนเผ่าในปาปัวนิวกินี ซึ่งหัวหน้าเผ่าจะแจกจ่ายทรัพยากร เช่น หมูหรือสิ่งของอื่น ๆ เพื่อสร้างอิทธิพลและอำนาจในชุมชน ตัวอย่าง การให้ในระบบนี้ไม่ได้เป็นเพียงการสร้างความสัมพันธ์ทางสังคม แต่ยังเป็นการแข่งขันแสดงถึงสถานะของผู้ให้ 4. การแลกเปลี่ยนในกลุ่มชนเผ่ามาโอรี (Maori) ในพิธีมอบ taonga (ของมีค่า) การแลกเปลี่ยนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับมูลค่า แต่เป็นการเสริมสร้างความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับ ตัวอย่างเช่น การมอบ taonga เป็นการแสดงน้ำใจที่ทำให้ผู้รับรู้สึกผูกพันและต้องตอบแทนในทางใดทางหนึ่ง ระบบแลกเปลี่ยนในโปลินีเซีย (Polynesia) มีความเฉพาะที่น่าสนใจ เนื่องจากในหมู่เกาะฮาวายและนิวซีแลนด์ (Maori) Mauss พูดถึงแนวคิด Hau (จิตวิญญาณของของขวัญ) ซึ่งสิ่งของที่แลกเปลี่ยนกัน เช่น เครื่องมือหรือผลผลิตทางการเกษตร มี “พลังทางจิตวิญญาณ” ที่เชื่อมโยงกับผู้ให้ ตัวอย่างเช่น เมื่อหัวหน้าเผ่ามอบสิ่งของให้ผู้ใต้บังคับบัญชา สิ่งของเหล่านั้นมีพันธะทางจิตวิญญาณที่ต้องคืนกลับไปในรูปแบบอื่น เช่น ความจงรักภักดีหรือทรัพยากรในอนาคต ข้อความสำคัญในหนังสือเล่มนี้ อาทิ “The gift is a total social fact.”(การให้ในปัจจุบันยังคงเป็นการกระทำที่ครอบคลุมหลายมิติ เช่น เศรษฐกิจ วัฒนธรรม และการเมือง) “To give is to show one’s superiority, to be more, to be higher in rank, to display one’s wealth and power.”(การให้ไม่ได้เป็นเพียงการถ่ายโอนสิ่งของ แต่ยังแสดงถึงอำนาจและสถานะ) “In theory, such gifts are voluntary, but in fact they are given and repaid under obligation.” (ของขวัญดูเหมือนจะให้ด้วยความสมัครใจ แต่แท้จริงแล้วมีข้อผูกพันที่ต้องตอบแทน) “The gift carries with it a part of the giver’s spirit.” (ของขวัญมีส่วนของจิตวิญญาณของผู้ให้ ซึ่งเป็นตัวเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้และผู้รับ) แนวคิดสำคัญของ Maussฃ ที่นำมาพิจารณาเป็นกรอบคิดในการอธิบายปรากฏการณ์ 1. พันธะ 3 ประการของการแลกเปลี่ยน (The Three Obligations) Mauss ชี้ให้เห็นว่าในระบบการแลกเปลี่ยน มีพันธะทางสังคม 3 ขั้นตอน การให้ (Obligation to Give) ผู้ให้แสดงถึงความเอื้อเฟื้อและอำนาจ การรับ (Obligation to Receive) การปฏิเสธการรับถือเป็นการปฏิเสธความสัมพันธ์ทางสังคม การตอบแทน (Obligation to Return) ของขวัญต้องได้รับการตอบแทนในลักษณะที่เท่าเทียมหรือมากกว่าฝ 2. จิตวิญญาณของสิ่งของ (The Spirit of Things) Mauss ใช้แนวคิด Hau เพื่ออธิบายว่าสิ่งของในหลายวัฒนธรรมไม่ได้เป็นเพียงวัตถุ แต่ยังมี “จิตวิญญาณ” ของผู้ให้ ซึ่งสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผู้ให้และผู้รับ 3. การแลกเปลี่ยนที่ไม่ได้จำกัดแค่เศรษฐกิจ Mauss อธิบายว่าการให้ของขวัญในชุมชนดั้งเดิมครอบคลุมทั้งเศรษฐกิจ ความสัมพันธ์ทางสังคม และความเชื่อทางศาสนา 1. “Gifts are never ‘free.’” (ของขวัญไม่เคยให้โดยไม่มีเงื่อนไข เพราะการให้ของขวัญสร้างหนี้ทางสังคมที่ต้องตอบแทน) 2. “In primitive or archaic societies, the gift is an institution.” (ในสังคมดั้งเดิม การแลกเปลี่ยนของขวัญเป็นสถาบันทางสังคมที่ควบคุมโดยกฎเกณฑ์และศีลธรรม) 3. “The objects are never completely separated from the men who exchange them.“(สิ่งของไม่ได้แยกขาดจากตัวตนของผู้ให้ แต่สะท้อนถึงความสัมพันธ์และตัวตนของพวกเขา) 4. “The gift is a total social fact.” (การแลกเปลี่ยนของขวัญเกี่ยวข้องกับหลายมิติในชีวิต เช่น เศรษฐกิจ การเมือง และศาสนา) ความสำคัญทางสังคมและร่วมสมัย หนังสือ The Gift ไม่ได้จำกัดแค่การอธิบายสังคมดั้งเดิม แต่ยังช่วยให้เข้าใจการแลกเปลี่ยนในโลกสมัยใหม่ เช่น การให้ในธุรกิจ การแลกเปลี่ยนในงานสังคมสงเคราะห์ หรือการสร้างความสัมพันธ์ในชุมชนออนไลน์ การนำแนวคิดใน The Gift ไปใช้ในสังคมร่วมสมัย แนวคิดของ Marcel Mauss ถูกนำมาประยุกต์ในหลากหลายสาขา ทั้งมานุษยวิทยา สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา และธุรกิจ เพื่อวิเคราะห์ปรากฏการณ์ร่วมสมัยเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยน ความสัมพันธ์ทางสังคม และความหมายของ “ของขวัญ” ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น 1. ธุรกิจและการตลาด การแจกของขวัญหรือการให้ตัวอย่างสินค้าฟรีในเชิงการตลาดยังคงใช้แนวคิดเดียวกับ The Gift คือการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บริโภค เพื่อให้เกิดความจงรักภักดีและการตอบแทนในรูปแบบของการซื้อสินค้า 2. การบริจาคและการกุศล งานวิจัยเกี่ยวกับการบริจาคเงินหรือสิ่งของในสังคมร่วมสมัยชี้ให้เห็นว่า ผู้บริจาคมักมีความคาดหวังในรูปแบบของการยอมรับทางสังคม หรือความรู้สึกว่าตนเองมีคุณค่า 3. พื้นที่ออนไลน์และโซเชียลมีเดีย การซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าในโลกออนไลน์ ไอเทมของเกม การให้ “ไลก์” หรือ “แชร์” ถูกวิเคราะห์ว่าเป็นรูปแบบใหม่ของของขวัญในโลกดิจิทัลที่สร้างพันธะระหว่างผู้ใช้งาน 4. การศึกษาเกี่ยวกับระบบ Sharing Economy เช่น Airbnb หรือ Uber ที่นักวิชาการบางคนมองว่าเป็นรูปแบบการแลกเปลี่ยนที่ซ้อนทับระหว่างเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคม นักวิชาการและการศึกษาในบริบทสังคมร่วมสมัย เช่น David Cheal ในงาน The Gift Economy (1988) ที่ศึกษาเรื่องของขวัญในสังคมสมัยใหม่ เช่น การให้ของขวัญในครอบครัวหรือในโอกาสพิเศษ (เช่น วันเกิดหรือวันแต่งงาน) โดย Cheal ชี้ให้เห็นว่าการให้ของขวัญยังคงมีพันธะทางสังคมเช่นเดียวกับในสังคมดั้งเดิม แต่ถูกปรับเปลี่ยนตามบริบทของเศรษฐกิจทุนนิยม Pierre Bourdieu ในงาน Outline of a Theory of Practice (1977) ใช้แนวคิดเรื่องของขวัญเพื่ออธิบาย ทุนทางวัฒนธรรม (Cultural Capital) และ ทุนทางสังคม (Social Capital) โดยการให้ของขวัญในสังคมสมัยใหม่ไม่เพียงแต่สร้างความสัมพันธ์ แต่ยังช่วยเพิ่มทุนในเชิงสัญลักษณ์ Mary Douglas และ Baron Isherwood ในThe World of Goods (1979) ศึกษาเกี่ยวกับสินค้าบริโภคในฐานะ “ของขวัญ” ที่สะท้อนคุณค่าทางวัฒนธรรมและสังคม Lewis Hyde ในเรื่อง The Gift: Creativity and the Artist in the Modern World (1983)ซึ่ง Hyde ใช้แนวคิดของ Mauss เพื่อสำรวจความคิดสร้างสรรค์และศิลปะในฐานะ “ของขวัญ” โดยเน้นว่าศิลปะและแรงบันดาลใจเป็นสิ่งที่ถูกแบ่งปันในลักษณะการให้และตอบแทน Mark Granovetter ในงาน Economic Action and Social Structure: The Problem of Embeddedness (1985) ที่ศึกษาว่าความสัมพันธ์ทางสังคม (เช่น การให้ของขวัญในเครือข่ายทางธุรกิจ) ช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและความไว้วางใจในระบบเศรษฐกิจ Miller และ Slater ในงาน The Internet: An Ethnographic Approach (2000) ที่วิเคราะห์การให้และแลกเปลี่ยนในพื้นที่ออนไลน์ เช่น การส่งของขวัญดิจิทัลและการแลกเปลี่ยนทรัพยากรในเกมออนไลน์ ซึ่งยังคงสะท้อนแนวคิดเรื่องพันธะและความสัมพันธ์ทางสังคม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...