มานุษยวิทยาเศรษฐกิจ จะต้องเชื่อมโยงเศรษฐกิจในยุคดั้งเดิมกับเศรษฐกิจสมัยใหม่ ในหนังสือ “Platform Capitalism” (2017) โดย Nick Srnicek ถือเป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่สำรวจการพัฒนาของเศรษฐกิจในยุคดิจิทัล โดยให้ความสำคัญกับบทบาทของแพลตฟอร์มดิจิทัลในฐานะโครงสร้างเศรษฐกิจใหม่ที่มีอิทธิพลต่อสังคมและเศรษฐกิจโลก หนังสือเล่มนี้มีเนื้อหาที่สำคัญดังนี้:
โดยแนวคิดหลักที่น่าสนใจของหนังสือเล่มนี้มีดังนี้
1. แพลตฟอร์มคืออะไร Srnicek นิยาม “แพลตฟอร์ม” ว่าเป็นโครงสร้างทางธุรกิจที่อาศัยข้อมูลดิจิทัลและเทคโนโลยีในการเชื่อมโยงผู้ใช้งานหลายกลุ่ม เช่น ผู้บริโภค ผู้ผลิต และผู้ให้บริการ โดยแพลตฟอร์มไม่ได้เพียงแค่เป็นพื้นที่ แต่ยังทำหน้าที่เก็บข้อมูล วิเคราะห์ และสร้างรายได้จากข้อมูลเหล่านั้น
2. เศรษฐกิจแพลตฟอร์ม เขาอธิบายว่าเศรษฐกิจในปัจจุบันกำลังเปลี่ยนจากระบบที่พึ่งพาการผลิตสินค้าไปสู่ระบบที่พึ่งพาข้อมูลดิจิทัล แพลตฟอร์มกลายเป็นศูนย์กลางของเศรษฐกิจ โดยใช้ข้อมูลเพื่อสร้างคุณค่า (value creation) และควบคุมตลาด
3. ประเภทของแพลตฟอร์ม Srnicek แบ่งแพลตฟอร์มออกเป็น 5 ประเภทหลัก Advertising Platforms เช่น Google และ Facebook ซึ่งรายได้มาจากการโฆษณาที่ใช้ข้อมูลผู้ใช้ Cloud Platforms เช่น Amazon Web Services ที่ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี Industrial Platforms เช่น GE และ Siemens ที่มุ่งพัฒนาการผลิตด้วยเทคโนโลยี IoT Product Platforms เช่น Apple ที่ใช้แพลตฟอร์มเป็นส่วนหนึ่งของผลิตภัณฑ์ Lean Platforms เช่น Uber และ Airbnb ซึ่งอาศัยโครงสร้างต้นทุนต่ำและการเชื่อมโยงผู้ใช้โดยตรง
4. ลักษณะการสะสมทุน หนังสือเน้นว่าแพลตฟอร์มไม่ได้เป็นเพียงธุรกิจ แต่ยังเป็นเครื่องมือสะสมทุน โดยอาศัยการควบคุมโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลและการผูกขาดข้อมูลในตลาด
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม
1. Amazon Srnicek ใช้ Amazon เป็นตัวอย่างที่ดีในการแสดงให้เห็นว่าแพลตฟอร์มเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจอย่างไร โดย Amazon ไม่ได้เป็นเพียงร้านค้าออนไลน์ แต่ยังควบคุมโครงสร้างพื้นฐานของธุรกิจดิจิทัล เช่น Amazon Web Services ซึ่งเป็นผู้ให้บริการคลาวด์รายใหญ่ที่สุดในโลก
2. Uber และ Airbnb
แสดงให้เห็นถึงวิธีที่แพลตฟอร์มเปลี่ยนโครงสร้างของอุตสาหกรรม เช่น การคมนาคมและที่พัก โดยใช้เทคโนโลยีในการลดต้นทุนและเชื่อมโยงผู้ใช้โดยตรง อย่างไรก็ตาม Srnicek ชี้ให้เห็นว่าโมเดลเหล่านี้อาจไม่ยั่งยืน เนื่องจากพึ่งพาการจ้างงานชั่วคราวและการหลีกเลี่ยงกฎระเบียบ
3. Facebook และ Google ตัวอย่างของแพลตฟอร์มที่ใช้ข้อมูลผู้ใช้เพื่อสร้างรายได้จากการโฆษณา โดยมีผลกระทบต่อวิธีที่ผู้คนบริโภคสื่อและข้อมูล
ประเด็นเชิงวิพากษ์
1. การกระจุกตัวของอำนาจ Srnicek วิพากษ์ว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลส่งเสริมการกระจุกตัวของอำนาจทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่เท่าเทียมในระบบเศรษฐกิ
2. การใช้แรงงานที่ไม่มั่นคง เขาตั้งคำถามเกี่ยวกับรูปแบบการจ้างงานในเศรษฐกิจแพลตฟอร์ม เช่น gig economy ซึ่งมักไม่มีสวัสดิการหรือความมั่นคงให้กับแรงงาน
3. ความยั่งยืนของระบบ แม้ว่าแพลตฟอร์มจะสร้างมูลค่ามหาศาล แต่ Srnicek ชี้ให้เห็นถึงความเปราะบาง เช่น การพึ่งพาทุนจากนักลงทุน และการต่อต้านจากสังคมเมื่อเกิดผลกระทบเชิงลบ
Srnicek เชื่อว่าเศรษฐกิจแพลตฟอร์มเป็นผลผลิตของระบบทุนนิยมที่เปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย และแม้ว่ามันจะเป็นโอกาสทางเศรษฐกิจ แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายทางสังคม เช่น ความไม่เท่าเทียม อำนาจผูกขาด และความไม่มั่นคงทางแรงงาน
รายละเอียดเพิ่มเติมและตัวอย่างจาก “Platform Capitalism” โดย Nick Srnicek
Srnicek วิเคราะห์เศรษฐกิจยุคดิจิทัลอย่างเป็นระบบ โดยเน้นการศึกษาว่าแพลตฟอร์มเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางสังคมอย่างไร เขายังนำเสนอกรอบความคิดและตัวอย่างเฉพาะเพื่อให้เห็นภาพชัดเจนยิ่งขึ้น:
1. การเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจในยุคแพลตฟอร์ม
Srnicek ชี้ให้เห็นว่าระบบทุนนิยมในยุคนี้เปลี่ยนแปลงจากรูปแบบดั้งเดิมที่เน้น การผลิตสินค้า (industrial capitalism) ไปสู่รูปแบบที่เน้นการ เก็บข้อมูลและใช้ข้อมูล เพื่อสร้างมูลค่า (data capitalism) ซึ่งเขาเรียกว่า “platform capitalism”
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม Google และ Facebook แพลตฟอร์มเหล่านี้ไม่ได้ขายสินค้าแบบจับต้องได้ แต่สร้างรายได้จากข้อมูลผู้ใช้ เช่น การเก็บพฤติกรรมการค้นหา การคลิก และการมีส่วนร่วม ซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถกำหนดเป้าหมายการโฆษณาได้แม่นยำ
2. ประเภทของแพลตฟอร์มและกลยุทธ์ที่น่าสนใจ
ในหนังสือ Srnicek แยกแพลตฟอร์มออกเป็น 5 ประเภทหลัก ซึ่งแต่ละประเภทมีตัวอย่างชัดเจน
(1) Advertising Platforms
แพลตฟอร์มที่สร้างรายได้จากการโฆษณาผ่านการวิเคราะห์ข้อมูลผู้ใช้ ตัวอย่างเช่น Facebook และ Google โดย Google ใช้ข้อมูลการค้นหาและการใช้งานแผนที่เพื่อสร้างระบบโฆษณา Google Ads ในขณะที่ Facebook ใช้ข้อมูลส่วนตัว เช่น อายุ ความสนใจ และการเชื่อมต่อทางสังคม เพื่อกำหนดเป้าหมายโฆษณา
(2) Cloud Platforms
ให้บริการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยี เช่น การจัดเก็บข้อมูลหรือบริการคลาวด์ ตัวอย่าง: Amazon Web Services (AWS)ิAWS ให้บริการคลาวด์ที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญสำหรับธุรกิจดิจิทัลจำนวนมาก เช่น Netflix และ Airbnb
(3) Industrial Platforms
แพลตฟอร์มที่สนับสนุนอุตสาหกรรมการผลิตด้วยเทคโนโลยี IoT (Internet of Things) ตัวอย่าง General Electric (GE)GE ใช้แพลตฟอร์ม Predix เพื่อรวบรวมข้อมูลจากเครื่องจักรในอุตสาหกรรม เช่น การผลิตพลังงาน และช่วยให้บริษัทปรับปรุงประสิทธิภาพ
(4) Product Platforms
สร้างระบบนิเวศรอบผลิตภัณฑ์ของตัวเอง ตัวอย่าง Apple โดย Apple ใช้ App Store และ iCloud เพื่อเชื่อมโยงผลิตภัณฑ์ เช่น iPhone, iPad และ MacBook ทำให้เกิดระบบที่ดึงดูดผู้ใช้งานอยู่ในแพลตฟอร์ม
(5) Lean Platforms
แพลตฟอร์มที่ใช้ต้นทุนต่ำและหลีกเลี่ยงการลงทุนในสินทรัพย์ของตนเอง ตัวอย่าง: Uber และ Airbnb ตัวอย่าง Uber ให้บริการขนส่งโดยไม่ต้องเป็นเจ้าของรถยนต์ หรือ Airbnb ให้บริการที่พักโดยไม่ต้องมีอสังหาริมทรัพย์เป็นของตนเอง
3. วิธีการสร้างรายได้และการควบคุม
แพลตฟอร์มไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการเชื่อมต่อผู้ใช้ แต่ยังเป็นวิธีการควบคุมโครงสร้างเศรษฐกิจ
โดยข้อมูลเป็นส่วนขับเคลื่อนของระบบเศรษฐกิจดิจิทัล เช่น Uber ที่เก็บข้อมูลการเดินทางเพื่อนำไปวิเคราะห์และเพิ่มประสิทธิภาพ รวมทั้งแพลตฟอร์มมักใช้กลยุทธ์ผูกขาด เช่น การซื้อกิจการคู่แข่ง (Facebook ซื้อ Instagram และ WhatsApp)
4. ผลกระทบต่อแรงงานและสังคม
Srnicek วิพากษ์ว่าระบบแพลตฟอร์มมักนำไปสู่แรงงานที่ไม่มั่นคง อย่างเช่น Gig economy คนขับ Uber หรือคนให้บริการบน TaskRabbit มักไม่มีสวัสดิการและสภาพการทำงานที่มั่นคง
ตัวอย่าง Uber อาศัยคนขับรถเป็นพนักงานอิสระเพื่อลดต้นทุนค่าจ้างและภาษี แต่ทำให้แรงงานไม่มีความมั่นคงทางอาชีพ
ประเด็นความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจ แพลตฟอร์มใหญ่มักสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ทำให้ธุรกิจขนาดเล็กไม่สามารถแข่งขันได้ เช่น Amazon ที่ลดราคาสินค้าจนผู้ขายรายย่อยต้องปิดตัว
5. ปัญหาและความเปราะบาง
แม้แพลตฟอร์มจะดูเหมือนระบบที่ยั่งยืน แต่ Srnicek ชี้ให้เห็นปัญหาเชิงโครงสร้างเช่น การพึ่งพาทุนแพลตฟอร์มใหม่ เช่น Uber และ Airbnb ต้องพึ่งพาทุนจากนักลงทุนอย่างต่อเนื่องเพื่อขยายธุรกิจ แต่ยังไม่สามารถสร้างผลกำไรที่มั่นคงได้ หรือแรงต่อต้านจากสังคม เช่น การเก็บข้อมูลจำนวนมากและการใช้แรงงาน gig economy ทำให้เกิดการวิพากษ์วิจารณ์ เช่น การปกป้องข้อมูลส่วนตัว (data privacy) และการปรับปรุงสวัสดิการแรงงาน
ในตอนท้าย Nick Srnicek สรุปว่า “platform capitalism” ไม่ใช่เพียงแค่การเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจ แต่เป็นส่วนหนึ่งของวิวัฒนาการของระบบทุนนิยมที่มีทั้งโอกาสและความท้าทาย แพลตฟอร์มเหล่านี้สร้างนวัตกรรม แต่ในขณะเดียวกันก็ก่อให้เกิดความไม่เท่าเทียม การกระจุกตัวของอำนาจ และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม
หากผมจะลองใช้การเชื่อมโยง “Platform Capitalism” กับ มุมมองทางวัฒนธรรม โดยมองว่าแพลตฟอร์มดิจิทัลเป็นศูนย์กลางของการสร้าง การกระจาย และการบริโภควัฒนธรรมในรูปแบบใหม่ ซึ่งส่งผลกระทบทั้งทางบวกและลบต่อวัฒนธรรมในระดับบุคคล สังคม และโลก ตัวอย่างและกรอบแนวคิดสำคัญมีดังนี่
1. วัฒนธรรมการบริโภค (Consumer Culture)
แพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Amazon, Shopee หรือ TikTok ไม่ได้เพียงสร้างช่องทางการซื้อขาย แต่ยังส่งเสริม วัฒนธรรมการบริโภค ในแบบเฉพาะ เช่น อัลกอริทึมกำหนดความชอบ โดยแพลตฟอร์มใช้ข้อมูลพฤติกรรมเพื่อแนะนำสินค้าและเนื้อหา ทำให้วัฒนธรรมการบริโภคส่วนใหญ่ถูกขับเคลื่อนโดยอัลกอริทึม ตัวอย่างเช่น Shopee จัดเทศกาล 11.11 หรือ TikTok ดันเทรนด์เพลงหรือสินค้าให้เป็นที่นิยม หรือการเปลี่ยนแปลงค่านิยมความสะดวกสบายของแพลตฟอร์ม เช่น การช้อปออนไลน์ ทำให้ค่านิยมเรื่องคุณภาพหรือความทนทานลดลง แต่เน้นความทันสมัยและการซื้อที่ “ทันกระแส”
2. วัฒนธรรมแรงงานดิจิทัล (Digital Labor Culture)
แพลตฟอร์มเปลี่ยนรูปแบบวัฒนธรรมการทำงาน โดยเฉพาะใน gig economy เช่น Uber, Grab, หรือ Fiverr โดยการสร้างแรงงานที่มีความยืดหยุ่น แรงงานในแพลตฟอร์มสามารถเลือกเวลาทำงานเอง แต่ต้องแข่งขันสูงและพึ่งพาการจัดอันดับ (rating system) ซึ่งส่งผลต่อจิตวิทยาของแรงงาน ตัวอย่างเช่น คนขับ Grab ต้องทำตามเงื่อนไข เช่น การรักษาคะแนนรีวิว หรือการทำงานเกินชั่วโมงเพื่อให้ได้โบนัส ประเด็นแรงงานที่ “มองไม่เห็น“ โดยนักออกแบบ กราฟิกดีไซน์ หรือผู้สร้างเนื้อหาใน Fiverr มักต้องแข่งขันในตลาดแรงงานข้ามชาติ ทำให้มีความกดดันในเรื่องค่าแรงที่ต่ำ
3. วัฒนธรรมการสร้างตัวตน (Identity Culture)
แพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น Instagram, TikTok, หรือ Facebook ส่งผลต่อการแสดงออกและสร้างตัวตนของผู้ใช้ อาทิเช่น Self-branding ผู้ใช้มักสร้างตัวตนออนไลน์ที่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ที่ตลาดต้องการ เช่น Influencers ที่ใช้แพลตฟอร์มเพื่อขายสินค้าและสร้างรายได้ ตัวอย่างผู้ใช้ Instagram ที่เป็น Influencer อาจออกแบบตัวตนให้ดูสมบูรณ์แบบเพื่อดึงดูดผู้ติดตามและผู้สนับสนุนสินค้า หรือประเด๋นการยึดติดกับการยอมรับ เช่น จำนวนไลก์ แชร์ หรือคอมเมนต์กลายเป็นเครื่องวัดความสำเร็จในโลกออนไลน์
4. การกระจายวัฒนธรรม (Cultural Distribution)
แพลตฟอร์มเป็นช่องทางสำคัญในการเผยแพร่วัฒนธรรม ทั้งในแง่การส่งเสริมและการเปลี่ยนแปลง ดังเช่น Globalization ของวัฒนธรรม ซึ่งแพลตฟอร์มอย่าง Netflix หรือ Spotify ทำให้วัฒนธรรมหนึ่งสามารถขยายไปทั่วโลก ตัวอย่าง: ซีรีส์เกาหลี (K-Drama) เช่น Squid Game กลายเป็นกระแสระดับโลกผ่าน Netflix หรือประเด็นความเหมาะสมทางวัฒนธรรม (Cultural Appropriation) การแชร์วัฒนธรรมในแพลตฟอร์มมักเกิดปัญหาการนำวัฒนธรรมของกลุ่มหนึ่งมาใช้โดยไม่เคารพบริบท เช่น การนำชุดพื้นเมืองหรือสัญลักษณ์ของชนพื้นเมืองมาใช้เชิงพาณิชย์
5. วัฒนธรรมอำนาจ (Power and Hegemony)
แพลตฟอร์มไม่ได้เพียงแค่ส่งเสริมวัฒนธรรม แต่ยังควบคุมวัฒนธรรมในบางรูปแบบ เช่น การควบคุมการมองเห็น (Visibility Control) แพลตฟอร์มใช้อัลกอริทึมเพื่อกำหนดว่าเนื้อหาใดควรถูกมองเห็นหรือซ่อนเร้นตัวอย่างเช่น Facebook สามารถปิดกั้นเนื้อหาที่ขัดแย้งกับนโยบายของบริษัท หรือแนะนำเนื้อหาที่เอื้อต่อโฆษณา หรือประเด็นอาณานิคมทางวัฒนธรรม (Cultural Imperialism) แพลตฟอร์มข้ามชาติ เช่น YouTube หรือ Twitter มักนำค่านิยมตะวันตกไปกระจายสู่สังคมอื่น
6. วัฒนธรรมการต่อต้าน (Resistance Culture)
ในขณะเดียวกัน ผู้ใช้และกลุ่มวัฒนธรรมย่อย (subcultures) ก็ใช้แพลตฟอร์มเพื่อต่อต้านอำนาจหรือสร้างวัฒนธรรมใหม่ เช่น การสร้างวัฒนธรรมย่อย กลุ่มย่อย เช่น LGBTQ+ ใช้แพลตฟอร์มเพื่อสร้างพื้นที่และเชื่อมโยงกัน ตัวอย่าง Drag queens ใช้ Instagram หรือ YouTube เพื่อแสดงตัวตนและท้าทายค่านิยมดั้งเดิม หรือการเคลื่อนไหวสังคม เช่น แพลตฟอร์มช่วยสร้างพลังการต่อต้าน เช่น #MeToo หรือการประท้วงในประเด็นสังคม
หรือกรณีศึกษา TikTok และวัฒนธรรมท้องถิ่น โดย TikTok ช่วยให้วัฒนธรรมท้องถิ่นถูกนำเสนอในระดับโลก เช่น การเต้นพื้นเมืองหรือดนตรีพื้นบ้าน แต่ในขณะเดียวกัน วัฒนธรรมเหล่านี้อาจถูกแปลงให้เป็นสินค้าเชิงพาณิชย์โดยไม่ได้รักษาความหมายดั้งเดิม
การเชื่อมโยงวัฒนธรรมกับแพลตฟอร์มดิจิทัลทำให้เราเห็นว่าแพลตฟอร์มเป็นทั้งเครื่องมือที่ช่วยส่งเสริมวัฒนธรรมและสร้างปัญหาทางวัฒนธรรมไปพร้อมกัน
การเชื่อมโยงแนวคิด “Platform Capitalism” กับ สังคมไทย สามารถวิเคราะห์ได้จากหลายมิติ โดยเฉพาะบทบาทของแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตในประเทศไทย ตัวอย่างและประเด็นสำคัญมีดังนี้
1. เศรษฐกิจแพลตฟอร์มในบริบทไทย
เศรษฐกิจของไทยได้รับอิทธิพลอย่างมากจากแพลตฟอร์มดิจิทัล โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมบริการ การค้าปลีก และการท่องเที่ยว
แรงงานในเศรษฐกิจ Gig Economy ตัวอย่างเช่น คนขับ Grab, Foodpanda หรือ Robinhood กลายเป็นแรงงานสำคัญในเมืองใหญ่ เช่น กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และภูเก็ต โดยแรงงานเหล่านี้มักถูกผลักเข้าสู่ระบบ Gig Economy เพราะความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจในภาคอื่น ผลกระทบที่เกิดตามมาแม้จะช่วยสร้างรายได้ระยะสั้น แต่แรงงานกลุ่มนี้มักไม่มีความมั่นคง เช่น ขาดสวัสดิการหรือสิทธิแรงงาน
ธุรกิจขนาดเล็กเข้าสู่แพลตฟอร์ม ซึ่งแพลตฟอร์ม E-commerce เช่น Shopee, Lazada หรือ TikTok Shop ช่วยให้ผู้ประกอบการรายย่อยในไทยเข้าถึงลูกค้าได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น ร้านค้าท้องถิ่นในเชียงใหม่ขายสินค้า OTOP ผ่าน Shopee เพื่อขยายตลาดอแต้วนขณะเดียวกันก็มีปัญหาผู้ประกอบการไทยจำนวนมากถูกกดดันเรื่องค่าธรรมเนียมและการแข่งขันกับสินค้าในราคาต่ำจากจีน
2. วัฒนธรรมการบริโภคที่เปลี่ยนไป
แพลตฟอร์มดิจิทัลเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยเช่น ความนิยมในการซื้อของออนไลน์ ในช่วงการระบาดของโควิด-19 ทำให้คนไทยจำนวนมากเปลี่ยนจากการซื้อสินค้าในตลาดหรือห้างสรรพสินค้า ไปสู่การซื้อผ่าน Shopee หรือ Lazada ตัวอย่างเช่น Flash Sales เช่น 11.11 กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ผู้คนตั้งตารอและแข่งขันกันซื้อสินค้าราคาถูก หรือการบริโภควัฒนธรรมดิจิทัล ตัวแพลตฟอร์มเช่น TikTok และ YouTube กลายเป็นศูนย์กลางของการบริโภคและเผยแพร่วัฒนธรรม เช่น เพลงไทย-ลูกทุ่ง หรือเทรนด์การเต้น TikTok ตัวอย่าง: เพลงภาษาท้องถิ่น เช่น ปูหนีบอีปิ กลายเป็นไวรัลบน TikTok และถูกแปลงเป็น “สินค้าทางวัฒนธรรม” ในรูปแบบใหม่
3. การสร้างตัวตนและอัตลักษณ์ในโลกออนไลน์
Self-branding หรือการสร้างแบรนด์ตัวเองในสังคมไทย คนไทยจำนวนมากใช้แพลตฟอร์ม เช่น Instagram Reel หรือ TikTok เพื่อสร้างตัวตนในฐานะ Influencer หรือแม่ค้าออนไลน์ ตัวอย่าง กลุ่มผู้ขายอาหารทะเลออนไลน์ที่ไลฟ์สดใน Facebook เช่น “แม่แหม่มปูดอง” ที่สร้างความน่าเชื่อถือด้วยการพูดคุยและมีบุคลิกโดดเด่น ในขณะเดียวกันก็ส่งผลกระทบต่ออัตลักษณ์ท้องถิ่นด้วย เพราะการสร้างตัวตนออนไลน์บางครั้งลดทอนความเป็นท้องถิ่น เช่น การเปลี่ยนแปลงการแต่งกายหรือรูปแบบวัฒนธรรมให้เข้ากับรสนิยมของแพลตฟอร์ม ตัวอย่างเช่น สินค้าท้องถิ่น OTOP ถูกปรับแต่งภาพลักษณ์เพื่อให้ดูทันสมัยและเข้ากับตลาดออนไลน์
4. การกระจายวัฒนธรรมไทยผ่านแพลตฟอร์ม
แพลตฟอร์มดิจิทัลช่วยเผยแพร่วัฒนธรรมไทยสู่ระดับโลก แต่ในขณะเดียวกันก็อาจนำไปสู่ปัญหาการเปลี่ยนแปลงความหมายของวัฒนธรรมดั้งเดิม อาทิเช่นการส่งออกวัฒนธรรมผ่านแพลตฟอร์ม ตัวอย่างเช่น ศิลปะไทย เช่น การรำไทยหรือมวยไทย ถูกนำเสนอผ่าน YouTube และ TikTok เพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยวต่างชาติ หรือการแปรรูปวัฒนธรรมเป็นสินค้า (Cultural Commodification) วัฒนธรรมไทย เช่น เทศกาลสงกรานต์หรือสินค้า OTOP ถูกปรับเปลี่ยนเพื่อดึงดูดการตลาดและการท่องเที่ยว ตัวอย่างเช่น ร้านค้าออนไลน์ใช้ภาพวัฒนธรรมไทย เช่น “ความดั้งเดิม” หรือ “ความเป็นธรรมชาติ” ในการขายสินค้า เช่น สมุนไพรหรือผ้าไทย
5. ความไม่เท่าเทียมและความเปราะบางในสังคมไทย
แพลตฟอร์มดิจิทัลสร้างความไม่เท่าเทียมในหลายมิ
เช่น ช่องว่างดิจิทัล (Digital Divide) ซึ่งคนในเมืองใหญ่มีโอกาสเข้าถึงแพลตฟอร์มและข้อมูลมากกว่าคนในชนบท ตัวอย่างเช่น เกษตรกรหรือกลุ่มชาิตพันธ์บางกลุ่ม ในพื้นที่ห่างไกลอาจไม่สามารถใช้ Shopee หรือ Lazada เพื่อขายสินค้าได้เพราะขาดความรู้และอินเทอร์เน็ต หรือผลกระทบต่อแรงงานดั้งเดิม เช่น คนขับแท็กซี่ในไทยต้องแข่งขันกับ Grab ที่ให้บริการที่สะดวกกว่าและราคาถูกกว่า ตัวอย่างเช่น ในกรุงเทพฯ คนขับแท็กซี่แบบดั้งเดิมลดลงเพราะผู้โดยสารหันไปใช้ Grab มากขึ้น หรือแท็กซี่ต้องปรับตัวใช้เทคโนโลยีในการเข้าถึงลูกค้า แต่ก็ยังมีปัญหาในกลุ่มแท๊กซี่สูงวัย
6. การต่อต้านและการปรับตัวในบริบทไทย
ในขณะที่แพลตฟอร์มส่งผลกระทบต่อสังคมไทย กลุ่มบางกลุ่มก็สร้างการต่อต้านและปรับตัว เช่น ความพยายามสร้างแพลตฟอร์มท้องถิ่น ตัวอย่างเช่น Robinhood ซึ่งเป็นแพลตฟอร์ม Food Delivery ของคนไทย ถูกสร้างขึ้นเพื่อลดค่าธรรมเนียมสำหรับร้านค้า การสร้างพื้นที่สำหรับวัฒนธรรมย่อย ตัวแพลตฟอร์มอย่าง TikTok ช่วยให้กลุ่มวัฒนธรรมย่อย เช่น กลุ่ม LGBTQ+ แสดงตัวตนและเผยแพร่วัฒนธรรมของตนเองในสังคมที่ยังมีข้อจำกัดบางประการ
ข้อสรุป เศรษฐกิจแพลตฟอร์มในบริบทไทยช่วยส่งเสริมโอกาสทางเศรษฐกิจและเผยแพร่วัฒนธรรม แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างความท้าทายในเรื่องความเท่าเทียม การเปลี่ยนแปลงอัตลักษณ์ และการสูญเสียความหมายดั้งเดิมของวัฒนธรรม ในขณะเดียวกัน เราก็จะเห็นการปรับตัวของผู้คนต่อแพลตฟอร์มธุรกิจเหล่านี้มากขึ้น
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น