ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การออกแบบเพื่อความเท่าเทียมและยุติธรรม (Design Justice) โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือ Design Justice: Community-Led Practices to Build the Worlds We Need เขียนโดย Sasha Costanza-Chock
หนังสือเล่มนี้สำรวจแนวคิดและกระบวนการออกแบบที่มุ่งเน้นความยุติธรรมทางสังคม โดยตั้งคำถามกับแนวปฏิบัติการออกแบบที่มักให้ความสำคัญกับผู้ที่มีอำนาจและละเลยเสียงของชุมชนที่ถูกกดขี่ ประเด็นสำคัญในหนังสือเล่มนี้ที่ผมคิดว่าน่าสนใจ คือ 1. กรอบความคิด Design Justice ได้ชี้ให้เห็นว่า การออกแบบไม่ได้เป็นกลาง แต่สะท้อนถึงโครงสร้างอำนาจและอคติทางสังคม ซึ่ง Costanza-Chock ได้ให้ข้อเสนอเกี่ยวกับกรอบการออกแบบที่มีเป้าหมายเพื่อความยุติธรรม โดยเน้นการมีส่วนร่วมของชุมชนและการเคารพในความหลากหลาย 2. วิจารณ์การออกแบบกระแสหลัก Costanza-Chock ได้วิเคราะห์วิธีที่การออกแบบมักสร้างความเหลื่อมล้ำ เช่น เทคโนโลยีที่ใช้งานยากสำหรับผู้พิการ หรือระบบตรวจจับใบหน้าที่มีอคติทางเชื้อชาติ 3. แนวทางปฏิบัติที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน Costanza-Chock เสนอวิธีสร้างสรรค์โครงการที่ชุมชนมีบทบาทนำเป็นหลัก เช่น การออกแบบที่เกิดจากความร่วมมือ การฟังเสียงของผู้มีส่วนได้เสีย และการสร้างความยั่งยืน 4. ตัวอย่างโครงการและกรณีศึกษา Costanza-Chock ยกตัวอย่างโครงการที่นำหลักการ Design Justice ไปใช้ เช่น การออกแบบพื้นที่สาธารณะและการพัฒนาระบบเทคโนโลยีที่ครอบคลุม ในหนังสือ “Design Justice: Community-Led Practices to Build the Worlds We Need” โดย Sasha Costanza-Chock มีแนวคิดสำคัญที่น่าสนใจหลายประการ โดยเน้นไปที่การสร้างระบบและแนวทางออกแบบที่มีความยุติธรรมและครอบคลุมเสียงของชุมชนที่มักถูกละเลยในกระบวนการออกแบบกระแสหลัก รายละเอียดและตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจมีดังนี้ 1. Design Justice Framework (กรอบความคิดเรื่อง Design Justice) แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าการออกแบบไม่ได้เป็นกลาง แต่สะท้อนถึงอำนาจและอคติในสังคม หลักการสำคัญ 1.เน้นการกระจายประโยชน์จากการออกแบบให้ครอบคลุมกลุ่มที่เสียเปรียบ 2.ส่งเสริมให้ชุมชนมีบทบาทสำคัญในกระบวนการออกแบบ 3. เคารพในความรู้ วัฒนธรรม และบริบทเฉพาะของชุมชน ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น การออกแบบเครื่องมือช่วยเหลือผู้พิการ (assistive technology) ที่มักถูกผลิตโดยผู้ที่ไม่มีประสบการณ์ตรงกับการใช้งาน ทำให้เกิดข้อผิดพลาด เช่น อุปกรณ์ที่ใช้ยากเกินไป ในกรอบ Design Justice ผู้พิการจะถูกเชิญมามีบทบาทหลักในการออกแบบ การออกแบบเครื่องมือช่วยเหลือผู้พิการ (Assistive Technology) Sasha Costanza-Chock ยกตัวอย่างปัญหาที่เกิดจากการออกแบบอุปกรณ์ช่วยเหลือผู้พิการ โดยที่ผู้พิการไม่มีส่วนร่วมในกระบวนการออกแบบ ทำให้ผลิตภัณฑ์ไม่ตอบโจทย์การใช้งานจริง การนำ Design Justice มาใช้ คือมีการจัดกลุ่มผู้ใช้งาน เช่น คนพิการและผู้ดูแล ให้เข้ามามีส่วนร่วมในการออกแบบเน้นการแก้ไขปัญหาที่ผู้ใช้งานระบุเอง เช่น การออกแบบวีลแชร์ที่เหมาะกับภูมิประเทศเฉพาะของพื้นที่ที่มีถนนขรุขระ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ การได้อุปกรณ์ที่ใช้งานได้จริง และทำให้ผู้ใช้งานรู้สึกมีคุณค่าในกระบวนการออกแบบ 2. Critique of Default Design (การวิจารณ์การออกแบบกระแสหลัก) โดย Costanza-Chock วิเคราะห์ว่า การออกแบบกระแสหลักมักสะท้อนมุมมองของคนกลุ่มใหญ่ที่มีอำนาจและละเลยเสียงของกลุ่มคนชายขอบ รวมทั้งการออกแบบเหล่านี้อาจสร้างความเหลื่อมล้ำ เช่น เทคโนโลยีจดจำใบหน้า (facial recognition) ที่มีอคติทางเชื้อชาติ เพราะใช้ฐานข้อมูลที่เน้นคนผิวขาวเป็นหลัก ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น ในกรณีระบบ AI ที่จดจำใบหน้า มีรายงานว่าคนผิวดำและคนเอเชียมักถูกระบุผิดพลาด ในกรอบ Design Justice จะเน้นการออกแบบที่ตรวจสอบฐานข้อมูลให้ครอบคลุมมากขึ้น โครงการการออกแบบระบบเทคโนโลยีที่ไม่กีดกันเชื้อชาติ มีกรณีศึกษาการออกแบบระบบ AI จดจำใบหน้า ที่พบว่ามีอคติทางเชื้อชาติ เช่น การตรวจจับใบหน้าคนผิวดำผิดพลาดบ่อยครั้ง การนำ Design Justice มาใช้เช่นการออกแบบฐานข้อมูลที่ครอบคลุมความหลากหลายทางเชื้อชาติ โดยมีการเชิญกลุ่มผู้เชี่ยวชาญและตัวแทนจากชุมชนที่ได้รับผลกระทบให้มาทดสอบระบบผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ ลดอัตราความผิดพลาดในระบบและสร้างความไว้วางใจในเทคโนโลยี 3. Participatory Design (การออกแบบที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน) Sasha Costanza-Chock สนับสนุนการออกแบบโดยใช้หลักการมีส่วนร่วม ซึ่งชุมชนจะเป็นผู้นำกระบวนการออกแบบ วิธีนี้เน้นฟังเสียงของผู้มีส่วนได้เสียและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์จริง ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น โครงการออกแบบพื้นที่เล่นในเมืองใหญ่ ชุมชนท้องถิ่นถูกเชิญให้มีบทบาท เช่น การเสนอความต้องการของเด็กในพื้นที่ ทำให้เกิดสนามเด็กเล่นที่ปลอดภัย มีพื้นที่สำหรับเด็กทุกเพศทุกวัย 4. Intersectionality in Design (การออกแบบที่คำนึงถึงความหลากหลาย) โดยแนวคิดนี้เน้นให้เข้าใจว่าผู้คนมีอัตลักษณ์หลายมิติ เช่น เชื้อชาติ เพศ สถานะทางเศรษฐกิจ และความสามารถทางร่างกาย ดังนั้น การออกแบบต้องคำนึงถึงความซับซ้อนเหล่านี้ ไม่ใช่แค่มุ่งเน้นที่มิติใดมิติหนึ่ง เช่น การออกแบบพื้นที่สาธารณะที่ไม่ปลอดภัยสำหรับผู้หญิงหรือกลุ่ม LGBTQ+ ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น การออกแบบระบบขนส่งสาธารณะ:ไม่เพียงต้องคำนึงถึงผู้ที่เดินทางไปทำงานในเมือง แต่ยังต้องออกแบบให้เหมาะสมกับคนพิการ คนชรา และพ่อแม่ที่มีลูกเล็ก โครงการการออกแบบพื้นที่สาธารณะเพื่อความปลอดภัยของชุมชน Sasha ยกตัวอย่างการออกแบบพื้นที่สาธารณะ เช่น สวนสาธารณะ และทางเดินเท้า ที่มักไม่คำนึงถึงความปลอดภัยของกลุ่มผู้หญิงและ LGBTQ+ โดยการนำ Design Justice มาใช้ ผ่านการใช้การวิจัยเชิงชุมชน โดยสอบถามกลุ่มผู้ใช้งานเกี่ยวกับพื้นที่ที่พวกเขารู้สึกไม่ปลอดภัย โดยให้ชุมชนช่วยกำหนดโซลูชัน เช่น เพิ่มแสงสว่างในบริเวณที่เปลี่ยว ติดตั้งกล้องวงจรปิด และออกแบบทางเดินที่มองเห็นได้ชัดเจนผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ พื้นที่สาธารณะที่ตอบสนองต่อความต้องการของชุมชนมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง 5. Examples of Design Justice in Action (ตัวอย่างโครงการที่นำไปใช้จริง) โครงการ “Detroit Community Technology Project” ในเมืองดีทรอยต์ ช่วยให้ชุมชนท้องถิ่นมีเครื่องมือและความรู้ในการสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของตัวเอง โดยไม่ต้องพึ่งพาบริษัทโทรคมนาคมใหญ่ และต้องส่งเสริมความยั่งยืนและการเข้าถึงเทคโนโลยีอย่างยุติธรรม โครงการ Detroit Community Technology Project โครงการนี้ริเริ่มขึ้นในเมืองดีทรอยต์ สหรัฐอเมริกา โดยมุ่งให้ชุมชนสร้างเครือข่ายอินเทอร์เน็ตของตัวเอง เพื่อลดการพึ่งพาบริษัทโทรคมนาคมที่มักเก็บค่าบริการสูงและไม่สนใจพื้นที่ชนบทหรือชุมชนที่มีรายได้น้อย สิ่งที่น่าสนใจคือ การนำ Design Justice มาใช้:โดยให้ชุมชนมีส่วนร่วมในทุกขั้นตอน ตั้งแต่การออกแบบโครงสร้างเครือข่าย การติดตั้งอุปกรณ์ ไปจนถึงการดูแลระบบ รวมถึงการให้ความสำคัญกับการเข้าถึงของกลุ่มคนชายขอบ เช่น ผู้สูงอายุหรือครอบครัวที่ไม่มีอินเทอร์เน็ตในบ้าน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ การช่วยสร้างระบบอินเทอร์เน็ตที่ชุมชนสามารถควบคุมเองได้ และส่งเสริมความเท่าเทียมในการเข้าถึงเทคโนโลยี การพัฒนา “Our Data Bodies” ซึ่งเป็นโครงการวิจัยที่ช่วยให้ชุมชนเข้าใจถึงผลกระทบของการเก็บข้อมูลดิจิทัล เช่น วิธีที่ข้อมูลถูกนำไปใช้เพื่อกดขี่กลุ่มคนชายขอบ โครงการ Our Data Bodies Project โครงการวิจัยที่ทำงานกับกลุ่มคนชายขอบในชุมชน เพื่อศึกษาและทำความเข้าใจกับผลกระทบของการเก็บและใช้งานข้อมูลส่วนบุคคล การนำ Design Justice มาใช้ก็คือ ผู้เข้าร่วมโครงการมาจากกลุ่มที่ได้รับผลกระทบ เช่น คนไร้บ้าน คนผิวสี และผู้มีรายได้น้อยโดยมีการจัดการประชุมเชิงปฏิบัติการเพื่อช่วยให้ชุมชนเข้าใจว่า ข้อมูลส่วนตัวของพวกเขาถูกเก็บและใช้งานอย่างไร เช่น การเก็บข้อมูลทางสังคมของหน่วยงานรัฐที่อาจถูกใช้เพื่อกดขี่ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ การช่วยให้ชุมชนพัฒนาทักษะในการปกป้องข้อมูลส่วนตัว และส่งเสริมการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายในระดับท้องถิ่น โดยสรุปหนังสือเล่มนี้เสนอทั้งการวิจารณ์กระบวนการออกแบบกระแสหลักและตัวอย่างแนวทางการออกแบบที่ขับเคลื่อนโดยชุมชน มันไม่ใช่แค่การออกแบบเพื่อชุมชน แต่เป็นการออกแบบ “กับ” และ “โดย” ชุมชน หนังสือช่วยสร้างความเข้าใจว่า หากการออกแบบไม่ครอบคลุม มันอาจกลายเป็นเครื่องมือที่สนับสนุนความไม่เท่าเทียมได้ง่ายๆ. ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเหมาะกับนักออกแบบ นักวิจัย และนักกิจกรรมที่สนใจด้านความยุติธรรมทางสังคม หรือผู้ที่เกี่ยวข้องและมีความต้องการปรับเปลี่ยนกระบวนการออกแบบให้ครอบคลุมและมีความหมายต่อชุมชนมากขึ้น หนังสือเล่มนี้จึงเป็นทั้งคำเชิญชวนให้ตั้งคำถามกับอคติในกระบวนการออกแบบ และเป็นคู่มือสำหรับการสร้างอนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืนมากขึ้น ในหนังสือมีตัววอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจหลายกรณีที่แสดงถึงการนำแนวคิด Design Justice ไปประยุกต์ใช้ในโลกจริง โดยเน้นการออกแบบที่สร้างความยุติธรรมและครอบคลุมเสียงของชุมชนที่มักถูกละเลย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...