หนังสือของ Bruno Latour เรื่อง “We Have Never Been Modern” (1993) ซึ่งเป็นหนังสือที่สำคัญในสายวิชาการด้านปรัชญาและสังคมศาสตร์ โดย Latour วิจารณ์แนวคิดเรื่อง “ความเป็นสมัยใหม่” (modernity) และเสนอว่าเส้นแบ่งระหว่าง “โบราณ” กับ “สมัยใหม่” หรือระหว่างธรรมชาติกับสังคมนั้น เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้น และไม่ได้มีอยู่จริงในทางปฏิบัติ
แนวคิดสำคัญของเขาในหนังสือ มองว่า
1. เราไม่เคยเป็น “สมัยใหม่” อย่างแท้จริง
ความเป็นสมัยใหม่มักอ้างว่ามนุษย์แยก “วัตถุธรรมชาติ” (เช่น ภูเขา ดวงดาว) ออกจาก “วัตถุสังคม” (เช่น การเมือง วัฒนธรรม) อย่างเด็ดขาด แต่ในความเป็นจริง ทั้งสองสิ่งนี้มักผสมผสานกันและพึ่งพากันเสมอ ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเป็นผลลัพธ์จากทั้งกระบวนการธรรมชาติและกิจกรรมของมนุษย์
โดย Latour ตั้งคำถามต่อแนวคิดที่ว่าสมัยใหม่คือการแยกธรรมชาติ (nature) ออกจากสังคม (society) และเชื่อว่าในความเป็นจริง ทั้งสองสิ่งนี้มักจะทับซ้อนและปะปนกัน ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีชีวภาพ หรือวิกฤตสิ่งแวดล้อม
2. ภาวะไฮบริด หรือลูกผสม (Hybrids)
ซึ่ง Latour เสนอแนวคิดว่าโลกของเราถูกสร้างขึ้นจากสิ่งที่เขาเรียกว่า “ไฮบริด” หรือสิ่งที่รวมธรรมชาติกับสังคม เช่น วัคซีนที่เกี่ยวข้องทั้งกับการค้นพบทางวิทยาศาสตร์และการตัดสินใจทางการเมือง
Latour ชี้ให้เห็นว่าสิ่งต่าง ๆ ในโลกยุคใหม่ เช่น เทคโนโลยีชีวภาพ (GMOs) หรือการสร้างวัคซีน เป็นตัวอย่างของการเชื่อมโยงธรรมชาติกับวัฒนธรรม และมันแสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถแยกโลกของสิ่งที่เป็นธรรมชาติและโลกของสังคมออกจากกันได้อย่างแท้จริง
3. การตั้งคำถามต่อการปฏิวัติ โดย Latour ชี้ให้เห็นว่า การปฏิวัติหรือการเปลี่ยนแปลงที่ดูเหมือนเป็นการล้มล้างระบอบเก่า มักจะยังคงความต่อเนื่องหรือฟื้นฟูบางส่วนของระบอบเก่า
4. การวิจารณ์การแบ่งแยกสองโลก โดยแนวคิดแบบดั้งเดิมของ “คนสมัยใหม่” เชื่อว่าโลกถูกแบ่งเป็นสองส่วนคือ (1) ธรรมชาติ ที่มนุษย์ศึกษาเพื่อค้นหาความจริง และ (2) สังคม ซึ่งมนุษย์สร้างขึ้นผ่านวัฒนธรรมและการเมือง แต่ Latour แสดงให้เห็นว่าเส้นแบ่งนี้เป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ไม่สะท้อนความเป็นจริง
5. แนวทางแบบ Actor-Network Theory (ANT)
Latour เสนอว่าเราควรมองทุกสิ่งในโลกว่าเป็นเครือข่ายของตัวแสดง (actors) ทั้งมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม และแนวคิด ซึ่งมีบทบาทร่วมกันในการสร้างความเป็นจริง
หนังสือเล่มนี้ถือเป็นการเปิดประเด็นใหม่ในวงการวิชาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้าน “Science and Technology Studies” (STS) และ “Actor-Network Theory” (ANT) ซึ่ง Latour เป็นผู้บุกเบิก เขาแสดงให้เห็นว่าวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไม่สามารถแยกออกจากบริบททางสังคม วัฒนธรรม และการเมืองได้
ในหนังสือ We Have Never Been Modern Latour ตั้งคำถามต่อความเข้าใจดั้งเดิมเกี่ยวกับ “ความเป็นสมัยใหม่” (modernity) ซึ่งโดยทั่วไปถูกมองว่าเป็นการแยกธรรมชาติ (nature) ออกจากสังคม (society) โดยชัดเจน หนังสือเล่มนี้พยายามทำลายเส้นแบ่งดังกล่าวและเสนอว่าโลกของเราเต็มไปด้วย ไฮบริด (hybrids) หรือสิ่งที่ผสมผสานระหว่างธรรมชาติกับวัฒนธรรม
โดยตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น
1. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) การเปลี่ยนแปลงของสภาพอากาศไม่ใช่เพียงเรื่องของ “ธรรมชาติ” แต่เกี่ยวพันกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรม เช่น การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล การพัฒนาอุตสาหกรรม และการเจรจาทางการเมืองเรื่องการลดการปล่อยมลพิษ
2. เทคโนโลยีชีวภาพ (Biotechnology) การดัดแปลงพันธุกรรมพืช (GMOs) เป็นตัวอย่างของ “ไฮบริด” ที่ผสมผสานวิทยาศาสตร์ชีวภาพ (ธรรมชาติ) กับกระบวนการผลิตเพื่อการค้า (สังคม) มันไม่สามารถจัดอยู่ในหมวดหมู่ “ธรรมชาติ” หรือ “สังคม” ได้เพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง
3. การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งการระบาดของไวรัสไม่ได้เป็นแค่ปัญหาทางการแพทย์ (ธรรมชาติ) แต่ยังเกี่ยวพันกับโครงสร้างทางสังคม เช่น ระบบเศรษฐกิจ การเมือง และพฤติกรรมการใช้ชีวิตของมนุษย์ การจัดการกับการระบาดจึงต้องอาศัยทั้งวิทยาศาสตร์การแพทย์และนโยบายทางสังคม
4. เทคโนโลยีดิจิทัล ภายใต้การพัฒนาของปัญญาประดิษฐ์ (AI) เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของไฮบริด ที่รวมเอาความสามารถของธรรมชาติ (สมองมนุษย์) กับการสร้างแบบจำลองผ่านเทคโนโลยีที่มนุษย์พัฒนาขึ้น
ข้อสรุป
Latour ต้องการให้เราตระหนักว่า โลกไม่ได้ถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจนระหว่างธรรมชาติกับสังคม การยอมรับความซับซ้อนของ “ไฮบริด” เหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจปัญหาร่วมสมัยได้ดีขึ้นและมองเห็นวิธีการแก้ไขที่ผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และมนุษยศาสตร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หากสนใจแนวคิดนี้เพิ่มเติม สามารถศึกษาแนวคิด Actor-Network Theory ในงานอื่น ๆ ของ Latour เช่น “Reassembling the Social” (2005) ซึ่งอธิบายวิธีวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ในสังคม
ในบรรดาข้อถกเถียงมากมายระหว่าง “คนโบราณ” และ “คนสมัยใหม่” (Ancients and Moderns) ฝ่ายแรกมักจะเป็นฝ่ายชนะบ่อยพอ ๆ กับฝ่ายหลังในปัจจุบัน และไม่มีสิ่งใดที่ช่วยให้เรากล่าวได้อย่างชัดเจนว่า การปฏิวัติทั้งหลายเป็นการยุติระบอบเก่าหรือเป็นการนำพาระบอบเก่านั้นไปสู่ความสมบูรณ์ ดังนั้น จึงเกิดความสงสัยแบบหนึ่งที่ถูกเรียกอย่างแปลก ๆ ว่า ‘หลังสมัยใหม่’ (postmodern) ทั้งที่แท้จริงแล้วมันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันสามารถเข้ามาแทนที่ “คนสมัยใหม่” ได้หรือไม่ (Latour, 1993: 10)
ข้อความนี้ปรากฏในงานของ Bruno Latour (1993) ที่กล่าวถึงความขัดแย้งระหว่างแนวคิด “โบราณ” และ “สมัยใหม่” โดยเน้นให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงหรือปฏิวัติในประวัติศาสตร์ไม่ได้มีคำตอบที่ชัดเจนว่ามัน “ทำลาย” ระบอบเก่าหรือเป็นเพียงการนำระบอบเก่าไปสู่จุดสูงสุด ดังนั้น แนวคิดที่เรียกว่า “หลังสมัยใหม่” (postmodern) จึงไม่ได้มีความมั่นใจว่าตนเองสามารถก้าวพ้นหรือแทนที่ความเป็นสมัยใหม่ (modernity) ได้อย่างแท้จริง
การอธิบายง่าย ๆก็คือ Ancients (คนโบราณ) หมายถึงความเชื่อหรือแนวคิดเก่า ๆ ที่เคยเป็นหลักในอดีต เช่น ความเชื่อเรื่องอำนาจของศาสนา หรือการปกครองโดยกษัตริย์ ในขณะที่ Moderns (คนสมัยใหม่): หมายถึงแนวคิดที่เกิดขึ้นในยุคใหม่ เช่น วิทยาศาสตร์ การปฏิวัติประชาธิปไตย และเหตุผลนิยม
Latour ชี้ให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงทางสังคมหรือวัฒนธรรม เช่น การปฏิวัติฝรั่งเศสหรือการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ ๆ อาจดูเหมือนเป็นการล้มล้างของเก่า แต่ในทางหนึ่งก็อาจเป็นการทำให้ความคิดเก่าบางอย่างยังคงอยู่ หรือแม้แต่เฟื่องฟูยิ่งขึ้นในรูปแบบใหม่ ๆ
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่นตัวอย่างในประวัติศาสตรในการปฏิวัติอุตสาหกรรม: ดูเหมือนว่าจะล้มล้างสังคมเกษตรกรรมแบบโบราณ แต่ในความเป็นจริงก็ยังมีการคงอยู่ของระบบชนชั้นและแรงงานในรูปแบบใหม่ เช่น ระบบทุนนิยมที่ยังคงความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ
ในการปฏิวัติฝรั่งเศส: มีเป้าหมายล้มล้างระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นภายหลังคือการปกครองโดยจักรพรรดินโปเลียน ซึ่งเป็นการนำอำนาจรวมศูนย์ในรูปแบบใหม่กลับมา
2. ตัวอย่างในปัจจุบัน เช่น เทคโนโลยีดิจิทัล ซึ่งดูเหมือนว่าจะล้มล้างระบบการทำงานแบบดั้งเดิม แต่ในขณะเดียวกันก็สร้างโครงสร้างอำนาจใหม่ เช่น อำนาจของบริษัทเทคโนโลยีขนาดใหญ่ เช่น Google, Facebook หรือ Amazon ซึ่งในบางมุมสะท้อนรูปแบบการรวมศูนย์ที่คล้ายระบบเศรษฐกิจแบบเก่า
3. สถาปัตยกรรมและการฟื้นฟูสถาปัตยกรรมคลาสสิก แม้โลกจะเข้าสู่ยุคสมัยใหม่หรือหลังสมัยใหม่ แต่สถาปัตยกรรมบางส่วน เช่น อาคารรัฐบาลหรือพิพิธภัณฑ์ในหลายประเทศ ยังคงสะท้อนความเป็นคลาสสิกหรือโบราณ เช่น เสาโรมันหรือโดมแบบเรเนซองส์
Latour ต้องการให้เราตั้งคำถามกับความเชื่อที่ว่า “ความก้าวหน้า” หมายถึงการแทนที่สิ่งเก่าด้วยสิ่งใหม่เสมอ เพราะบ่อยครั้งสิ่งที่ใหม่และเก่าไม่ได้แยกจากกันอย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการผสมผสานและพัฒนาต่อเนื่องในรูปแบบที่ซับซ้อนกว่า
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น