แนวคิดเรื่องความทุกข์เชิงสังคม (Social Suffering) ถูกพัฒนาขึ้นโดย Arthur Kleinman และนักมานุษยวิทยาและนักวิชาการทางสังคมศาสตร์หลายท่านที่ขยายความเข้าใจต่อแนวคิดเรื่องนี้ เช่น Veena Das และ Paul Farmer แนวคิดนี้เน้นการทำความเข้าใจความทุกข์ที่ไม่ได้เกิดจากปัจจัยทางร่างกายหรือจิตใจเพียงอย่างเดียว แต่รวมถึงปัจจัยเชิงสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองที่มีผลต่อความเป็นอยู่และความทุกข์ทรมานของผู้คนในสังคมด้วย
เนื้อหาสาระสำคัญของแนวคิดความทุกข์เชิงสังคม (Social Suffering)มีดังนี้
1. ความทุกข์ที่เชื่อมโยงกับปัจจัยทางสังคมและโครงสร้าง ความทุกข์ไม่ได้เกิดจากความเจ็บป่วยทางกายหรือจิตใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงความทุกข์ที่เกิดจากโครงสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรม เช่น การกดขี่ ความยากจน การเหยียดเชื้อชาติ นโยบายสาธารณะที่ไม่ครอบคลุม ซึ่งปัจจัยเหล่านี้มีผลโดยตรงต่อการดำเนินชีวิตของผู้คนและก่อให้เกิดความทุกข์ในระดับปัจเจกและชุมชน
2. ความทุกข์ที่ถูกทำให้เป็นปกติ (Normalization of Suffering)
แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าบางครั้งความทุกข์เชิงสังคมจะกลายเป็นเรื่องปกติในสังคม ผู้คนในสังคมอาจจะยอมรับความไม่เป็นธรรม การกดขี่ หรือความยากจนราวกับเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ และอาจรู้สึกว่าไม่สามารถแก้ไขมันได้ และต้องยอมรับและทำความคุ้นชินกับมัน
3. การแบ่งปันและการแสดงออกถึงความทุกข์ร่วมกัน ความทุกข์เชิงสังคมมักจะไม่ได้จำกัดอยู่ที่ปัจเจกบุคคลเท่านั้น แต่ยังเชื่อมโยงกับชุมชนและสังคมโดยรวม การเผชิญหน้ากับความทุกข์ร่วมกันสามารถนำไปสู่การสร้างความสัมพันธ์และการร่วมมือกันของผู้ที่เผชิญกับปัญหาเดียวกัน
4. ผลกระทบของความทุกข์เชิงสังคมต่อสุขภาพจิตและความเป็นอยู่ ความทุกข์เชิงสังคมส่งผลกระทบต่อสุขภาพจิตและคุณภาพชีวิตอย่างมาก โดยเฉพาะในชุมชนที่ขาดการสนับสนุนจากรัฐหรือสังคม เป็นการสะท้อนให้เห็นว่าสุขภาพไม่ได้เป็นเพียงเรื่องทางกายภาพ แต่ต้องพิจารณาความซับซ้อนของบริบททางสังคมด้วย
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เพื่อให้เข้าใจแนวคิดนี้มากขึ้น ต่อไปนี้คือตัวอย่างเชิงรูปธรรมของความทุกข์เชิงสังคม 1. การระบาดของเชื้อ HIV/AIDS ในประเทศยากจน Paul Farmer ได้ศึกษาผลกระทบของเชื้อ HIV/AIDS ในประเทศเฮติและประเทศที่ยากจนอื่น ๆ ซึ่งพบว่าโครงสร้างสังคมที่ไม่เป็นธรรม เช่น ความยากจน การเข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่จำกัด และการตีตราผู้ป่วย ทำให้ผู้ที่ติดเชื้อ HIV ต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานในหลายมิติ ทั้งในเชิงสุขภาพและการถูกกีดกันจากสังคม ผลกระทบนี้ไม่ได้เกิดจากโรคเองเท่านั้น แต่ยังเกิดจากปัจจัยทางสังคม เศรษฐกิจ และนโยบายของรัฐที่ไม่ครอบคลุม
2. ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพจากเหตุการณ์สงคราม
Veena Das ศึกษาชีวิตของผู้คนในอินเดียที่ประสบความรุนแรงทางการเมืองในช่วงที่เกิดการแบ่งแยกอินเดียและปากีสถาน เธอพบว่าผู้คนเหล่านี้ต้องทนทุกข์จากความรุนแรง การสูญเสียคนที่รัก และการถูกเลือกปฏิบัติ การสูญเสียบ้านและทรัพย์สินที่เป็นรากฐานสำคัญในชีวิต ทำให้ผู้ลี้ภัยเหล่านี้ประสบความทุกข์ในหลายด้าน นอกจากจะต้องรับมือกับการบาดเจ็บทางกายแล้ว ยังต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานทางจิตใจที่มาจากการสูญเสียและการอยู่ในสภาพแวดล้อมที่ไม่ปลอดภัย
3. ความยากจนและการเข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาลในชุมชนชนบท
Arthur Kleinman ได้ศึกษาความทุกข์ที่เกิดจากความยากจนในชุมชนชนบทในจีน ซึ่งชาวบ้านในพื้นที่ชนบทมักประสบปัญหาเข้าไม่ถึงการรักษาพยาบาล เนื่องจากต้องเสียค่าใช้จ่ายสูง ทำให้หลายคนที่ป่วยต้องทนทุกข์ทรมานจากโรคที่สามารถรักษาได้แต่ไม่มีทางเข้าถึงบริการการรักษาที่เหมาะสม ส่งผลให้ความทุกข์ทรมานเหล่านี้กลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันของคนในชุมชน
4. การเหยียดเชื้อชาติในสหรัฐอเมริกา
ชาวแอฟริกันอเมริกันในสหรัฐฯ เผชิญกับความทุกข์เชิงสังคมจากการถูกเหยียดเชื้อชาติและการถูกเลือกปฏิบัติ ความทุกข์นี้ไม่ได้จำกัดเฉพาะในช่วงเวลาหนึ่ง ๆ แต่เป็นความรู้สึกที่ฝังลึกและส่งต่อไปยังรุ่นต่อรุ่น เช่น การเข้าถึงการศึกษาที่มีคุณภาพต่ำกว่า การถูกปฏิเสธการจ้างงาน และความไม่เท่าเทียมในการได้รับการรักษาพยาบาล ส่งผลให้ชุมชนแอฟริกันอเมริกันจำนวนมากต้องเผชิญกับความทุกข์อย่างต่อเนื่องและขาดโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิต
โดยสรุป แนวคิดความทุกข์เชิงสังคมของ Arthur Kleinman และนักวิชาการท่านอื่น ๆ ชี้ให้เห็นว่า ความทุกข์ทรมานไม่ได้เป็นเรื่องของสุขภาพกายและจิตใจเพียงอย่างเดียว แต่ยังเชื่อมโยงกับโครงสร้างและปัจจัยทางสังคมที่ทำให้คนบางกลุ่มต้องตกอยู่ในสภาพที่ลำบาก แนวคิดนี้ชี้ให้เห็นว่าความทุกข์ของบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งอาจเป็นผลมาจากโครงสร้างที่กดขี่และไม่เป็นธรรมในสังคม
นี่คือหนังสือที่สำคัญจาก Paul Farmer, Arthur Kleinman, และ Veena Das ที่นำเสนอแนวคิดเกี่ยวกับความทุกข์เชิงสังคม (social suffering) และประเด็นที่เกี่ยวข้อง เช่น ความยากจน โรคภัย ความไม่เท่าเทียม และความรุนแรงในสังคม
1.Paul Farmer
Paul Farmer เป็นนักมานุษยวิทยาและแพทย์ที่เน้นการศึกษาเกี่ยวกับความไม่เท่าเทียมทางสังคม การดูแลสุขภาพ และผลกระทบของความยากจนต่อสุขภาพ 1.1 Pathologies of Power: Health, Human Rights, and the New War on the Poor (2003)
หนังสือเล่มนี้กล่าวถึงการเชื่อมโยงระหว่างความยากจนกับปัญหาสุขภาพ โดยชี้ให้เห็นว่าความไม่เท่าเทียมและการกดขี่ที่เกิดจากโครงสร้างทางสังคมเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดการละเมิดสิทธิมนุษยชนในกลุ่มผู้ยากจน Farmer ใช้กรณีศึกษาจากทั่วโลก เช่น เฮติ เปรู และรัสเซีย เพื่ออธิบายว่าระบบสุขภาพที่ไม่ครอบคลุมและนโยบายที่ไม่เป็นธรรมทำให้ผู้ยากจนต้องประสบความทุกข์ทรมานอย่างไร
1.2 Infections and Inequalities: The Modern Plagues (1999) ในหนังสือเล่มนี้ Farmer สำรวจโรคต่าง ๆ เช่น วัณโรค และเชื้อ HIV โดยชี้ว่าความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคมมีบทบาทสำคัญในการแพร่ระบาดของโรคเหล่านี้ Farmer แสดงให้เห็นว่าความยากจนและการเข้าไม่ถึงการรักษาทำให้ผู้คนในสังคมต้องประสบความทุกข์ทรมาน
1.3 To Repair the World: Paul Farmer Speaks to the Next Generation (2013) รวมคำบรรยายของ Farmer ที่เน้นประเด็นด้านสุขภาพ สิทธิมนุษยชน และความเป็นธรรมทางสังคม โดยเป็นแรงบันดาลใจให้กับคนรุ่นใหม่ในการต่อสู้เพื่อความเท่าเทียมและการเข้าถึงบริการสาธารณสุข
2.Arthur Kleinman
Arthur Kleinman เป็นนักมานุษยวิทยาและจิตแพทย์ที่ศึกษาเกี่ยวกับความเจ็บป่วย สุขภาพจิต และผลกระทบของความทุกข์ที่เชื่อมโยงกับปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม
2.1 The Illness Narratives: Suffering, Healing, and the Human Condition (1988) หนังสือเล่มนี้ศึกษาประสบการณ์ของผู้ป่วยและวิธีที่พวกเขาแสดงออกถึงความทุกข์ Kleinman ใช้กรณีศึกษาที่เกี่ยวข้องกับความเจ็บป่วยทางจิตและกาย เพื่ออธิบายว่าความเจ็บป่วยเป็นทั้งประสบการณ์ส่วนตัวและผลที่เกิดจากปัจจัยทางสังคมและวัฒนธรรม
2.2 What Really Matters: Living a Moral Life Amidst Uncertainty and Danger (2006)
หนังสือเล่มนี้สำรวจการต่อสู้กับความทุกข์ของมนุษย์ในบริบทต่าง ๆ โดยมีการนำเสนอเรื่องราวจากหลากหลายประเทศ Kleinman ชี้ให้เห็นถึงบทบาทของคุณค่าทางศีลธรรมในการรับมือกับความทุกข์และการดูแลผู้ป่วย
2.3 Social Suffering (1997) edited with Veena Das and Margaret Lock
หนังสือรวมบทความที่เน้นแนวคิดความทุกข์เชิงสังคมซึ่งเกิดจากโครงสร้างและนโยบายของสังคม Kleinman และผู้ร่วมเขียนเล่มนี้อธิบายว่าความทุกข์ของบุคคลหนึ่งหรือชุมชนหนึ่งสามารถเกิดจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น การเหยียดเชื้อชาติ ความยากจน และความรุนแรงในสังคม
3.Veena Das
Veena Das เป็นนักมานุษยวิทยาที่ศึกษาประเด็นเกี่ยวกับความรุนแรง ชีวิตประจำวัน ความทุกข์ และผลกระทบจากปัจจัยทางสังคมและการเมืองในอินเดีย
3.1 Life and Words: Violence and the Descent into the Ordinary (2006)
ในหนังสือเล่มนี้ Das สำรวจประสบการณ์ของผู้ที่เผชิญกับความรุนแรงทางการเมืองและความไม่เป็นธรรมในอินเดีย โดยเน้นการศึกษาการใช้ชีวิตประจำวันของผู้คนที่ต้องพบกับความทุกข์ในหลากหลายรูปแบบ Das แสดงให้เห็นว่าความรุนแรงและการสูญเสียได้แทรกซึมอยู่ในชีวิตของพวกเขาอย่างไร
3.2 Affliction: Health, Disease, Poverty (2015) Das ใช้หนังสือเล่มนี้ในการศึกษาผลกระทบของความยากจนและความเจ็บป่วยในสังคมอินเดีย โดยการศึกษาผ่านกรณีของผู้ที่ต้องทนทุกข์จากการขาดแคลนบริการทางการแพทย์และการถูกเลือกปฏิบัติ Das แสดงให้เห็นถึงวิธีที่ชุมชนรับมือกับความทุกข์และความไม่แน่นอนทางสุขภาพ
3.3 Violence and Subjectivity (2000) edited with Arthur Kleinman, Mamphela Ramphele, and Pamela Reynolds) หนังสือรวมบทความที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างความรุนแรงและประสบการณ์ส่วนตัว โดยเน้นผลกระทบของความรุนแรงต่อการสร้างอัตลักษณ์และความรู้สึกของการเป็นส่วนหนึ่งของสังคม Das และผู้เขียนร่วมเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าอัตลักษณ์ของบุคคลมักถูกกำหนดขึ้นจากประสบการณ์ความรุนแรงและความทุกข์ในบริบททางสังคมและการเมือง
หนังสือของ Paul Farmer, Arthur Kleinman, และ Veena Das ช่วยให้เห็นภาพของความทุกข์เชิงสังคมที่ไม่ได้เกิดจากปัจจัยทางร่างกายหรือจิตใจเท่านั้น แต่ยังรวมถึงผลกระทบจากโครงสร้างสังคมและวัฒนธรรมที่ไม่เป็นธรรม พวกเขาช่วยสร้างความเข้าใจถึงปัจจัยที่สร้างความทุกข์และกระตุ้นให้เราตระหนักถึงความสำคัญของการมีระบบสาธารณสุขที่ครอบคลุมและความเป็นธรรมในสังคม ..นักเรียนมานุษยวิทยาการแพทย์อย่างเราต้อง
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น