ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิด Gender Performativity ของ Judith Butler โดย รัฐยุฒิ สิงห์กุล

แนวคิด Gender Performativity ของ Judith Butler Judith Butler, นักปรัชญาและนักทฤษฎีเฟมินิสต์ชื่อดัง ได้นำเสนอแนวคิดเรื่อง “Gender Performativity” ในหนังสือ Gender Trouble: Feminism and the Subversion of Identity (1990) ซึ่งเป็นการท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับเพศสภาพ (gender) และเพศวิถี (sexuality) โดยอธิบายว่า เพศสภาพไม่ได้เป็นสิ่งที่มีอยู่ตามธรรมชาติหรือเป็นแก่นแท้ แต่เป็นผลของการแสดงออกซ้ำๆ (performance) ผ่านการกระทำ การพูด และสัญญะต่างๆ ในสังคม แนวคิดสำคัญของ Gender Performativity 1. Gender ไม่ได้เป็นแก่นแท้ (Essence) แต่เป็นการสร้าง (Construction) เพศสภาพ (gender) ไม่ได้เกิดจากธรรมชาติ แต่เป็นผลผลิตของวัฒนธรรม สังคม และบริบททางประวัติศาสตร์ เพศชาย-หญิง หรือบทบาททางเพศไม่ได้ถูกกำหนดตายตัว แต่ถูกสร้างและทำให้ดูเหมือน “ธรรมชาติ” ผ่านการแสดงออกซ้ำๆ 2. Performativity ต่างจาก Performance Performance: หมายถึงการแสดงที่มีตัวแสดง (actor) ตั้งใจแสดง เช่น การแสดงละคร Performativity หมายถึงการแสดงออกโดยไม่รู้ตัว หรือกระทำซ้ำๆ จนกลายเป็น “ความจริง” ตัวอย่างเช่น การเดิน ท่าทาง การแต่งตัว หรือคำพูดที่สังคมคาดหวังว่าชายหรือหญิงควรมี 3. การแสดงเพศ (Gender Performance) เป็นสิ่งที่ถูกบังคับ สังคมมีบรรทัดฐานที่กำหนดว่าเพศชายและเพศหญิงควรแสดงออกอย่างไร เช่น ผู้หญิงควรอ่อนหวาน ผู้ชายควรแข็งแกร่ง บุคคลถูกบังคับให้ “เล่นบทบาท” ทางเพศตามที่สังคมคาดหวัง 4. Gender เป็นกระบวนการซ้ำซ้อน การแสดงซ้ำๆ ของบทบาททางเพศที่ถูกสังคมกำหนดเป็นสิ่งที่ทำให้เพศสภาพดูเหมือนเป็น “ธรรมชาติ” ตัวอย่างเช่น เด็กผู้ชายที่ถูกสอนให้เล่นของเล่นแบบ “ผู้ชาย” จะถูกทำให้เชื่อว่าเขาเป็นผู้ชายโดยธรรมชาติ ทั้งที่สิ่งเหล่านี้เกิดจากการปลูกฝังของสังคม ตัวอย่างแนวคิดในชีวิตจริง 1. การแต่งตัว การที่ผู้หญิงใส่กระโปรงและผู้ชายใส่กางเกง เป็นผลจากบรรทัดฐานทางสังคม แต่ไม่ใช่ “ธรรมชาติ” ที่กำหนดให้เป็นเช่นนั้น 2. บทบาทในครอบครัว สังคมมักคาดหวังให้ผู้หญิงเป็นแม่บ้านและผู้ชายเป็นหัวหน้าครอบครัว แต่ Butler ชี้ให้เห็นว่าสิ่งเหล่านี้เป็นผลของการกระทำซ้ำๆ ที่สังคมสร้างขึ้น 3. การข้ามเพศ (Crossdressing) การที่บางคนแต่งตัวข้ามเพศ (crossdress) หรือไม่แสดงออกตามกรอบเพศที่สังคมคาดหวัง แสดงให้เห็นว่าเพศสภาพสามารถ “ถูกเล่น” หรือท้าทายได้ ผลกระทบต่อแนวคิดทางสังคมและการเมือง 1. ท้าทายบรรทัดฐานทางเพศ (Gender Norms) Butler ทำให้เราเข้าใจว่าเพศสภาพไม่ใช่สิ่งที่แน่นอนหรือเปลี่ยนไม่ได้ แต่สามารถท้าทายและสร้างใหม่ได้ 2. ส่งเสริมความหลากหลายทางเพศ (Gender Diversity) แนวคิดนี้ช่วยสนับสนุนความหลากหลาย เช่น LGBTQ+ โดยทำให้เห็นว่าเพศสภาพไม่ได้ถูกจำกัดอยู่แค่ “ชาย” หรือ “หญิง” 3. วิพากษ์ระบบอำนาจ (Power Structures) การกำหนดเพศสภาพเป็นเครื่องมือที่สังคมใช้ในการควบคุมและกำหนดบทบาทของบุคคล สรุป Gender Performativity คืออะไร เพศสภาพไม่ได้มีมาโดยธรรมชาติ แต่ถูกสร้างและแสดงออกผ่านการกระทำซ้ำๆ ที่สังคมกำหนด การแสดงเพศไม่ใช่แค่การแสดงออกธรรมดา แต่เป็นกระบวนการที่ทำให้เพศดูเหมือนจริงและมีความเป็นธรรมชาติ แนวคิดนี้เปิดโอกาสให้ตั้งคำถามและท้าทายกรอบความคิดเรื่องเพศ เพื่อสร้างความเข้าใจใหม่เกี่ยวกับเพศและอัตลักษณ์ที่หลากหลาย ถ้าจะเชื่อมโยง Cosplay กับแนวคิด Gender Performativity ของ Judith Butler สามารถอธิบายได้ในหลายมิติ ดังนี้: 1. Cosplay เป็นตัวอย่างของ Gender Performance Cosplay (การแต่งตัวเลียนแบบตัวละคร) แสดงให้เห็นว่าการ “สวมบทบาท” เป็นตัวละคร ไม่ว่าจะเป็นตัวละครที่มีเพศเหมือนหรือแตกต่างจากผู้แต่ง เป็นการแสดงให้เห็นว่า “เพศ” (Gender) ไม่ใช่สิ่งที่ตายตัว ใน Cosplay คุณสามารถเลือกแสดงความเป็นตัวละครชาย หญิง หรือแม้กระทั่งตัวละครไร้เพศได้อย่างอิสระ นี่สอดคล้องกับแนวคิดของ Butler ที่ว่า เพศสภาพคือการแสดง (Performance) ที่สามารถสร้างขึ้นใหม่ได้ ตัวอย่าง ชายที่แต่ง Cosplay เป็นตัวละครหญิง (หรือในทางกลับกัน) ไม่ได้จำกัดอยู่ที่เพศของตัวเอง แต่เลือกแสดง “บทบาท” ตามที่ต้องการ 2. การท้าทายบรรทัดฐานทางเพศ (Gender Norms) การแต่ง Cosplay สามารถท้าทายบรรทัดฐานทางเพศที่สังคมกำหนด เช่น ผู้ชายไม่จำเป็นต้องแสดงความแข็งแกร่งเสมอไป และผู้หญิงสามารถแต่งตัวหรือแสดงเป็นตัวละครที่มีอำนาจได้ นี่สะท้อนให้เห็นว่าเพศสภาพไม่ได้ถูกกำหนดโดย “ธรรมชาติ” แต่ถูกสร้างและสามารถเล่นหรือปรับเปลี่ยนได้ ตัวอย่าง ผู้หญิงที่แต่ง Cosplay เป็นตัวละครชาย เช่น ซามูไร หรืออัศวิน สะท้อนว่า “บทบาท” ของเพศชายในสังคมสามารถถูกสร้างและแสดงโดยเพศอื่นได้ 3. Cosplay เป็นพื้นที่ทดลองเรื่องเพศสภาพ การแต่ง Cosplay ช่วยให้ผู้คนทดลองแสดงเพศสภาพหรือบทบาทที่แตกต่างจากเพศที่พวกเขามีในชีวิตจริง เช่น คนที่อยากสำรวจหรือทดลองแสดงตัวตนในรูปแบบอื่น กระบวนการนี้คล้ายกับที่ Butler อธิบายว่า เพศสภาพเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นใหม่ผ่านการกระทำซ้ำๆ และการแสดงออกในบริบททางสังคม ตัวอย่างผู้ชายที่แต่งเป็นตัวละครหญิงอาจได้รับประสบการณ์ใหม่เกี่ยวกับวิธีที่สังคมปฏิบัติต่อเพศหญิง หรือในทางกลับกัน 4. Cosplay ช่วยยืนยันแนวคิดเรื่องความหลากหลายทางเพศ แนวคิดของ Butler สนับสนุนว่าเพศไม่ใช่เพียงแค่ “ชาย” หรือ “หญิง” แต่มีความหลากหลายที่กว้างขวาง Cosplay ช่วยเปิดพื้นที่ที่ผู้คนสามารถแสดงออกถึงตัวตนในรูปแบบที่ไม่จำกัดอยู่กับกรอบเพศใดกรอบเพศหนึ่ง เช่น การแต่งตัวแบบ androgynous (กลางๆ ระหว่างชายและหญิง) ตัวอย่างตัวละครที่ไม่มีเพศชัดเจน (เช่น ตัวละครในอนิเมะบางเรื่อง) ทำให้คนแต่งสามารถสื่อสารอัตลักษณ์ที่หลากหลายได้โดยไม่จำกัดเพศ 5. การแสดงซ้ำๆ และการสร้างอัตลักษณ์ใหม่ ตามแนวคิด Gender Performativity การแสดงออกทางเพศซ้ำๆ ทำให้สิ่งนั้นดูเหมือนเป็น “ความจริง การแต่ง Cosplay และการเล่นบทบาทซ้ำๆ ของตัวละครช่วยสร้างอัตลักษณ์ใหม่ให้กับผู้แต่ง เช่น คนที่แต่งตัวเป็นตัวละครที่มีบุคลิกแตกต่างจากตัวเองในชีวิตจริง อาจนำบุคลิกเหล่านั้นมาผสมผสานกับตัวตนของตน ตัวอย่างl คนที่แต่งตัวเป็นตัวละครที่แข็งแกร่งอาจได้รับความมั่นใจและนำลักษณะนั้นกลับมาใช้ในชีวิตจริง สรุป: Cosplay กับ Gender Performativity Cosplay เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวคิด Gender Performativity ของ Judith Butler เพราะมันแสดงให้เห็นว่าเพศสภาพและบทบาททางเพศไม่ได้เป็นสิ่งที่ตายตัว แต่เป็นสิ่งที่สามารถ “เล่น” และ “สร้าง” ได้อย่างอิสระผ่านการแสดงออกในบริบทต่างๆ นอกจากนี้ Cosplay ยังช่วยเปิดพื้นที่สำหรับการทดลองและสร้างความเข้าใจเกี่ยวกับความหลากหลายทางเพศและอัตลักษณ์ส่วนบุคคล .

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...