ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดทางมานุษยวิทยากับการมองประเด็นนิยาย omegaverse โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล



นิยาย โอเมก้าเวิร์ส (Omegaverse) ซึ่งมีต้นกำเนิดจากแฟนฟิคชั่น มักเกี่ยวข้องกับประเด็นเรื่องเพศสภาพ ความสัมพันธ์ทางเพศ และโครงสร้างอำนาจในสังคมสมมติ แนวคิดที่สามารถนำมาใช้อธิบายหรือวิเคราะห์ได้มีหลายแบบ ขึ้นอยู่กับมุมมองที่ต้องการเน้น ตัวอย่างแนวคิดที่น่าสนใจ ผมลองเชื่อมโยงแนวคิดเข้ากับนิยาย โอเมก้าเวิร์ส (Omegaverse) ในเชิงรูปธรรมสามารถทำได้ดังนี้ได้แก่ 1. ทฤษฎีเพศสภาพและเพศวิถี (Gender and Sexuality Theories) ใช้แนวคิดของ Judith Butler เกี่ยวกับการแสดงบทบาททางเพศ (Gender Performativity) เพื่อวิเคราะห์ว่าบทบาทของอัลฟ่า เบต้า และโอเมก้าในเรื่องเป็นการสร้างและแสดงบทบาททางเพศที่กำหนดโดยสังคมอย่างไร รวมถึงการสำรวจประเด็นเรื่อง heteronormativity และความท้าทายต่อโครงสร้างเพศแบบคู่ตรงข้าม (binary gender) การเชื่อมโยง Judith Butler กับบทบาททางเพศใน Omegaverse ตัวอย่าง ในโอเมก้าเวิร์ส โอเมก้าถูกกำหนดให้มีบทบาท “อ่อนแอ” หรือ “ต้องการการปกป้อง” จากอัลฟ่า ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึง การสร้างบทบาททางเพศ (Gender Performativity) ที่ถูกกำหนดโดยบริบทสังคมในนิยาย การเชื่อมโยงแนวคิดของButler ที่อธิบายว่าเพศสภาพไม่ได้เป็นแก่นแท้ (essential) แต่ถูกผลิตซ้ำผ่านการแสดงบทบาทในสังคม ในโอเมก้าเวิร์ส บทบาทของโอเมก้าถูกผลิตซ้ำผ่านพฤติกรรม เช่น การเข้าสู่ฮีทไซเคิล (heat cycle) และการยอมรับว่าตนต้องพึ่งพาอัลฟ่า การผลิตซ้ำนี้ทำให้โครงสร้างความเหลื่อมล้ำทางเพศในโลกสมมติเหมือนจริง 2. แนวคิดเรื่องอำนาจและความสัมพันธ์ (Power and Hierarchy ใช้ทฤษฎีของ Michel Foucault เพื่อวิเคราะห์ว่าการจัดลำดับชั้นระหว่างอัลฟ่า โอเมก้า และเบต้า สะท้อนการใช้อำนาจและการควบคุมในสังคมอย่างไร โครงสร้างความสัมพันธ์ในโอเมก้าเวิร์สยังสามารถแสดงถึงความสัมพันธ์แบบ dominance/submission ซึ่งอาจนำไปสู่การวิเคราะห์เชิงจิตวิทยาหรือวัฒนธรรม การเชื่อมโยง Michel Foucault กับโครงสร้างอำนาจใน Omegaverse ตัวอย่าง อัลฟ่ามักถูกวางให้อยู่ในตำแหน่ง “ผู้มีอำนาจ” โดยธรรมชาติ เช่น มีสิทธิในการเลือกคู่หรือครอบครองโอเมก้าผ่าน “การผูกพันธะ” (bonding)การเชื่อมโยงแนวคิดของ Foucault อธิบายว่าความรู้และอำนาจมักถูกเชื่อมโยงกัน ในโอเมก้าเวิร์ส การสร้างบทบาททางชีววิทยา (เช่น อัลฟ่ามีกลิ่นฟีโรโมนที่ควบคุมโอเมก้า) สร้างความชอบธรรมให้โครงสร้างอำนาจ ทำให้ระบบชนชั้นทางเพศในโลกสมมตินี้ดูเหมือนเป็น “ธรรมชาติ” ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นผลผลิตของอำนาจและความรู้ที่ถูกสร้างขึ้น 3. Anthropology of Kinship and Reproduction โดย ใช้แนวคิดทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับระบบเครือญาติและบทบาทของการสืบพันธุ์ในสังคม สำรวจว่าแนวคิดของ “ฮีทไซเคิล” (heat cycle) และการผูกพันธะ (bonding) แสดงถึงการสร้างครอบครัวและบทบาททางเพศในรูปแบบใหม่อย่างไร การเชื่อมโยง Anthropology of Kinship กับการสร้างครอบครัวใน Omegaverse ตัวอย่าง ในโอเมก้าเวิร์ส การเกิด “พันธะคู่ชีวิต” (mating bond) ระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้าถูกมองว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุดในชีวิตของตัวละคร การเชื่อมโยงแนวคิดเครือญาติในมานุษยวิทยา เช่น งานของ Claude Lévi-Strauss ชี้ว่าการแต่งงานหรือพันธะสัมพันธ์มักเป็นกลไกในการสร้างระบบเครือญาติ ในโอเมก้าเวิร์ส ความสัมพันธ์นี้ไม่ใช่เพียงความรัก แต่เป็นกลไกในการจัดระเบียบสังคมและสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างตัวละคร 4. Psychoanalytic Feminism ใช้แนวคิดของ Sigmund Freud หรือ Jacques Lacan เกี่ยวกับอัตตาและความต้องการทางเพศ เพื่ออธิบายว่าความสัมพันธ์และบทบาทในโอเมก้าเวิร์สสะท้อนความต้องการหรือแรงขับทางจิตวิทยาใด หรือใช้แนวคิดของนักจิตวิเคราะห์สตรีนิยม (เช่น Juliet Mitchell) เพื่อสำรวจบทบาทของโอเมก้าที่มักถูกวางให้อยู่ในบทบาทผู้ถูกกดขี่ การนำ Psychoanalytic Feminism มาวิเคราะห์นิยายโอเมก้าเวิร์ส (Omegaverse) สามารถทำได้โดยเชื่อมโยงแนวคิดเรื่องจิตไร้สำนึก (unconscious) และความสัมพันธ์ระหว่างเพศในเชิงสัญลักษณ์ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น แนวคิดของ “ความเป็นแม่” (Motherhood) และบทบาทโอเมก้า ตัวอย่างในโอเมก้าเวิร์ส ตัวละครโอเมก้ามักถูกกำหนดบทบาทให้เป็นผู้ตั้งครรภ์และดูแลลูก ซึ่งสะท้อนถึงความคาดหวังเชิงชีววิทยาและวัฒนธรรมในบทบาทของผู้หญิง การเชื่อมโยง Psychoanalytic Feminism เช่น งานของ Nancy Chodorow อธิบายว่าบทบาทของแม่เป็นผลผลิตจากโครงสร้างจิตไร้สำนึกในระบบปิตาธิปไตย (patriarchy) การวางให้โอเมก้าเป็นผู้ดูแลลูกและพึ่งพาอัลฟ่าสร้างความต่อเนื่องให้กับระบบนี้ในโลกสมมติ และตอกย้ำว่าความเป็นแม่คือ “ธรรมชาติ” ทั้งที่จริงแล้วมันเป็นผลผลิตของวัฒนธรรม หรือ ฮีทไซเคิล (Heat Cycle) และความต้องการทางเพศ ตัวอย่าง โอเมก้าในช่วงฮีทไซเคิลไม่สามารถควบคุมร่างกายหรืออารมณ์ได้ และมักต้องการอัลฟ่าเพื่อปลดปล่อยความต้องการนี้ การเชื่อมโยงแนวคิดของ Sigmund Freud ว่าด้วยแรงขับทางเพศ (sexual drives) อธิบายว่าความต้องการนี้เป็นส่วนหนึ่งของจิตไร้สำนึกที่มีอิทธิพลต่อพฤติกรรม อย่างไรก็ตาม Psychoanalytic Feminism เช่น งานของ Luce Irigaray วิพากษ์ว่าเรื่องเล่าเช่นนี้มักลดทอนผู้หญิง (หรือในกรณีนี้คือโอเมก้า) ให้กลายเป็น “วัตถุแห่งความต้องการ” ของผู้อื่น (อัลฟ่า) ซึ่งสะท้อนถึงการควบคุมผู้หญิงในเชิงสัญลักษณ์ การสร้างอัตลักษณ์ของโอเมก้าผ่านการผูกพันธะ (Bonding) ตัวอย่าง โอเมก้าในนิยายมักถูกผูกพันธะ (bonding) กับอัลฟ่า ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์นี้กลายเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้และกำหนดอัตลักษณ์ของตัวละครการเชื่อมโยงกับแนวคิดของ Jacques Lacan อธิบายว่าอัตลักษณ์ของเรามักถูกกำหนดผ่าน “มุมมองของผู้อื่น” (the gaze of the Other) ในโอเมก้าเวิร์ส การที่โอเมก้าต้องขึ้นอยู่กับอัลฟ่าทั้งในแง่ชีววิทยาและจิตใจสะท้อนว่าอัตลักษณ์ของโอเมก้าถูกสร้างผ่านความสัมพันธ์กับอัลฟ่าเท่านั้น Psychoanalytic Feminism วิจารณ์ว่ากระบวนการนี้ลดทอนความเป็นตัวตนของโอเมก้าและทำให้พวกเขาอยู่ในบทบาทผู้ถูกกดขี่ หรือความสัมพันธ์แบบ Dominance/Submission และจิตไร้สำนึกในความรักตัวอย่างในโอเมก้าเวิร์ส ความสัมพันธ์ระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้ามักถูกออกแบบให้เป็นแบบ dominance/submission โดยธรรมชาติ เช่น อัลฟ่าเป็นผู้ปกป้องและโอเมก้าเป็นผู้ถูกปกป้อง การเชื่อมโยง Freud อธิบายว่าความปรารถนาและความรักมักมีรากฐานจากจิตไร้สำนึกที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ในวัยเด็ก เช่น ความรู้สึกต้องการความปลอดภัยจากพ่อแม่ Psychoanalytic Feminism เช่น งานของ Jessica Benjamin ขยายความว่าความสัมพันธ์ dominance/submission ในจินตนาการเป็นวิธีการที่คนพยายามหาความสมดุลระหว่างการเป็นตัวของตัวเองและการเชื่อมโยงกับผู้อื่น สุดท้ายการปราบปรามแรงขับทางเพศของโอเมก้า ตัวอย่าง ในบางนิยายโอเมก้าเวิร์ส ตัวละครโอเมก้าถูกคาดหวังให้ควบคุมแรงขับทางเพศหรือถูกลงโทษเมื่อแสดงออกถึงความต้องการทางเพศ การเชื่อมโยงกับแนวคิด Psychoanalytic Feminism วิจารณ์การควบคุมแรงขับทางเพศของผู้หญิงว่าเป็นกลไกของสังคมปิตาธิปไตยที่กดขี่และควบคุมเพศหญิง ในโอเมก้าเวิร์ส การที่โอเมก้าถูกทำให้อายหรือรู้สึกผิดเกี่ยวกับแรงขับทางเพศสะท้อนถึงกระบวนการนี้ในบริบทของจิตไร้สำนึกและวัฒนธรรม การใช้ Psychoanalytic Feminism ทำให้เรามองเห็นว่าความสัมพันธ์และบทบาทในโอเมก้าเวิร์สไม่ใช่เพียงเรื่องของความแฟนตาซี แต่ยังเกี่ยวข้องกับการสะท้อนหรือวิพากษ์โครงสร้างอำนาจและความสัมพันธ์ทางเพศในสังคมจริงอีกด้วย 5. Queer Theory วิเคราะห์ว่าโอเมก้าเวิร์สเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้กับการสำรวจความเป็นเพศวิถีที่แปลกใหม่ (queerness) และท้าทายต่อบรรทัดฐานทางเพศในโลกความเป็นจริงอย่างไร และพิจารณาประเด็นเรื่องความยืดหยุ่นของอัตลักษณ์ทางเพศ การเชื่อมโยง Queer Theory กับการท้าทายเพศวิถีใน Omegaverse เช่นตัวอย่าง ในโอเมก้าเวิร์ส ความสัมพันธ์ระหว่างอัลฟ่าและโอเมก้ามักไม่มีการแยกเพศสภาพ (ชาย/หญิง) อย่างชัดเจน เช่น ชาย-โอเมก้าสามารถตั้งครรภ์ได้ หากการเชื่อมโยงQueer Theory ชี้ให้เห็นว่าการข้ามเส้นแบ่งทางเพศ (gender binary) เป็นการท้าทายบรรทัดฐานทางเพศแบบดั้งเดิม ในโอเมก้าเวิร์ส การสร้างความสัมพันธ์แบบใหม่ เช่น ชายตั้งครรภ์ หรือความรักข้ามลำดับชั้น (อัลฟ่ารักเบต้า) เป็นพื้นที่ที่ช่วยสำรวจความหลากหลายทางเพศในเชิงจินตนาการ 6. Posthumanism ใช้แนวคิดที่เชื่อมโยงมนุษย์กับสภาวะชีววิทยาที่ถูกทำให้เป็นเรื่องสมมติในโอเมก้าเวิร์ส เช่น การอยู่ในสังคมที่พันธุกรรมมีบทบาทสำคัญเหนืออัตลักษณ์ การเชื่อมโยง Posthumanism กับชีววิทยาใน Omegaverse ตัวอย่าง โอเมก้าเวิร์สสร้างโลกที่ตัวละครมีการทำงานของร่างกายที่เหนือกว่ามนุษย์ เช่น ฮีทไซเคิลหรือฟีโรโมนที่ควบคุมพฤติกรรม การเชื่อมโยงแนวคิด Posthumanism ชี้ว่าอัตลักษณ์มนุษย์ไม่ได้ถูกจำกัดด้วยชีววิทยาแบบดั้งเดิม แต่เป็นผลผลิตของการผสมผสานระหว่างวัฒนธรรมและเทคโนโลยี ในโอเมก้าเวิร์ส การออกแบบร่างกายและชีววิทยาของตัวละครสะท้อนการก้าวข้ามขีดจำกัดของมนุษย์ และชี้ให้เห็นถึงการผสมผสานระหว่างสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นกับธรรมชาติ การวิเคราะห์เหล่านี้ช่วยให้มองเห็นมิติลึกซึ้งของนิยาย Omegaverse ว่ามันไม่ได้เป็นเพียงเรื่องแต่ง แต่ยังสะท้อนถึงประเด็นทางสังคม วัฒนธรรม และปรัชญาที่ซับซ้อนรวมถึง โครงสร้างอำนาจ ความสัมพันธ์ระหว่างเพศ หรือบทบาททางชีววิทยาในสังคมสมมติ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...