ร่างกายเป็นพื้นฐานของความหมาย ความคิด การปฏิบัติ อัตลักษณ์ ตัวตน อารมณ์และผัสสะ ดังนั้นวิชานี้จึงค่อนข้างให้ความสำคัญกับทั้งเรื่องโครงสร้าง และอัตวิสัย ที่เขื่อมโยงกับร่างกาย หนังสือที่ผมใช้เป็นหลักพื้นฐานเล่มหนึ่งคือ The Body & Society: Explorations in Social Theory เขีบนโดย Bryan S. Turner เป็นหนังสือสำคัญในสาขาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา ที่มุ่งเน้นการศึกษาร่างกายในฐานะที่เป็นทั้งวัตถุทางกายภาพและเปรากฏการณ์ทางสังคม วัฒนธรรม และการเมือง โดย Turner ใช้แนวคิดจากทฤษฎีสังคมเพื่อสำรวจว่า “ร่างกาย” มีบทบาทอย่างไรในกระบวนการสร้างความหมายและความสัมพันธ์ในสังคม
แนวคิดสำคัญในหนังสือที่พอจะประมวลรวบรวมได้มีดังนี้คือ
1. ร่างกายในฐานะวัตถุสังคม (The Social Body)Turner ชี้ว่าร่างกายไม่ใช่เพียงแค่วัตถุทางชีววิทยา แต่เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นใหม่อย่างต่อเนื่องผ่านกระบวนการทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น การควบคุม การจัดการ และการแสดงออกในบริบทต่างๆ
2. ระเบียบวินัยและการควบคุมร่างกาย (Discipline and Regulation)
Bryan S. Turner ได้รับอิทธิพลจากงานของ Michel Foucault โดยเฉพาะแนวคิดเกี่ยวกับ biopolitics และการควบคุมร่างกายในสังคมผ่านสถาบัน เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน และเรือนจำ ตัวอย่างเช่น การจัดการร่างกายผ่านการออกกำลังกาย การรักษาโรค หรือการแต่งกาย
3. ร่างกายในบริบททางศาสนาและจิตวิญญาณ Turner สำรวจบทบาทของร่างกายในพิธีกรรมทางศาสนา เช่น การอดอาหาร การบวช หรือการทรมานตัวเองในพิธีกรรมบางรูปแบบ
4. เพศและเพศวิถี (Gender and Sexuality) Turner เชื่อมโยงการศึกษาร่างกายเข้ากับการสร้างความเป็นเพศ (gender) และเพศวิถี (sexuality) โดยอธิบายว่าร่างกายของผู้หญิงและผู้ชายถูกสร้างและตีความแตกต่างกันอย่างไรในบริบททางสังคม
5. ร่างกายกับเศรษฐกิจการบริโภค (Body and Consumer Culture) Turner ชี้ว่าร่างกายกลายเป็นสินค้าหรือ “พื้นที่การบริโภค” (site of consumption) ในโลกสมัยใหม่ เช่น การทำศัลยกรรม ความงาม การออกกำลังกาย หรือการบริโภคอาหารเสริม
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจจากหนังสือเล่มนี้ที่จะพอทำให้เราเห็นภาพกสรเชื่อมโยงแนวคิดกับปรากฏการณ์ทงาสังคมวัฒนธรรมต่างๆก็คือ
1. การแต่งกายและการควบคุมร่างกายในสังคมตัวอย่างจากวัฒนธรรมที่กำหนดว่าผู้หญิงควรแต่งตัวอย่างไร เช่น การสวมฮิญาบในสังคมชุมชนมุสลิม หรือการบังคับใช้ชุดนักเรียนในโรงเรียน
2. วัฒนธรรมการบริโภคร่างกาย
การใช้ฟิตเนสและคลินิกศัลยกรรมในฐานะเครื่องมือสร้าง “ร่างกายที่สมบูรณ์แบบ” Turner ชี้ว่าอุดมคติของความงามในยุคสมัยใหม่เชื่อมโยงกับอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจ
3. การสร้างความเป็นเพศผ่านร่างกาย
ตัวอย่างการควบคุมผู้หญิงในอดีต เช่น การรัดเท้าในวัฒนธรรมจีน การผ่าตัดแปลงพศ หรือการทำหมันเพื่อควบคุมจำนวนประชากร
4. ร่างกายในบริบทศาสนา ตัวอย่างเช่น การถือศีลอดในศาสนาอิสลามหรือการทรมานร่างกายของนักบวชคริสต์ในยุคกลาง เพื่อแสดงความศรัทธาหรือ “ชำระบาป”
5. อำนาจและการแพทย์ Turner ใช้ตัวอย่างการจัดการร่างกายของผู้ป่วยในโรงพยาบาล โดยแสดงให้เห็นว่าระบบการแพทย์เป็นเครื่องมือของอำนาจที่จัดการและนิยามความหมายของ “สุขภาพ” และ “ความเจ็บป่วย”
แนวทางการวิเคราะห์สำคัญ คือ Turner ใช้กรอบคิดแบบ phenomenology (ปรากฏการณ์วิทยา) และ social constructionism (โครงสร้างสังคม) เพื่อแสดงว่าร่างกายถูกประกอบ “สร้าง” ใหม่ในแต่ละบริบทวัฒนธรรมภายใต้อิทธิพลของแนวคิดนักคิด เช่น Michel Foucault (เรื่องการควบคุมและอำนาจ) และ Pierre Bourdieu (เรื่อง habitus และทุนทางวัฒนธรรม)
Turner นำเสนอร่างกายในฐานะพื้นที่ที่สะท้อนถึงอำนาจ สังคม และวัฒนธรรม ตัวอย่างที่สามารถเชื่อมโยงได้กับประเด็นต่าง ๆ มีดังนี้
1. การควบคุมร่างกายผ่านอำนาจและกฎระเบียบ
ตัวอย่างทางการแพทย์ การกำหนดว่าอะไรคือ “ร่างกายที่ปกติ” และ “ร่างกายที่เจ็บป่วย” เช่น การกำหนดค่าดัชนีมวลกาย (BMI) เพื่อบอกว่าใคร “อ้วน” หรือ “ผอม” ซึ่งทำให้เกิดอุตสาหกรรมลดน้ำหนักและการทำศัลยกรรมเพื่อให้เข้ากับมาตรฐานดังกล่าว
ตัวอย่างในสถานศึกษา การบังคับใช้ชุดนักเรียนในโรงเรียนไทย เช่น การกำหนดความยาวของกระโปรงหรือทรงผม ซึ่งสะท้อนถึงการควบคุมร่างกายของเยาวชนในฐานะพื้นที่ของอำนาจและวินัย
2. การบริโภคร่างกายในวัฒนธรรมการบริโภค (Consumer Body)
อุตสาหกรรมความงาม การโปรโมตผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหรืออาหารเสริมเพื่อ “ฟื้นฟูร่างกาย” เช่น โฆษณาครีมที่ช่วยทำให้ผิวขาวในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งสะท้อนถึงอุดมคติทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับความงาม
•การสร้างภาพลักษณ์ผ่านฟิตเนส การใช้การออกกำลังกายเพื่อสร้าง “ร่างกายที่สมบูรณ์แบบ” โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ในไทย เช่น การโปรโมตการมี “six-pack” ผ่านโซเชียลมีเดีย
3. ร่างกายในพิธีกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรม
การใช้ร่างกายในพิธีกรรม ตัวอย่างเช่น การสักยันต์ ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อในพลังเหนือธรรมชาติที่สามารถปกป้องและเสริมพลังชีวิตให้ผู้สวมใส่
พิธีกรรมอดอาหาร การอดอาหารในศาสนาต่างๆ เช่น การจำศีลในช่วงเข้าพรรษา เพื่อชำระจิตใจและร่างกายให้บริสุทธิ์ หรือการถือศืลอด
4. การควบคุมเพศวิถีและเพศผ่านร่างกาย
การปฏิบัติทางเพศในวัฒนธรรมไทย ความเชื่อในเรื่อง “พรหมจรรย์” ของผู้หญิงก่อนแต่งงานที่ยังคงเป็นประเด็นในบางชุมชน สะท้อนถึงการควบคุมเพศวิถีผ่านร่างกาย
การผ่าตัดแปลงเพศ ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของการผ่าตัดแปลงเพศระดับโลก การเปลี่ยนแปลงทางร่างกายสะท้อนถึงวิธีที่บุคคลใช้ร่างกายในการนิยามอัตลักษณ์ทางเพศใหม่
5. ร่างกายในฐานะเครื่องมือทางการเมืองและการประท้วง
การใช้ร่างกายในการประท้วง ตัวอย่างจากกลุ่มผู้ประท้วงในไทยที่ใช้ร่างกายเพื่อแสดงจุดยืน เช่น การนั่งอดอาหาร หรือการชูสามนิ้วเพื่อแสดงการต่อต้าน
การแต่งกายเชิงสัญลักษณ์ การแต่งกายด้วยชุดนักเรียนโดยกลุ่มผู้ใหญ่ในไทยเพื่อวิพากษ์การควบคุมเยาวชนในระบบการศึกษา
6. การแพทย์กับร่างกายในวัฒนธรรมไทย
การรักษาแบบผสมผสาน
การใช้แพทย์แผนไทย เช่น การนวดแผนโบราณ หรือการกินสมุนไพรเพื่อ “ปรับสมดุลร่างกาย” ซึ่งสะท้อนถึงความเชื่อในแนวคิดแบบองค์รวมเกี่ยวกับร่างกาย
ความเชื่อเรื่องวิญญาณในร่างกาย ในวัฒนธรรมไทยมีความเชื่อว่าร่างกายสามารถเป็นที่อยู่อาศัยของวิญญาณ เช่น พิธีไหว้ศพเพื่อส่งวิญญาณผู้ตายให้สงบ
7. การเชื่อมโยงกับเทคโนโลยีและร่างกายในยุคดิจิทัล การสร้างตัวตนในโลกออนไลน์
การใช้ร่างกายในภาพถ่ายโปรไฟล์หรือการแต่งรูปให้ “ดูดี” ก่อนโพสต์ลงโซเชียลมีเดีย เพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่สะท้อนถึงความสำเร็จหรือความสุขในชีวิต
การวัดสุขภาพด้วยเทคโนโลยี การใช้แอปพลิเคชันตรวจจับการออกกำลังกาย เช่น Fitbit หรือ Apple Watch สะท้อนถึงแนวคิดการควบคุมร่างกายด้วยข้อมูล (data-driven body)
บทสรุป Turner นำเสนอว่าร่างกายเป็นทั้งพื้นที่ของความหมายและเครื่องมือที่สังคมใช้ควบคุมและสร้างความแตกต่าง ตัวอย่างเหล่านี้ช่วยอธิบายว่าร่างกายไม่ได้เป็นเพียงเรื่องส่วนบุคคล แต่ยังสะท้อนถึงอำนาจ วัฒนธรรม และการเปลี่ยนแปลงในสังคม
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น