ก่อนจะไปขุมชนกะเหรี่ยง บ้านพุเม้ยง์ อำเภอห้วยคต จังหวัดอุทัยธานี 1 ใน โปรแกรมที่จะสร้างการเรียนรู้คือเดินเข้าไร่ สำรวจพืชพรรณและระบบนิเวศในไร่หมุนเวียน โดยมีชาวบ้านเป็นพี่เลี้ยงให้ความรู้ ผมเลยหยิบยกหนังสือเล่มหนึ่งชือ Shifting Cultivation and Environmental Change: Indigenous People, Agriculture and Forest Conservation ที่เขียนโดย Malcolm F. Cairns ถือเป็นหนังสือที่ครอบคลุมเนื้อหาละเอียดเกี่ยวกับการทำไร่หมุนเวียน โดยเน้นที่บทบาทของชุมชนพื้นเมืองและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืนในบริบทต่าง ๆ ทั่วโลก หนังสือเล่มนี้รวบรวมข้อมูลจากนักวิชาการหลายคนที่ศึกษาการทำไร่หมุนเวียนในภูมิภาคต่าง ๆ ทั้งในเอเชีย แอฟริกา และอเมริกากลาง ทำให้สามารถเปรียบเทียบมุมมองและผลกระทบที่หลากหลายได้
ประวัติศาสตร์และวิวัฒนาการของไร่หมุนเวียน: อธิบายเกี่ยวกับที่มาของไร่หมุนเวียนว่ามีบทบาทอย่างไรในวัฒนธรรมและการดำรงชีวิตของคนพื้นเมือง รวมถึงการพัฒนาและการเปลี่ยนแปลงของการทำเกษตรในรูปแบบนี้ รวมถึงการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการอนุรักษ์ โดยนำเสนอวิธีการที่คนพื้นเมืองใช้ในการรักษาสมดุลของระบบนิเวศในพื้นที่การเกษตร รวมถึงวิธีการที่พวกเขาปรับเปลี่ยนการทำไร่ให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมและการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศเชื่อมโยงกับกรณีศึกษาจากภูมิภาคต่าง ๆ หนังสือเล่มนี้รวมกรณีศึกษาที่ครอบคลุมถึงการทำไร่หมุนเวียนในบริบทต่าง ๆ เช่น ในประเทศไทย ลาว อินโดนีเซีย และประเทศอื่น ๆ โดยเน้นความแตกต่างของการปฏิบัติ การจัดการทรัพยากร และผลกระทบของนโยบายรัฐต่อการทำไร่หมุนเวียน
ผมสนใจเรื่องการเปลี่ยนแปลงสิ่งแวดล้อมและการเกษตรยั่งยืน ที่ผู้ศึกษาได้ศึกษาผลกระทบที่เกิดจากการทำไร่หมุนเวียนต่อสิ่งแวดล้อมและวิธีที่สามารถปรับใช้ภูมิปัญญาท้องถิ่นเพื่อเสริมสร้างเกษตรยั่งยืนในระยะยาว
หนังสือเล่มนี้จึงเหมาะสำหรับผู้ที่สนใจด้านการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศ และบทบาทของชุมชนพื้นเมืองในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาทางวิชาการเข้มข้น เหมาะกับนักวิจัย นักศึกษา และผู้ที่ต้องการเข้าใจการเกษตรแบบดั้งเดิมที่ยังคงมีความสำคัญต่อการดำรงชีพและการรักษาสมดุลธรรมชาติ และอรรถาธิบายให้รายละเอียดเชิงลึกเกี่ยวกับการทำไร่หมุนเวียน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในบริบทของชุมชนพื้นเมืองทั่วโลก Cairns ชี้ให้เห็นว่าการทำไร่หมุนเวียนไม่ได้เป็นเพียงการทำการเกษตรแบบดั้งเดิม แต่เป็นการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและการรักษาความยั่งยืนของระบบนิเวศ ซึ่งช่วยในการอนุรักษ์ป่าไม้และความหลากหลายทางชีวภาพ ตัวอย่างที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้เช่น
1. ความหมายของไร่หมุนเวียนในบริบทต่าง ๆ
ไร่หมุนเวียนคือระบบการทำเกษตรที่ผู้คนปลูกพืชในพื้นที่หนึ่งจนกว่าดินจะเสื่อมสภาพ จากนั้นจะปล่อยให้พื้นที่นั้นฟื้นตัวตามธรรมชาติ โดยการปล่อยให้พืชพรรณเติบโตขึ้นเพื่อฟื้นฟูธาตุอาหารในดิน และย้ายไปยังพื้นที่ใหม่ในรอบปีถัดไป ในหนังสือของ Cairns ได้อธิบายว่าแนวทางนี้ไม่ใช่การทำลายป่าไม้แต่อย่างใด แต่เป็นระบบที่สอดคล้องกับธรรมชาติ มีวัฏจักรการใช้ที่ยั่งยืน
2. บทบาทของคนพื้นเมืองในการจัดการไร่หมุนเวียน Cairns ได้ยกตัวอย่างกรณีศึกษาจากหลากหลายประเทศ เช่น ประเทศไทยและลาว ที่ชุมชนพื้นเมือง เช่น กลุ่มชาติพันธุ์กะเหรี่ยง ใช้วิธีการทำไร่หมุนเวียนโดยมักจะใช้ช่วงเวลาในการฟื้นฟูดินประมาณ 7-15 ปี ซึ่งเป็นเวลาที่ต้นไม้และพืชพรรณจะเติบโตและฟื้นฟูพื้นที่ได้ดี การปล่อยให้พื้นที่พักฟื้นเป็นระยะเวลานานนี้ทำให้เกิดความหลากหลายทางชีวภาพกลับคืนมาและช่วยให้ดินฟื้นตัวอย่างยั่งยืน
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น กลุ่มชนเผ่ากะเหรี่ยงในไทย เมื่อพวกเขาทำไร่หมุนเวียน พื้นที่หนึ่งจะถูกปลูกพืชในช่วงเวลาที่เหมาะสม หลังจากนั้นจะย้ายไปยังอีกพื้นที่หนึ่ง ในขณะเดียวกันพื้นที่เก่าจะถูกปล่อยไว้โดยไม่ปลูกพืชต่อไป ทำให้เกิดการเจริญเติบโตของพืชพรรณธรรมชาติ พืชเหล่านี้จะช่วยสร้างโครงสร้างดินที่ดีขึ้นและเพิ่มธาตุอาหารในดิน เช่น ในหมู่บ้านที่แม่ฮ่องสอน ชาวกะเหรี่ยงใช้ระบบนี้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้พื้นที่ดังกล่าวสามารถใช้ได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
3. การเปลี่ยนแปลงและผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
การทำไร่หมุนเวียนได้รับผลกระทบจากนโยบายของรัฐที่เข้ามาควบคุมพื้นที่ป่า เช่น นโยบายการห้ามทำการเกษตรในพื้นที่ป่าในบางประเทศ การเข้ามาของระบบเกษตรเชิงพาณิชย์ และการตัดไม้ทำลายป่า ซึ่งส่งผลให้ชุมชนพื้นเมืองต้องเปลี่ยนวิธีการดำเนินชีวิตและระบบเกษตรแบบดั้งเดิม เช่น ในลาวและอินโดนีเซียที่หลายพื้นที่ห้ามการทำไร่หมุนเวียนเพราะเชื่อว่าการทำไร่เป็นการทำลายป่า ส่งผลให้หลายชุมชนต้องหันไปใช้การทำเกษตรแบบเชิงพาณิชย์ที่ไม่สอดคล้องกับวัฒนธรรมเดิม และเป็นการทำการเกษตรที่ทำลายสิ่งแวดล้อมและสร้างความไม่สมดุลของระบบนิเวศ
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น ในลาว นโยบายที่เข้ามาควบคุมการทำไร่หมุนเวียนได้ทำให้ชุมชนพื้นเมืองบางแห่งจำเป็นต้องเปลี่ยนจากการปลูกข้าวพื้นเมืองไปปลูกพืชเชิงพาณิชย์อย่างข้าวโพดแทน ซึ่งต้องใช้การใช้ปุ๋ยและสารเคมีมากขึ้นและทำให้ดินเสื่อมสภาพเร็วกว่าเดิม นอกจากนี้ พวกเขาไม่สามารถกลับมาใช้ระบบเดิมที่เคยทำได้เพราะมีการจำกัดพื้นที่ป่า
4. ความรู้พื้นเมืองและการอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ
Cairns กล่าวถึงว่าชุมชนพื้นเมืองมีความรู้เฉพาะถิ่นในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่สอดคล้องกับระบบนิเวศ เช่น การใช้พืชเฉพาะชนิดในการฟื้นฟูดิน และการปลูกพืชร่วมกันหลายชนิดในพื้นที่เดียว (เช่น ข้าว ผัก และพืชตระกูลถั่ว) ซึ่งช่วยเพิ่มความหลากหลายของพืชและสัตว์ในพื้นที่การเกษตร
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่นในพื้นที่ของกลุ่มกะเหรี่ยงในพม่า พวกเขาใช้การปลูกพืชหลายชนิดในไร่เดียว ซึ่งรวมถึงการปลูกพืชตระกูลถั่วเพื่อเพิ่มไนโตรเจนในดิน ทำให้ดินมีธาตุอาหารที่อุดมสมบูรณ์ ช่วยให้สามารถปลูกพืชได้หลากหลายชนิดและยังคงความยั่งยืนของดิน
5. การประยุกต์ใช้ไร่หมุนเวียนในระบบเกษตรยั่งยืนสมัยใหม่
Cairns นี้เสนอว่าไร่หมุนเวียนเป็นแนวทางการเกษตรที่ยังคงความยั่งยืนได้ดี และอาจนำมาเป็นแนวทางในการเกษตรสมัยใหม่ โดยเน้นการฟื้นฟูและรักษาความอุดมสมบูรณ์ของดิน เช่น การปรับระบบไร่หมุนเวียนให้ใช้ในพื้นที่ที่มีการทำเกษตรเชิงเดี่ยว (monoagriculture) เพื่อลดปัญหาดินเสื่อมสภาพและการใช้ปุ๋ยเคมี
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น ในฟิลิปปินส์ นักวิจัยและชาวไร่ได้ร่วมมือกันในการทดลองนำระบบไร่หมุนเวียนมาประยุกต์ใช้ในการปลูกพืชเชิงเดี่ยว เช่น การปลูกข้าวและข้าวโพดสลับกัน โดยปล่อยให้พื้นที่ฟื้นตัวหลังจากการเก็บเกี่ยวทุกปี ทำให้ไม่ต้องพึ่งพาการใช้สารเคมีมากเท่ากับการปลูกเชิงเดี่ยวอย่างต่อเนื่อง
บทสรุปที่น่าสนใจคือ หนังสือเล่มนี้เสนอแนวคิดว่าการทำไร่หมุนเวียนเป็นรูปแบบการจัดการทรัพยากรที่สอดคล้องกับระบบนิเวศในระดับชุมชน โดยเน้นความสัมพันธ์ระหว่างคนพื้นเมืองกับธรรมชาติ หากได้รับการยอมรับและสนับสนุนอย่างถูกต้อง ระบบนี้สามารถเป็นแบบอย่างในการจัดการทรัพยากรธรรมชาติที่ยั่งยืนในอนาคตและสามารถรับมือกับการเปลี่ยนแปลงภูมิอากาศและจัดการกับความหลากหลายทางชีวภาพ
ผมอยากทำโปรเจคเรื่องนี้และเรื่องอาหารกับชุมขนมาก
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น