หนังสือที่ศึกษาพัฒนาการของห้องครัวและการทำครัวที่เชื่อมโยงกับแนวคิดทางแนวมานุษยวิทยา มีหลายเล่ม ที่น่าสนใจได้แก่ The Anthropology of Food and Body: Gender, Meaning, and Power โดย Carole Counihan ซึ่งหนังสือเล่มนี้ศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างอาหารและอัตลักษณ์ทางเพศ การใช้ร่างกาย และพลังอำนาจ ซึ่งสามารถเชื่อมโยงไปถึงบทบาทของห้องครัวในฐานะพื้นที่ทางสังคมที่มีความหมาย
หนังสือชื่อ Cooking, Cuisine, and Class: A Study in Comparative Sociology” โดย Jack Goody ซึ่ง Jack Goody เป็นนักมานุษยวิทยาชื่อดังที่ศึกษาพัฒนาการของการทำอาหารในบริบททางสังคมและวัฒนธรรม โดยเปรียบเทียบการเปลี่ยนแปลงของการทำครัวในอารยธรรมต่าง ๆ
อีกเล่มหนึ่งคือ The Invention of the Modern Kitchen: A Cultural History” โดย Debra Schifeling โดยศึกษาว่าห้องครัวยุคใหม่พัฒนามาอย่างไร รวมถึงบทบาทและความหมายที่เปลี่ยนแปลงไปของพื้นที่ห้องครัวในวัฒนธรรมสมัยใหม่ ซึ่งเชื่อมโยงกับแนวคิดทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับพื้นที่และอัตลักษณ์ทางสังคมที่เกี่ยวกับอาหาร
อีกเล่มคลาสสิค พิมพ์มาหลายครั้งคือหนังสือชื่อ Food and Culture: A Reader โดย Carole Counihan และ Penny Van Esterik ซึ่งเป็นหนังสือที่รวบรวมบทความสำคัญเกี่ยวกับอาหารและวัฒนธรรม รวมถึงบทบาทของห้องครัวและการเตรียมอาหารในแต่ละวัฒนธรรม
หนังสือเหล่านี้ข้าจะทำให้เราข้าใจถึงบทบาทและการพัฒนาของห้องครัวจากมุมมองมานุษยวิทยา ทั้งในแง่ของสังคม วัฒนธรรม และความหมายทางประวัติศาสตร์ สำหรับการศึกษาเรื่องวัฒนธรรมห้องครัวในยุคโบราณก็มีหลายเล่ม หนังสือเหล่านี้ทำให้เรามองเห็นภาพพัฒนาการ และเปรียบเทียบบร บททางสังคมที่แตกต่างกันและเชื่อมโยงกับการเปลี่ยนแปลง
ในปัจจุบัน เช่น หนังสือ Food in the Ancient World โดย John M. Wilkins และ Shaun Hill ซึ่งหนังสือเล่มนี้ศึกษาวิธีการทำอาหารและวัฒนธรรมการกินของยุคโบราณ เช่น กรีกและโรมัน ซึ่งให้ความเข้าใจเรื่องการเตรียมอาหาร เครื่องครัว และบทบาทของอาหารในสังคม หรือหนังสือ The Cooking of Ancient Civilizations โดย Cathy K. Kaufman ที่มีการสำรวจการทำอาหารและวัตถุดิบต่าง ๆ ในสมัยอียิปต์ โรม และอารยธรรมอื่น ๆ นอกจากนี้ยังกล่าวถึงการพัฒนาของเครื่องครัวและเทคนิคการปรุงอาหาร หรือหนังสือ Food and Culture: A Reader” โดย Carole Counihan และ Penny Van Esterik หนังสือเล่มนี้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการปรุงอาหารและอิทธิพลของวัฒนธรรมอาหารโบราณที่สืบต่อมาในปัจจุบัน
และอีกเล่มหนึ่งคือ Ancient Greek and Roman Cooking” โดย François Soyer ที่มีการสำรวจสูตรอาหาร วัฒนธรรมการกิน และเครื่องครัวในยุคกรีกและโรมันโบราณ เป็นต้น
ผมจะยกประเด็นที่น่าสนใจจากหนังสือ Cooking, Cuisine, and Class: A Study in Comparative Sociology โดย Jack Goody เป็นงานศึกษาสำคัญที่วิเคราะห์การทำอาหารและวัฒนธรรมการบริโภคผ่านมุมมองสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา โดย Goody นำเสนอว่าอาหารและวิธีการทำอาหารสะท้อนโครงสร้างทางสังคม วัฒนธรรม และเศรษฐกิจของสังคมได้อย่างลึกซึ้ง ประเด็นที่น่าสนใจมีดังนี้
1. อาหารและชนชั้น โดย Goody เสนอว่าอาหารไม่เพียงแค่เป็นสิ่งจำเป็นในการดำรงชีพ แต่ยังเป็นเครื่องมือแสดงสถานะทางสังคมและชนชั้น ตัวอย่างเช่น อาหารที่ซับซ้อนหรือใช้วัตถุดิบหายากมักถูกเชื่อมโยงกับชนชั้นสูง ขณะที่อาหารพื้นบ้านเป็นของชนชั้นล่าง นอกจากนี้ ชนชั้นสูงมักใช้เทคนิคการปรุงอาหารที่ซับซ้อนเพื่อแสดงถึงความแตกต่างทางชนชั้น
2. ความสัมพันธ์ของอาหารและวัฒนธรรม Goody เปรียบเทียบวิธีการทำอาหารและการบริโภคในวัฒนธรรมต่าง ๆ เช่น ยุโรป เอเชีย และแอฟริกา เพื่อแสดงถึงความแตกต่างทางวัฒนธรรม เขาชี้ให้เห็นว่าสังคมที่พัฒนาอุตสาหกรรมและการเกษตรก้าวหน้ามีแนวโน้มที่จะสร้างอาหารที่หลากหลายมากขึ้น ขณะที่สังคมที่ยังคงพึ่งพาการเกษตรแบบดั้งเดิมจะมีอาหารที่เรียบง่ายกว่า
3. กระบวนการ Globalization ของอาหาร โดย Goody ศึกษาว่าการขยายตัวของการค้าทำให้อาหารและวัตถุดิบจากภูมิภาคต่าง ๆ สามารถแพร่หลายและเข้าถึงได้ทั่วโลก ตัวอย่างเช่น วัตถุดิบจากเอเชียหรือแอฟริกาถูกนำเข้าไปยังยุโรป ส่งผลให้เกิดการพัฒนาของอาหารที่หลากหลายและซับซ้อนมากขึ้นในสังคมตะวันตก
4. การเปลี่ยนแปลงของอาหารและเทคโนโลยี ซึ่ง Goody วิเคราะห์ว่าเทคโนโลยี เช่น การเก็บรักษาอาหารหรือการแปรรูปอาหาร มีบทบาทสำคัญในการเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมการทำอาหาร ตัวอย่างเช่น การถนอมอาหารแบบกระป๋องหรือแช่แข็ง ช่วยให้สามารถเก็บรักษาอาหารได้ยาวนานขึ้น ทำให้อาหารหลากหลายประเภทสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้มากขึ้น และเปลี่ยนพฤติกรรมการบริโภคอาหาร
Goody ให้ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงการทำอาหารในยุโรปสมัยกลางเมื่อเกิดการค้าขายกับตะวันออกกลาง โดยเครื่องเทศจากตะวันออก เช่น อบเชย และกานพลู ถูกนำมาใช้ในอาหารชั้นสูงในยุโรป ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของสถานะและความมั่งคั่ง การใช้อาหารและเครื่องเทศเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงการเชื่อมโยงทางสังคมและเศรษฐกิจระหว่างภูมิภาค ตัวอย่างเทำให้ชิงรูปธรรมที่ทำให้เห็นถึงความเชื่อมโยงระหว่างการทำอาหารและโครงสร้างทางสังคมอย่างชัดเจน เช่น
1. ความแตกต่างของอาหารระหว่างยุโรปและแอฟริกา โดย Goody อธิบายว่าในยุโรป สังคมมีโครงสร้างชนชั้นที่ชัดเจน ส่งผลให้อาหารมีลำดับชั้นตามสถานะทางสังคม อาหารชั้นสูงในยุโรปมักมีความซับซ้อนในการปรุง เช่นการใช้เครื่องเทศหายากและการตกแต่งที่ประณีต ในขณะที่อาหารชั้นล่างมีวัตถุดิบที่เรียบง่ายกว่า เช่น ขนมปัง ซุป และผักพื้นบ้าน ในทางตรงกันข้าม แอฟริกาใช้ระบบการปรุงอาหารที่เรียบง่ายกว่า โดยเน้นอาหารที่มีพลังงานสูงและสามารถทำได้อย่างรวดเร็ว อาหารมักจะมีลักษณะเป็นอาหารหม้อเดียวที่สามารถแบ่งปันได้ง่าย ซึ่งสะท้อนถึงโครงสร้างทางสังคมที่เน้นการรวมกลุ่มและความเท่าเทียมกัน
2. การใช้เครื่องเทศในอาหารยุโรปยุคกลาง ในช่วงยุคกลาง ยุโรปมีการค้ากับตะวันออกกลาง ทำให้มีการนำเข้าเครื่องเทศราคาแพง เช่น พริกไทย กานพลู และอบเชย เครื่องเทศเหล่านี้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสถานะและความมั่งคั่ง ชนชั้นสูงในยุโรปจะใช้อาหารที่มีเครื่องเทศราคาแพงในงานเลี้ยงหรืออาหารในชีวิตประจำวันเพื่อแสดงถึงความมั่งคั่ง ขณะที่ชนชั้นล่างไม่สามารถเข้าถึงเครื่องเทศเหล่านี้ได้ ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าอาหารและวัตถุดิบสามารถใช้เป็นสัญลักษณ์ทางสังคมและแสดงความแตกต่างทางชนชั้นได้อย่างชัดเจน
3. การเปลี่ยนแปลงจากครัวเรือนไปสู่การค้าอาหาร ในยุคการปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุโรป เกิดการเปลี่ยนแปลงของห้องครัวและการทำอาหารที่สำคัญ ครัวเรือนไม่ได้เป็นศูนย์กลางการผลิตอาหารเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป เนื่องจากมีอาหารสำเร็จรูปและการค้าอาหารในตลาด ตัวอย่างเช่น การปรากฏของขนมปังและเนื้อสำเร็จรูปช่วยลดความจำเป็นในการทำอาหารที่บ้าน สิ่งนี้มีผลทำให้ชนชั้นกลางและชนชั้นแรงงานสามารถเข้าถึงอาหารที่หลากหลายขึ้น ขณะที่ห้องครัวในบ้านชนชั้นสูงยังคงเป็นพื้นที่แสดงสถานะและอัตลักษณ์
หนังสือเล่มหนึ่งที่จะต่อภาพการทำครัวแบบดั้งเดิมกับครัวสมัยใหม่ได้คือ The Invention of the Modern Kitchen: A Cultural History โดย Debra Schifeling เป็นหนังสือที่สำรวจวิวัฒนาการของห้องครัวตั้งแต่ยุคอดีตจนถึงยุคปัจจุบัน โดยเจาะลึกถึงความเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรม สังคม และเทคโนโลยีที่มีผลต่อโครงสร้างและบทบาทของห้องครัว หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นว่าห้องครัวไม่ใช่แค่สถานที่ทำอาหารเท่านั้น แต่เป็นพื้นที่สะท้อนค่านิยมทางสังคม อัตลักษณ์ทางเพศ และการเปลี่ยนแปลงในวัฒนธรรมครอบครัว
แนวคิดสำคัญในหนังสือเล่มนี้ก็คือ
1. การเปลี่ยนแปลงจากห้องครัวแบบเปิดสู่ห้องครัวที่เป็นส่วนตัว ในอดีตห้องครัวมักตั้งอยู่กลางบ้านและเป็นสถานที่ทำอาหารที่เปิดโล่ง แต่เมื่อการออกแบบบ้านและสังคมเปลี่ยนไป ห้องครัวถูกย้ายให้มีพื้นที่แยกออกไป ทำให้ห้องครัวกลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวมากขึ้น แสดงให้เห็นถึงการแบ่งแยกงานบ้านและพื้นที่ส่วนตัวในชีวิตประจำวัน
2. การพัฒนาของเครื่องใช้ในครัว โดยหนังสืออธิบายถึงบทบาทของการปฏิวัติอุตสาหกรรมที่มีต่อห้องครัว โดยเฉพาะการพัฒนาเครื่องใช้ เช่น เตาอบ เครื่องทำความเย็น และอุปกรณ์ไฟฟ้าอื่น ๆ ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำอาหาร และทำให้ห้องครัวมีความทันสมัยมากขึ้น
3. บทบาททางเพศในห้องครัว โดย Schifeling วิเคราะห์การสร้างค่านิยมทางเพศในสังคมผ่านห้องครัว เช่น ในช่วงศตวรรษที่ 20 ห้องครัวมักถูกมองว่าเป็นพื้นที่ของผู้หญิง ซึ่งสะท้อนถึงบทบาทและความคาดหวังทางเพศในสังคม การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มีผลต่อการออกแบบห้องครัวและแนวทางการจัดวางพื้นที่
4. การออกแบบห้องครัวยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่สอง เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในสถาปัตยกรรมและการออกแบบบ้านในสหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นยุคที่ครอบครัวชาวอเมริกันมีชีวิตที่สะดวกสบายขึ้น ห้องครัวถูกออกแบบใหม่เพื่อให้มีขนาดเล็กลงและเน้นการใช้งานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น การจัดวางอุปกรณ์ทำครัวให้เข้าถึงง่ายและเป็นระเบียบ ตัวอย่างนี้แสดงถึงอิทธิพลของการปฏิวัติอุตสาหกรรมและการสร้างค่านิยมในครอบครัวแบบใหม่ที่เน้นความสะดวกสบายและความทันสมัย
5. การเกิดขึ้นของห้องครัวแบบ “Open Plan” โดย Schifeling อธิบายถึงการเกิดขึ้นของห้องครัวแบบเปิด หรือ “Open Plan” ซึ่งเริ่มได้รับความนิยมในช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 ในสหรัฐอเมริกาและยุโรป ห้องครัวแบบเปิดช่วยให้สมาชิกครอบครัวสามารถเชื่อมต่อกันได้มากขึ้น และส่งเสริมการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันในบ้าน การออกแบบเช่นนี้สะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมที่เน้นการใช้ชีวิตแบบครอบครัวที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิด
6. การปรากฏของห้องครัว “Efficient Kitchen” ในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 – หนึ่งในแนวคิดสำคัญที่เกิดขึ้นคือการออกแบบห้องครัวที่เน้นประสิทธิภาพ (Efficient Kitchen) โดยได้รับอิทธิพลจากแนวคิดการบริหารจัดการทางอุตสาหกรรม การออกแบบนี้มาจากงานวิจัยของ Christine Frederick ซึ่งใช้หลักการของวิทยาศาสตร์การจัดการงาน (Scientific Management) เพื่อช่วยให้การทำอาหารเร็วขึ้นและลดเวลาที่ใช้ในห้องครัว ตัวอย่างที่เด่นชัดคือการจัดวางอุปกรณ์เป็น “สามเหลี่ยมการทำงาน” (Work Triangle) ระหว่างเตา อ่างล้างจาน และตู้เย็น เพื่อให้การเข้าถึงแต่ละจุดในครัวสะดวกที่สุด แนวคิดนี้ยังคงมีอิทธิพลต่อการออกแบบห้องครัวในปัจจุบัน
7. การเปลี่ยนแปลงของครัวจากพื้นที่หลังบ้านไปสู่การเป็นศูนย์กลางของบ้าน ในอดีต ห้องครัวมักตั้งอยู่หลังบ้านแยกออกจากพื้นที่ใช้ชีวิตอื่น ๆ เนื่องจากการปรุงอาหารในยุคก่อนทำให้เกิดควันและกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อการระบายอากาศและการกำจัดควันได้รับการพัฒนาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และต้นศตวรรษที่ 20 ห้องครัวเริ่มถูกรวมเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของพื้นที่ในบ้าน ตัวอย่างเช่น การย้ายห้องครัวไปอยู่ใกล้ห้องนั่งเล่นสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ที่เห็นห้องครัวเป็นพื้นที่เชื่อมโยงครอบครัวมากขึ้นและเป็นศูนย์กลางการรวมตัวของสมาชิก
8. การใช้สแตนเลสสตีลและวัสดุสังเคราะห์ในห้องครัวยุคหลังสงคราม ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สอง การผลิตวัสดุอย่างสแตนเลสสตีลและพลาสติกได้รับความนิยม เนื่องจากมีความทนทานและทำความสะอาดง่าย สแตนเลสสตีลถูกนำมาใช้ในอุปกรณ์ครัว เช่น ซิงค์และเคาน์เตอร์ ในขณะที่พลาสติกถูกนำมาใช้ในการผลิตเครื่องครัว เช่น ถาดและที่ใส่อาหาร การเปลี่ยนแปลงนี้สะท้อนถึงความพยายามในการสร้างห้องครัวที่ดูสะอาดและทันสมัย ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่สังคมสมัยใหม่ให้คุณค่า
9. การเปลี่ยนแปลงของบทบาทห้องครัวในช่วงขบวนการสิทธิสตรี ในช่วงทศวรรษที่ 1960-1970 ที่ขบวนการสิทธิสตรีได้รับความสนใจ ห้องครัวกลายเป็นพื้นที่ที่ถูกตีความใหม่และวิพากษ์ถึงบทบาทที่ผู้หญิงถูกจำกัดให้ทำงานบ้าน ตัวอย่างเช่น ในสหรัฐอเมริกา ห้องครัวถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของการกดขี่ผู้หญิง โดยกลุ่มสตรีบางกลุ่มออกมารณรงค์เพื่อต่อต้านการจำกัดบทบาทของผู้หญิงให้อยู่ในห้องครัว การรณรงค์นี้สะท้อนถึงการเรียกร้องให้เห็นบทบาทของผู้หญิงที่หลากหลายและเท่าเทียมในสังคม
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น