ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

Empathy : ความเห็นอกเห็นใจ รู้ร้อนรู้หนาว กับมิติทางมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

Empathy ในมุมมองทางมานุษยวิทยามักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้นักมานุษยวิทยาสามารถทำความเข้าใจมุมมอง ความรู้สึก และประสบการณ์ของกลุ่มคนที่ศึกษาได้ โดยเฉพาะเมื่อทำงานภาคสนามหรือมีส่วนร่วมกับชุมชนที่มีวัฒนธรรม วิถีชีวิต และระบบความคิดที่แตกต่างไปจากผู้ศึกษาเอง มุมมองหลักของ Empathy ในมานุษยวิทยาที่น่าสนใจเช่น 1. Empathy เป็นสะพานเชื่อมระหว่างวัฒนธรรม การทำความเข้าใจ “โลกของผู้อื่น” (the emic perspective) เป็นเป้าหมายสำคัญของนักมานุษยวิทยา Empathy ช่วยให้นักวิจัยสามารถเข้าถึงประสบการณ์และความหมายในวัฒนธรรมของกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ทำให้สามารถอธิบายและถ่ายทอดสิ่งเหล่านั้นให้ผู้อื่นเข้าใจในเชิงลึก 2. Empathy และ Reflexivity Empathy ยังเกี่ยวพันกับกระบวนการ reflexivity (การสะท้อนตนเอง) นักมานุษยวิทยาต้องสำรวจว่าประสบการณ์หรืออคติส่วนตัวของตนเองมีผลต่อการเข้าใจผู้อื่นอย่างไร ความเห็นอกเห็นใจที่แท้จริงต้องมาพร้อมการวิพากษ์ตัวเอง 3. Empathy และการทำงานภาคสนาม ในการทำงานภาคสนาม นักมานุษยวิทยาต้องพึ่งพา Empathy เพื่อสร้างความไว้วางใจกับชุมชนและผู้ให้ข้อมูล ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือการพยายามเข้าใจความรู้สึกของผู้ที่อยู่ในสถานการณ์เฉพาะ เช่น ผู้ประสบความทุกข์ทางสังคมหรือเศรษฐกิจฃ 4. ข้อจำกัดของ Empathy แม้ว่า Empathy จะเป็นเครื่องมือที่สำคัญ แต่ก็มีข้อจำกัด เช่น ความเห็นอกเห็นใจอาจไม่เพียงพอในการทำความเข้าใจระบบวัฒนธรรมที่ซับซ้อน การพยายาม “เข้าใจ” อาจนำไปสู่การมองสิ่งที่ต่างออกไปในมุมที่คลาดเคลื่อนหรือลดทอนความซับซ้อนของวัฒนธรรม 5. Empathy ในบริบทวิชาการ Clifford Geertz เน้นเรื่องการอ่านวัฒนธรรมผ่านการตีความ ซึ่ง Empathy ช่วยให้นักมานุษยวิทยาสามารถแปลความหมายที่ลึกซึ้งของพฤติกรรมมนุษย์ได้ ซึ่ง Nancy Scheper-Hughes ใช้ Empathy ในการศึกษาเรื่องความรุนแรง ความทุกข์ และจริยธรรม เช่น ในการศึกษาความทุกข์ของผู้ป่วยในระบบสาธารณสุข 6. Empathy และมานุษยวิทยาสาธารณะ Empathy ถูกนำไปใช้ในการแก้ปัญหาสังคม เช่น การออกแบบนโยบายที่คำนึงถึงความต้องการของกลุ่มเปราะบาง หรือการส่งเสริมความเข้าใจข้ามวัฒนธรรมในสังคมที่หลากหลาย หนังสือที่น่าสนใจเกี่ยวกับมุมมอง แนวคิดเรื่อง Empathy และมุมมองทางมานุษยวิทยาที่เกี่ยวกับชีวิตและการทำงาน เช่น “The Managed Heart: Commercialization of Human Feeling” โดย Arlie Russell Hochschild เป็นหนังสือคลาสสิกที่สำรวจบทบาทของอารมณ์และ Empathy ในโลกของงาน โดยเฉพาะงานที่เกี่ยวกับการให้บริการ (เช่น พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน) แสดงให้เห็นว่า Empathy ถูก “จัดการ” และ “แปรรูป” อย่างไรในบริบททางเศรษฐกิจ หรือหนังสือชื่อ Righteous Dopefiend โดย Philippe Bourgois และ Jeffrey Schonberg ที่ใช้แนวคิด Empathy ในการทำความเข้าใจชีวิตของคนไร้บ้านและผู้ใช้ยาในสหรัฐฯ เป็นตัวอย่างของการทำงานภาคสนามที่มุ่งเน้นการสะท้อนถึงความทุกข์และโครงสร้างทางสังคมที่กดขี่ ที่สอดคล้องกับงาน The Spirit Catches You and You Fall Down โดย Anne Fadiman ที่เปิดเผย เรื่องราวของความขัดแย้งระหว่างหมอในสหรัฐฯ กับครอบครัวผู้อพยพชาวม้งที่มีความเชื่อเรื่องการรักษาแตกต่างกัน เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า Empathy และการเข้าใจวัฒนธรรมสามารถช่วยลดความขัดแย้งทางสังคมและการแพทย์ได้ หรือหนังสือสำคัญของนักเรียนมานุษยวิสยาการแพทย์ ชื่อ Medical Anthropology and the World System โดย Hans A. Baer และ Merrill Singer ที่เจาะลึกถึงวิธีที่นักมานุษยวิทยาการแพทย์ใช้ Empathy เพื่อวิเคราะห์ความไม่เท่าเทียมด้านสุขภาพในระดับโลก หรืองานชื่อ Suffering and Moral Responsibilityโดย Nancy Scheper-Hughes เน้นการทำความเข้าใจ Empathy ในการวิจัยความทุกข์และจริยธรรมในชุมชนที่เผชิญกับความรุนแรง ในเชิงของวิธีการสื่อสารและการนำเสนอข้อมูลของผู้คน เช่นหนังสือ In Other Words: Variation in Reference and Narrative โดย Deborah Tannen ที่กล่าวถึงการทำความเข้าใจ Empathy ผ่านการสื่อสารและการเล่าเรื่อง เหมาะสำหรับผู้สนใจศึกษาการแสดงออกทางภาษาและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับความเห็นอกเห็นใจ สอดคล้องกับ The Ethnographic I: A Methodological Novel About Autoethnography” โดย Carolyn Ellis ที่เน้นการเขียนเชิงอัตถนิยม (autoethnography) โดยใช้ Empathy เป็นแกนหลักในการเล่าเรื่องชีวิตและประสบการณ์ส่วนตัว สุดท้ายหนังสือที่นำเสนอมุมมอง ของความเห็นอกเห็นใจ ความเข้าใจคนอื่นในวัฒนธรรมต่างๆ เข่น หนังสือ Empathy: Why It Matters, and How to Get It โดย Roman Krznaric ที่สำรวจความหมายของ Empathy ในหลากหลายบริบท รวมถึงมุมมองทางสังคมและวัฒนธรรม เช่นเดียวกับหนังสือ Cultural Anthropology: A Toolkit for a Global Age โดย Kenneth J. Guest หนังสือเบื้องต้นเกี่ยวกับมานุษยวิทยาที่แสดงให้เห็นว่า Empathy เป็นเครื่องมือสำคัญในกระบวนการวิจัยและการทำความเข้าใจวัฒนธรรมอื่น ในปัจจุบันแนวคิด Empathy ยังถูกเชื่อมโยงกับประเด็นต่าง ๆ เช่น การทำความเข้าใจประสบการณ์ของผู้ลี้ภัย การทำงานร่วมกับกลุ่มที่มีความแตกต่างทางเพศ เชื้อชาติ หรือศาสนา การออกแบบเครื่องมือวิจัยที่ลดอคติและเพิ่มความเข้าใจ Empathy จึงไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือเชิงอารมณ์ แต่เป็นกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์และการมีส่วนร่วมอย่างลึกซึ้งในประสบการณ์ของมนุษย์ในมิติที่หลากหลาย

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...