ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

4.แนวคิดทฤษฎีมานุษยวิทยาการตีความหมาย (Interpretive Anthrolology Approach) นัฐวุฒิ สิงห์กุล


                แนวคิดมานุษยวิทยาระลึกรู้เป็นกลุ่มที่ให้ความสนใจความสัมพันธ์ระหว่างสังคมมนุษย์และความคิดของมนุษย์ (พิมพวัลย์,2555) ในขณะเดียวกันนักมานุษยวิทยากลุ่มหนึ่งสนใจสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์และการตีความหมายที่สะท้อนให้เห็นความสนใจศึกษาวัฒนธรรมในความหมายที่มากกว่าการเป็นวัตถุของการศึกษาแบบวิทยาศาสตร์ แต่ให้ความสำคัญกับความคิดและมุมมองของผู้คน ในทัศนะแบบคนใน โดยเฉพาะการทำความเข้าใจระบบความคิด การให้ความหมายต่อผู้คน สุขภาพและความเจ็บป่วยในวัฒนธรรมต่างๆ ในฐานะที่สุขภาพและความเจ็บป่วยเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ที่วัฒนธรรมไม่ได้เป็นแค่ความคิดที่อยู่ในหัวของมนุษย์แต่แทรกตัวอยู่ในสัญลักษณ์ต่างๆที่อยู่รอบตัวมนุษย์ Clifford Geertz ได้ให้ความหมายเกี่ยวกับสัญลักษณ์ว่า สัญลักษณ์คืออะไรก็ตาม การกระทำ เหตุการณ์คุณลักษณะหรือความสัมพันธ์ ที่ใช้เป็นสื่อแนวความคิด (Conception) ซึ่งแนวความคิดคือ ความหมายของสัญลักษณ์ (อคิน,2551:77) ดังนั้นสัญลักษณ์จึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการดำเนินชีวิตในทางสังคมทุกรูปแบบ  เพราะเป็นรูปแบบของความคิดที่สัมผัสได้ เป็นข้อสรุปของประสบการณ์ที่เรามองเห็น เป็นรูปธรรมของความคิด ทัศนะในการตัดสินใจ ความปรารถนาและความเชื่อของมนุษย์ ทำให้ความหมายของสัญลักษณ์มีลักษณะเป็นส่วนรวม ที่คนในสังคมรับรู้ร่วมกัน และใช้สัญลักษณ์ในการติดต่อสื่อสารระหว่างกัน รวมทั้งวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่เกิดจากการสั่งสมและการเรียนรู้ที่ทำให้เกิดประสบการณ์ในชีวิตมนุษย์ อาจกล่าวได้ว่าสัญลักษณ์เป็นตัวกลางในการส่งผ่านความหมาย การกระทำระหว่างคนในสังคม สัญลักษณ์เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ดังนั้นวัฒนธรรมจึงเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นความหมายและการปฎิบัติเกี่ยวกับโรค
                Clifford Geertz ได้นำเสนอแนวคิดที่น่าสนใจ 2 ประเด็น อย่างแรกคือ เรื่องแบบแผนของวัฒนธรรม (Cultural Pattern) หรือชุดของสัญลักษณ์ (Set of Symbol) ที่มีสองประเภทคือ ตัวแบบของ (Model of) และตัวแบบสำหรับ (Model for) ตัวแบบของ คือ การสร้างโครงสร้างของสัญลักษณ์ขึ้นมาเลียนแบบสิ่งที่ไม่ใช่สัญลักษณ์ซึ่งอาจจะหมายถึงสิ่งที่เป็นจริง (Model of Reality) ดังนั้นสัญลักษณ์ถูกสร้างขึ้นมาจากความจริงหรือจำลองความจริงขึ้นมา เพื่อให้เรารู้จักหรือเข้าใจความจริง ดังนั้นหน้าที่ของนักมานุษยวิทยาคือการแยกระหว่างความจริงกับสิ่งที่คนให้ความหมายต่อความจริงนั้น Greetz อธิบายว่า แบบแผนทางวัฒนธรรมมีลักษณะสองด้านคือ การให้ความหมายแก่สิ่งที่เป็นจริงทางสังคมและทางกายภาพโดยปรับรูปร่างของตัวแบบให้เหมือนสิ่งที่เป็นจริง “Model of” กับ การปรับรูปร่างของสิ่งที่เป็นจริงให้เหมือนตัวแบบ “Model For”(อคิน,2551:81) ดังนั้นจะเห็นได้ว่า สิ่งที่สำคัญในการทำความเข้าใจระบบสัญลักษณ์คือการทำความเข้าใจความคิดของมนุษย์ที่สร้างรูปแบบจำลองหรือสัญลักษณ์ขึ้นมาโดยเลียนแบบจากสิ่งที่เป็นจริง ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เป็นจริงก็ถูกสร้างภายใต้ตัวแบบที่มนุษย์คิดขึ้น อาจกล่าวได้ว่า ตัวแบบคือสิ่งที่วางแนวทางหรือความสัมพันธ์ทางกายภาพและทางสังคมของมนุษย์   อย่างที่สอง คือ เรื่องทัศนะคนในและคนนอก ซึ่งGreetz กล่าวถึงแประสบการณ์ไกลตัวและประสบการณ์ใกล้ตัว ที่แบ่งแยกระหว่างประสบการณ์ใกล้ตัวที่เป็นประสบการณ์ของผู้ให้ข้อมูลที่นิยามสิ่งที่ตัวเขาเองหรือคนในสังคมเขามองเห็น รู้สึกอย่างเดียวกัน และประสบการณ์ไกลตัวซึ่งเป็นประสบการณ์ของเราในฐานะผู้ศึกษาหรือผู้เชี่ยวชาญอื่นๆ Greetz เน้นย้ำให้เราวิเคราะห์ เสาะหารูปแบบของสัญลักษณ์ ไม่ว่าจะเป็นคำพูด รูปจำลอง สถาบันและพฤติกรรม การกระทำ เพื่อทำความเข้าใจว่าพวกเขาในแต่ละแห่งมีการมองตัวเองและนำเสนอตัวตนของตัวเองต่อคนอื่น รวมทั้งตัวตนของเขาในสังคมเป็นอย่างไร
                โลกของความจริงสัมพันธ์กับโลกของภาษาหรือความหมายที่เป็นการประกอบสร้างทางสังคม บางครั้งสังคมสร้างความหมายและความจริงให้กับสรรพสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวมนุษย์ผ่านระบบภาษาและสัญลักษณ์  ในประเด็นทางด้านสุขภาพและความเจ็บป่วย การทำความเข้าใจหรือการมองคน มองความเจ็บป่วยเปลี่ยนผ่านจากเรื่องของโครงสร้างมาสู่เรื่องของประสบการณ์ของความเจ็บป่วยที่นำไปสู่การอธิบายและวิธีการรักษาที่มีความเฉพาะ ความแตกต่างหลากหลายของวัฒนธรรมสุขภาพจึงมีพื้นฐานจากความแตกต่างของวิธีคิด โครงสร้างทางความคิดที่เป็นตัวกำกับ สิ่งที่เป็นนามธรรมนี้จะสะท้อนให้เห็นผ่านสัญลักษณ์และภาษา เช่น การให้ชื่อโรค การจัดกลุ่มโรค ที่สร้างความหมายและสถาปนาความจริงแก่สิ่งเหล่านั้น นักมานุษยวิทยาที่มีบทบาทสำคัญคือ Artur Khlienman ที่เสนอว่าระบบการแพทย์เป็นระบบวัฒนธรรมอย่างหนึ่งซึ่งมีสัญลักษณ์ ความหมายและตรรกะภายในตัวเอง (โกมาตร,2545: 8) Klienman กล่าวถึงสิ่งที่เรียกว่า รูปแบบของการอธิบาย (Explanatory Model/EM) ที่ได้ให้โครงสร้างความคิดภายในตัวของปัจเจกบุคคลที่จำแนกแยกประเภทปัญหาทางสุขภาพและความเข้าใจในความเจ็บป่วย การบาดเจ็บและความพิการของพวกเขาออกมา (Veena,2007:2) โดยเขาได้จำแนกแยกแยะระหว่างโรค (Disease) ที่เป็นความผิดปกติของกระบวนการและกลไกลทางร่างกายของผู้ป่วย(Explantory Model ของแพทย์) และความเจ็บป่วย (Illness) ซึ่งเป็นความผิดปกติที่เกิดจากการรับรู้หรือประสบการณ์ความเจ็บป่วยที่ผู้ป่วยตีความเอง (Explanatory Model ของผู้ป่วย) เช่นเดียวกับงานของ Byron Good ที่พูดถึงโครงสร้างเครือข่ายความหมายและสัญลักษณ์ของความเจ็บป่วย (Semantic Illness Network)ที่หมายถึงเครือข่ายของคำศัพท์ (Word) สถานการณ์ (Situation) การบ่งชี้อาการของโรค (Symptom)และความรู้สึก (Feeling) ที่สัมพันธ์กับความเจ็บป่วยและการให้ความหมายของผู้ป่วยหรือ”The Sufferer” (Good,1977:40) โดยให้ความสำคัญกับระบบสัญลักษณ์หลัก (Core System)[1] ในการให้ความหมายเกี่ยวกับโรคหัวใจอ่อนแรง (Hearth Distrees)ในวัฒนธรรมของชาวอิหร่าน ที่สัมพันธ์กับระบบสัญลักษณ์และการให้ความหมายแบบอิสลาม (Islamic)ซึ่งเป็นความจริงในวัฒนธรรมสุขภาพของสังคมชาวอิหร่าน สิ่งที่สอดคล้องกันระหว่าง Klieman และ Good คือ โรคภัยไข้เจ็บ (Disease) คือสิ่งที่ไม่ได้ดำรงอยู่จริงแต่มีอยู่จริงในรูปแบบของการอธิบาย (Klieman 1973 quoted by Good 1994:53) ดังนั้นโรคและความเจ็บป่วยเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมไม่ใช่แค่เพียงการแสดงออกซึ่งความเจ็บป่วยเท่านั้นแต่มันคือสิ่งที่สะท้อนความหมายและความจริงของมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้น แน่นอนว่าความจริงดังกล่าวเป็นความจริงที่หลากหลาย การทำความเข้าใจความหมายและการตีความสุขภาพและความเจ็บป่วยก็ต้องมีมิติ มุมมองที่หลากหลาย การทำความเข้าใจสัญลักษณ์และความหมายเกี่ยวกับสุขภาพและความเจ็บป่วยในฐานะส่วนหนึ่งของวัฒนธรรม ทำให้เราเข้าใจการพิจารณาความเจ็บป่วยว่า สาเหตุของความเจ็บป่วยเกิดจากอะไร และเมื่อรับรู้แบบนี้เขาทำอะไรหรือไปหาใครเพื่อเยียวยารักษาอาการเจ็บป่วยเหล่านั้นให้หายไป ดังที่ Kleinman บอกว่าโรคหรือความเจ็บป่วยเป็นเรื่องของวัฒนธรรมที่สะท้อนความหมายและความจริงของมนุษย์เกี่ยวกับโรคและความเจ็บป่วย ถือว่าเป็นสิ่งสร้างทางวัฒนธรรมซึ่งแตกต่างกับการประกอบสร้างความจริงเกี่ยวกับโรคและความเจ็บป่วยทางการแพทย์หรือทางคลินิก




[1] แนวความคิดเรื่องแกนสัญลักษณ์ (Core Symbol)ของ Byron Good คล้ายกับคำอธิบายของวิกเตอร์ เทอเนอร์ (Victor Turner) ที่พูดถึงสัญลักษณ์หลัก (Dominant Symbol) ที่จัดการความหมายของพิธีกรรมในสังคมก่อนอุตสาหกรรม

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง