ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดระบาดวิทยากับความเจ็บป่วย

แนวคิดระบาดวิทยา
 NAME OF THE PERSPECTIVE :  ระบาดวิทยา ( Epidemiology)
SUBJECT MATTER :   สิ่งแวดล้อม (Environment) เจ้าบ้าน (Host) พาหะนำโรค (Agent)
LOGIC OF THINKINGแนวคิดทางด้านสาธารณสุขและระบาดวิทยามีลักษณะที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องกัน โดยในช่วงเริ่มแรกที่แนวคิดด้านการแพทย์ยังมีมุมมองและความเข้าใจต่อเรื่องเชื้อโรคและพาหะนำโรคที่ไม่ชัดเจน  รวมทั้งแนวคิดด้านสาธารณสุขที่เน้นอยู่บนมิติทางสิ่งแวดล้อมเรื่องเดียว  เมื่อสิ่งแวดล้อมทำให้ป่วยก็จะเน้นเรื่องการปรับปรุงคุณภาพสิ่งแวดล้อม เช่น การทำให้เกิดสุขาภิบาลสิ่งแวดล้อมที่ดี อากาศ อาหารและน้ำที่สะอาด ต่อมาเมื่อมีการพัฒนาความรู้ที่ว่าด้วยระบาดวิทยา ที่สามารถชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างเชื้อโรคและความเจ็บป่วยได้อย่างชัดเจน  โดยแนวคิดระบาดวิทยาอธิบายสุขภาพและความเจ็บป่วยด้วยสามเหลี่ยมความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าบ้าน (Host) คือมนุษย์ที่มีอิทธิพลต่อการเกิดโรค โดยปัจจัยทางชีวภาพได้แก่โครงสร้างร่างกาย อายุ เพศ เชื้อชาติ กรรมพันธุ์ จิตใจ ความเครียด ฯลฯ สิ่งที่ทำให้เกิดโรค (Agent) ประกอบด้วยปัจจัยทางกายภาพ เช่น แสง สี เสียง ความร้อน ความเย็น ปัจจัยทางเคมี เช่น สารพิษ ยา สารเคมี และมลพิษ ปัจจัยทางสรีระวิทยา เช่น อาหาร พันธุกรรม สารเคมีในร่างกาย ช่วงวัยและภาวะการตั้งครรภ์ และสุดท้ายเชื้อโรค เช่นไวรัส แบคทีเรีย รา และสิ่งที่เป็นพาหะของโรค รวมถึงสิ่งแวดล้อมที่พาหะและเจ้าบ้านอาศัยอยู่ องค์ประกอบของสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เกิดโรค เช่น ภาวะที่เหมาะสมกับการเจริญเติบโตของพาหะ (Agent )หรือตัวสิ่งแวดล้อมทำให้มนุษย์ไวต่อการติดเชื้อและการเกิดโรค สิ่งแวดล้อมที่ทำให้บุคคลสัมผัสกับพาหะ (Agent ) โดยเชื้อโรคไม่สามารถเข้ามาสู่ร่างกายและทำให้เจ็บป่วยได้ถ้าไม่มีพาหะและพาหะไม่สามารถดำรงอยู่ได้ถ้าไม่มีสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม

                ดังนั้นการเกิดโรคมีความสัมพันธ์กับองค์ประกอบทั้งสาม Agent, Host, Environment ที่ไม่สมดุลเหมาะสม อาจมีตัวใดตัวหนึ่งมากหรือน้อยเกินไป ก็จะเกิดภาวะของโรคและความเจ็บป่วยขึ้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง