ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดโครงสร้างหน้าที่

แนวคิดโครงสร้างหน้าที่
NAME OF THE PERSPECTIVE :  โครงสร้างหน้าที่ (Structural and Functional )
SUBJECT MATTER  :  สถาบันทางสังคม (social Institution) ,ความจริงทางสังคม (Social Fact),การขัดเกลาทางสังคม (SOCIALIZATION),บรรทัดฐานหรือปทัสถานทางสังคม(Social Norm ), บทบาททางสังคม(Social Role)  สถานภาพทางสังคม (Social Status ) โครงสร้างทางสังคม (Social Structure), การเปลี่ยนแปลงทางสังคม (Social Change)  ,การบูรณาการทางสังคม (Integration), การควบคุมทางสังคม(Regualation), ความเป็นปึกแผ่นเชิงกลไกลและเชิงอินทรีย์            ( Machanisim and Organisism Solidarity)

LOGIC OF THINGKING : โครงสร้างของสังคม(Social Structure) เปรียบเสมือนกับสิ่งมีชีวิต (Organism) ที่มีส่วนประกอบต่างๆ(System)อันมีลักษณะเฉพาะของตนเอง แต่ทั้งหมดทำหน้าที่(Function) ประสานสอดคล้องกันเพื่อให้เกิดความสมดุลและยึดโยงสมาชิกในสังคมเพื่อให้เกิดความเป็นปึกแผ่นที่เรียกว่า Social Solidarity (Shaun Best,2003;22) โดยระบบของสังคมดังกล่าวเสมือนกรอบหรือแนวทางการดำเนินชีวิตและพฤติกรรมของคนในสังคม ลักษณะดังกล่าว อิมิล เดอร์ไคม์ (Emile durkhiem) เรียกว่า Social Fact ที่หมายถึงสิ่งที่ประกอบสร้างแนวทางของการกระทำและความคิดที่มีความเข้มข้นของอำนาจและบังคับอยู่เหนือปัจเจกบุคคล (Shaun Best,2003;25) ตัวอย่างเช่น ภายในสังคมจะมีสถาบันทางสังคมทำหน้าที่ตอบสนองความต้องการและจำเป็นด้านต่างๆของคนในสังคม และในสถาบันทางสังคมก็ประกอบด้วยบรรทัดฐาน  กลุ่มสถานภาพ และบทบาทที่สอดคล้องกับเป้าหมายที่สังคมกำหนดไว้เพื่อให้เกิดความสมดุลและความเป็นปกติของสังคม ซึ่งเมื่อเกิดความเบี่ยงเบนและความไม่ปกติของโครงสร้างทางสังคม เช่นการเปลี่ยนแปลงของสถาบันเศรษฐกิจอย่างรวดเร็วก็ส่งผลกระทบให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของบรรทัดฐาน บทบาทหน้าที่ การเปลี่ยนแปลงจากสังคมเกษตรกรรมสู่สังคมอุตสาหกรรม หรือการเปลี่ยนแปลงจากสังคมแบบ Machanism ที่ไม่มีความแตกต่างและมีความเป็นอยู่อย่างเรียบง่าย ไปสู่สังคมแบบ organism เป็นสังคมที่มีความสลับซับซ้อน มีความแตกต่างหลากหลายและมีความชำนาญเฉพาะทาง ซึ่งส่งผลต่อภาวะความเป็นปึกแผ่นของสังคมและความสัมพันธ์ในสังคมที่ไม่สอดคล้องกัน เช่น การเปลี่ยนแปลงของสถาบันเศรษฐกิจที่นำไปสู่ค่านิยมแบบใหม่ การผลิตแบบใหม่ และการเคลื่อนย้ายแรงงาน ความไม่สอดคล้องกันดังกล่าวอาจนำไปสู่ปัญหาการขาดการบูรณาการ(Integration)และการควบคุม(Regulation)ทางสังคมที่ทำให้เกิดความผิดปกติทางสังคม(Social Deviant)ได้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...