ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความแปล เรื่อง willingness to pay ความเต็มใจที่จะจ่ายในทางสุขภาพ แปลโดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

(Willingness and ability to pay for health care : a selection of methods and issues)
Health economic and Financing Programme,London School of Hygiene and Tropical Medicine ,UK

1.              นโยบายและปัญหาของการวิจัย (The Policy and Research Problem)
ความเต็มใจที่จะจ่าย (Willingness to Pay หรือ WTP) คือแนวคิดที่ถูกใช้ประโยชน์กับการตัดสินใจเชิงนโยบายในวงการด้านสุขภาพเพิ่มมากขึ้น นี่คือบทความขนาดสั้นที่ทบทวนเหตุผลว่า ทำไมการศึกษาเกี่ยวกับ WTP จึงได้รับความสนใจมาก และให้ตัวอย่างที่สามารถนำไปปฎิบัติได้อย่างไร ในส่วนสุดท้ายของบทความเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่ต้องระมัดระวังเอาใจใส่ในการตีความผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น เช่นเดียวกับวิธีการของ WTP ที่ยังอยู่ในขั้นของการทดลองที่จะต้องพัฒนาต่อไป
ทรัพยากรทางงบประมาณที่ลดน้อยลง และสภาพแวดล้อมทางการเมือง ที่สร้างคำถามที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับประสิทธิภาพ (Efficiency) และความยุติธรรม (Equity) สำหรับการอุดหนุนของรัฐ (State Subsidies) ที่เกี่ยวกับการดูแลด้านสุขภาพ (Health Care) มีการส่งเสริมการปฏิรูปการเงินการคลังในส่วนสุขภาพ ในหลายๆประเทศ  รัฐบาลมีการส่งเสริมการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นในภาคครัวเรือนที่มีส่วนช่วยเหลือสนับสนุนกับภาคของสุขภาพ ที่นำไปสู่การปฎิรูปนโยบายที่หลากหลาย
ผู้ใช้บริการเป็นคนจ่าย (User Fees) ในการใช้สาธารณูปการหรือสิ่งอำนวยความสะดวกของภาครัฐ (State Facilities) การนำมาใช้หรือสนับสนุนแบบแผนทางการเงินการคลังบนพื้นฐานของชุมชน (ดังเช่น เงินที่ชำระล่วงหน้า pre-payment , กองทุนยาหมุนเวียน  Revolving drug funds) และการสนับสนุนการดำเนินการที่ไม่หวังผลกำไร แต่ให้มีการจ่ายค่าธรรมเนียม (Fee-Charging) เช่น องค์กรพัฒนาเอกชน
ดังเช่น ผลลัพธ์ ของผู้ตัดสินใจในระดับของรัฐบาล โรงพยาบาล และชุมชน เป็นสิ่งที่เผชิญกับความยากลำบากแต่คำถามเชิงนโยบายที่มีความสำคัญเกี่ยวกับว่า ราคาของการบริการด้านสุขภาพควรจะเป็นเท่าไหร่ (How to Price health care) หนทางหนึ่งในการวัดหรือประเมินค่า ต้นทุน(Cost) ของการจัดหาบริการและราคาที่ต้องจ่าย ซึ่งจะครอบคลุมให้ทั้งหมดหรือในสัดส่วนของต้นทุนที่เหมาะสม
ปัญหาหลักในขั้นตอนนี้ก็คือว่า ราคาพื้นฐาน (Price Based) ยึดโยงเกี่ยวกับต้นทุน (Cost) เท่านั้น โดยไม่คำนวณเกี่ยวกับความต้องการ (Demand) หรือความเต็มใจและความสามารถที่จะจ่าย (Willingness and ability to pay) ที่ราคานั้น
ประชาชนที่มีความตั้งใจที่จะจ่าย มีความสำคัญ เพราะว่าผู้บริโภคตอบสนองต่อราคาที่มีอิทธิพลต่อระดับและรูปแบบการใช้ประโยชน์ของการบริการ และการรวบรวมภาษี โดยเฉพาะ ประสิทธิภาพและความเท่าเทียมในผลกระทบของราคาที่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ จะเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลโดยประชาชนที่เต็มใจจะจ่ายและมีความสามารถที่จะจ่าย
Efficiency แม้ว่ามันคือสิ่งที่โต้แย้งว่า ค่าธรรมเนียมจะลดทอน การใช้ประโยชน์ของบริการที่ไม่จำเป็นและมากเกินไป (World Bank 1987:1993) โดยเฉพาะแผนกคนไข้นอก[1] (outpatient Department) ในโรงพยาบาล การลดลงในการใช้ประโยชน์อาจจะสร้างสถานการณ์ของศักยภาพส่วนเกิน (surplus capacity) คือไม่ได้ใช้ความสามรถอย่างเต็มที่ หรือต้นทุนเฉลี่ยที่สูงมากกว่า (Higher average costs)
Equity ยิ่งไปกว่านั้นวัตถุประสงค์ของการเก็บภาษี อัตราค่าธรรมเนียม (fee Schedules) และกลไกลของการจ่ายล่วงหน้า (pre-payment Mechanism) เป็นสิ่งที่อ่อนไหวกับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจท้องถิ่น โดยเฉพาะประชาชนที่มีความสามารถในการจ่าย ( Ability to Pay หรือ ATP) ค่าธรรมเนียมอาจจะต้องยกเลิกหรือลดลงสำหรับคนไข้หรือผู้ป่วยที่ครัวเรือนมีความเปราะบางหรือไม่มั่นคง หรือกลุ่มทางเศรษฐกิจสังคม(สถานะทางสังคมต่ำ รายได้น้อย) ที่การใช้ประโยชน์เกี่ยวกับการบริการสุขภาพจะไม่ลดลง
ประชาชนจำนวนมากเท่าไหร่ที่มีความตั้งใจและความสามารถที่จะจ่ายสำหรับสินค้าและบริการที่สามารถเป็นสิ่งที่ถูกกำหนดหรือประเมินใน 2 แนวทางคือ
1.             โดยการสังเกต (Observing) และสร้างแบบจำลองตัวอย่าง(Modelling) ในเรื่องการใช้ประโยชน์(Utilization) ค่าใช้จ่าย (Expenditure)และการตอบสนองต่อราคา[2] ในการดูแลสุขภาพในอดีต
2.             โดยการถามประชาชนโดยตรง ว่าพวกเขามีความตั้งใจและความสามารถในการจ่ายมากเท่าไหร่ สำหรับผลผลิตและการใช้บริการเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่เฉพาะ
วิธีการแรกที่จะได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเงินของประชาชนที่ถูกใช้จ่ายในปัจจุบันเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพ นี่จะเป็นสิ่งที่ใช้แสดงกับผู้ตัดสินใจเกี่ยวกับศักยภาพของตลาดที่ซึ่งพวกเขาจะดำเนินการ แต่การสังเกตว่าประชาชนใช้จ่ายเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในอดีตอย่างไรกับการประเมินหรือกำหนดว่าพวกเขามีความตั้งใจที่จะจ่ายในอนาคตเท่าไหร่ที่อาจะเป็นความไม่เหมาะสมสำหรับเหตุผลดังนี้
1 ตลาดสำหรับการบริการสุขภาพอาจจะไม่ดำรงอยู่จริงมาก่อนเพราะว่าการดูแลสุขภาพเป็นสิ่งที่ถูกจัดหาอย่างอิสระ หรือเพราะว่าการบริการใหม่เพิ่งเป็นสิ่งที่ถูกแนะนำกับพื้นที
2. ราคาที่จ่ายโดยคนไข้หรือคนป่วย ในอดีตอาจจะไม่สะท้อน จำนวนที่สูงสุด (Maximum amount) ที่พวกเขาเต็มใจที่จะจ่าย ที่ซึ่งอาจจะเป็นสิ่งที่มากกว่า
     3. ความตั้งใจที่จะจ่ายสำหรับบริการเป็นสิ่งที่สัมพันธ์กับสถานการณ์ที่เฉพาะและปัจจัยที่ไม่เกี่ยวข้องกับราคา ดังนั้นคนไข้อาจจะเต็มใจที่จะจ่ายราคาที่แน่นอนสำหรับผู้ให้บริการ (Provider) หนึ่ง แต่อาจจะไม่เต็มใจที่จะจ่ายกับผู้ให้บริการอื่น(Different provider)ในราคาเดียวกัน สำหรับตัวอย่าง ผู้หญิงอาจจะจ่ายค่าผดุงครรภ์โบราณ (Tradition Midwive)หรือโรงพยาบาลในโบสถ์ (Mission Hospital) สำหรับการบริการที่บริการเกี่ยวกับการคลอดบุตร แต่อาจจะไม่เต็มจ่ายที่จะจ่ายที่โรงพยาบาลของรัฐ เพราะเกี่ยวข้องกับ คุณภาพของการบริการที่ได้รับ ความสามารถเข้าถึงหรือเข้าไปใช้บริการโรงพยาบาลของรัฐ หรือเพราะว่าการขาดความเชื่อมมั่นในทีมงานหรือบุคลากรในโรงพยาบาลรัฐ
2. การถามประชาชนเกี่ยวกับความเต็มใจและความสามารถที่จะจ่าย (Asking People about their willingness and ability to pay)
วิธีการลำดับที่สอง ในทางทฤษฎี การพิชิตปัญหาทั้งสามเหล่านี้ มันคือการถามประชาชนโดยตรงเกี่ยวกับจำนวนเงินสูงสุด (The Maximum amount of money) ที่พวกเขาเต็มใจและมีความสามารถที่จะจ่ายสำหรับการบริการสุขภาพที่มีความเฉพาะ มันมีสมมติฐานเริ่มต้นว่า ประชาชนไม่มีประสบการณ์ก่อนหน้า (No previous experience) เกี่ยวกับการซื้อบริการสุขภาพ (Buying the health service) ที่ซึ่งถูกวางไปยังระบบตลาด และแทนที่ด้วยการถามประชาชนถึงความเต็มใจของพวกเขาที่จะจ่ายบนพื้นฐานเกี่ยวกับความตาดหวังของพวกเขา (Expectation)
วิธีการ...ล้อมรอบ การไม่ปรากฏของตลาดของสินค้าสาธารณะโดยการแสดงของผู้บริโภคพร้อมกับการสร้างสถานการณ์สมมติของตลาดในที่ซึ่งเป็นการสมมติโอกาสที่เขาจะซื้อสินค้า  ในคำถาม  เพราะว่า การเปิดเผยคุณค่าของความเต็มใจที่จะจ่าย เป็นการสัมภาษณ์ประชาชนโดยตรงบนการสมมติตลาดที่เฉพาะที่ถูกอธิบายหรือพรรณนาโดยผู้ตอบคำถาม (Respondent) นี่คือวิธีการที่เรียกว่า การประเมินค่าโดยการสัมภาษณ์ประชาชนโดยตรง (The Contingent valuation Method) Mitchell and Carson [1986:2-3]”
เมื่อการบริการสุขภาพและสถานการณ์ภายใต้ที่ซึ่งการซื้อเป็นสิ่งที่ถูกสมมติหรือตั้งข้อสันนิษฐาน ผู้ตอบคำถามจำเป็นต้องพัฒนาคำตอบพื้นฐานเกี่ยวกับข้อมูลที่ถูกจัดหาให้โดยผู้สัมภาษณ์ การศึกษาความเต็มใจที่จะจ่าย ยึดอยู่บนรูปแบบของการสำรวจที่มีองค์ประกอบที่มากมายดังนี้
1.การปฎิบัติเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพในอดีต (Past health care practices, expenditure and attitude) สอดคล้องกับ WASH (1968:19) คำถามเหล่านี้จะสร้างความน่าเชื่อถือเกี่ยวกับเนื้อหาสาระที่สำคัญและกระตุ้นผูตอบคำถามไปยังการพิจารณาว่าอะไรที่เขาเต็มใจที่จะจ่ายในปัจจุบัน สำหรับการบริการสุขภาพที่เฉพาะและทำไม  กับคำถามเหล่านี้ที่แผ่กว้างมากขึ้น จะอ้างถึง ผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับการประเมินคุณค่าและทางเลือกก่อนหน้าที่พวกเขาทำ ดังนั้นการให้คุณค่าในความเต็มใจที่จะจ่ายของพวกเขาสำหรับบริการใหม่จะเป็นสิ่งที่ถูกสร้างในบริบทของความรู้เกี่ยวกับทางเลือกที่ถูกจัดหาให้
2. การสร้างเกี่ยวกับสถานการณ์สมมติตลาดที่เป็นไปได้และมีเหตุผล (Creation of a plausible hypothetical market) เพราะว่าการบริการสุขภาพและสถานการณ์ของตลาดที่ถูกแสดงเป็นสิ่งที่สมมติ มันควรจะเป็นสิ่งที่ถูกอธิบายกับผู้ตอบคำถาม ว่าพวกเขาสามารถสร้างการตัดสินใจ ประเภทของข้อมูลข่าวสารที่จำเป็นจำต้องพิจารณาประกอบด้วย
รายละเอียดที่ถูกอธิบายเกี่ยวกับการบริการหรือการรักษาที่เป็นคุณค่าที่ดำรงอยู่
สถาบัน(Institutional)และกระบวนการจัดการ (Organizational) ภายใต้สถานการณ์ที่ซึ่งการบริการจะสามารถที่จะใช้ประโยชน์ได้
วิธีการของการจ่ายเงิน (Payment) (เงินในกระเป๋าของประชาชนจะต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายเอง( out of pocket ,การจ่ายเงินเป็นงวด instalments,การจ่ายเงินล่วงหน้า (pre-payment)  และอื่นๆ)
ความจริงและการรับรู้เกี่ยวกับความเสี่ยงเกี่ยวกับความเจ็บป่วย (actual and percieved risk of illness)และการรับรู้เกี่ยวกับประสิทธิภาพของการรักษา (perceived effectiveness of treatment) [Morison and Glldmark 1992]
3.             คำถามที่ซึ่งเปิดเผยความเต็มใจที่จะจ่ายและความสามารถที่จะจ่ายของผู้ตอบคำถามสำหรับบริการสุขภาพที่ปรากฏ (Questions which elicit the reapondent’s willingness and ability to pay for the healt service on offer)
คำถามเหล่านี้จำเป็นต้องถูกออกแบบกับความมีอคติหรือความลำเอียงให้น้อยที่สุดในตัวผู้ตอบคำถาม ในคุณค่าของความเต็มใจที่จะจ่าย
4.             คำถามเกี่ยวกับผู้ตอบคำถามหรือลักษณะของครัวเรือน (Question about the respondent’s or household characteristics)
เพื่อให้เข้าใจมากกว่า เกี่ยวกับคำถามว่า ทำไมประชาชนให้คุณลักษณะที่เฉพาะสำหรับความเต็มใจที่จะจ่าย ข้อมูลในทางสังคมและเศรษฐกิจ ดังเช่น อายุ เพศ รายได้ ทัศนคติ กับการดูแลสุขภาพที่อิสระ และอื่น ควรที่จะเป็นสิ่งที่ถูกรวบรวม
ในสองทศวรรษที่แล้ว นักเศรษฐศาสตร์มีการพัฒนาวิธีการของการศึกษาความเต็มใจที่จะจ่าย (The WTP Method) ในส่วนอื่นๆกับการจัดวางคุณค่า (การเงินMonetary)เกี่ยวกับสินค้าสาธารณะ ดังเช่น อากาศที่สะอาดกว่า (Cleaner Air) สะถานที่พักผ่อนหย่อนใจ (Recreational Site) ที่ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ค้าขายในตลาดเอกชน (private Market)[3] สำหรับตัวอย่างของผู้ตอบคำถามที่ถูกถามว่า พวกเขาเต็มใจที่จะจ่ายเท่าไหร่สำหรับระดับขั้นที่แตกต่างของอากาศที่บริสุทธิ์สะอาด และจำนวนเงินดอลล่าร์ที่ถูกกำหนดที่ยึดโยงอยู่บนการวัดค่าในเชิงปริมาณ (Quantitative Measure) ของผลประโยชน์(benefit)ของอากาศที่สะอาดนี้  ผู้ตัดสินใจต้องการข้อมูลเกี่ยวกับคุณค่าในทางการเงินหรือผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าสิ่งแวดล้อม (Environmental Goods) เพื่อช่วยให้เขาตัดสินใจเกี่ยวกับโครงสร้างด้านสาธารณูปการสาธารณะหรือคุณภาพสิ่งแวดล้อมที่ต้องตัดสินใจเลือกเป็นอย่างแรก (หรือการปกป้องการเผชิญหน้ากับมลพิษ) ข้อสมมุติฐานคือสิ่งที่สร้าง ถ้าบุคคลบริโภคสินค้าสิ่งแวดล้อม เขาหรือเธอ จะได้รับจำนวนของความพึงพอใจที่แน่นอนจากมัน และเงินที่พวกเขาและเธอจัดเตรียมสำหรับการสละให้กับค่าของความพึงพอใจนั้น ประชาชนส่วนมากพอใจกับคุณค่า สินค้าธารณะ (Public Goods) เหมือนเรื่องของอากาศบริสุทธิ์พวกเขาส่วนมากเต็มใจที่จะจ่าย  ข้อโต้แย้งที่ได้มาขั้นหนึ่งกับการกล่าวว่า จำนวนสูงสุด (maximum)ที่ประชาชนเต็มใจที่จะจ่ายแสดงให้เห็นระดับผลประโยชน์หรือผลตอบแทนที่พวกเขารู้สึก (The maximum a person is willingness to pay represent the degree of benefit the feel)[4] ยิ่งกว่านั้นในปัจจุบัน ผลประโยชน์หรือผลตอบแทนของโครงการบริการด้านสุขภาพ ( the benefit of health care programme) เป็นสิ่งที่ถูกวัดค่าหรือประเมินค่า โดยใช้วิธีการของการศึกษาความเต็มใจที่จะจ่าย (WTA) ในการให้ข้อมูลสำหรับการตัดสินใจและจัดวางเริ่มต้นภาคของการบริการสุขภาพ (The health care sector)
การศึกษาความเต็มใจที่จะจ่ายเป็นสิ่งที่ถูกพัฒนาในประเทศพัฒนาแล้วบางประเทศ กับปริมาณคุณค่าของโปรแกรมทางสุขภาพ โดยเฉพาะในประเทศอังกฤษและสวีเดน  ที่ซึ่งมีกองทุนของรัฐบาลในส่วนของสุขภาพที่ใหญ่มาก  รวมถึงการดำเนินการทางตลาดในด้านเศรษฐกิจอื่นๆจำนวนมาก มีการพิจารณาถึงเรื่องความเต็มใจที่จะจ่ายในความสัมพันธ์ของธุรกิจการประกันภัยในระดับพรีเมี่ยม (Insurance premiums) พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของการปรับปรุงต้นทุนหรือการได้ต้นทุนคืนมา(Recovery Cost)ในประเทศที่มีรายได้ต่ำ (Low income Countries)
การศึกษาความเต็มใจที่จะจ่ายเป็นสิ่งที่ถูกใช้ในบริบทของสังคมและวัฒนธรรมที่แตกต่างอย่างมากกับประทศตะวันตกเหล่านั้น  การได้รับข้อมูลเกี่ยวกับความต้องการบริการสาธารณะถ้าหาก ผู้ใช้ประโยชน์จากการจ่าย (user Charge) เป็นสิ่งที่ถูกแนะนำกับศักยภาพละความเป็นไปได้ในเรื่องของภาษีที่สามารถจัดเก็บได้เพิ่มขึ้น ความมั่นคงทางด้านการเงินการคลัง (Financial Sustainability) ที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงทางนโยบาย
ในส่วนของน้ำและการสุขาภิบาล  สำหรับตัวอย่างที่มีการพัฒนาและทดสอบวิธีการนี้ใน Burkina Faso ,Haiti,Nigeria,Parkistan and Tanzania  ความเป็นไปได้ที่จะปรับปรุงต้นทุน(หรือจะได้ต้นทุนกลับคืนมา Recovery cost) ในภาคส่วนของสุขภาพเป็นสิ่งที่กำลังทารสำรวจและใช้วิธีการเหล่านี้
การกำหนดเป้าหมายและบริบทใหม่ สำหรับการใช้ประโยชน์ของการศึกษาความเต็มใจที่จะจ่าย (WTP) มันมีข้อควรระวังที่จำเป็นอย่างมาก กับการใช้มันและการออกแบบเกี่ยวกับคำถามของความเต็มใจที่จะจ่ายและในการตีความหมายของผลลัพธ์เหล่านั้น สิ่งที่ยังเหลืออยู่ของการทบทวนในบทความชิ้นนี้ส่วนหนึ่งเกี่ยวข้องประเภทหรือชนิดของคำถามที่ถูกใช้สำหรับการเปิดเผยความเต็มใจที่จะจ่ายของประชาชนเกี่ยวกับการบริการสุขภาพ และปัญหาบางส่วนพร้อมกับวิธีการที่สัมพันธ์เกี่ยวข้องเฉพาะกับส่วนของสุขภาพ (Health Sector)
3.              เราจะถามคำถามเกี่ยวกับความเต็มใจที่จะจ่ายอย่างไร (How are WTA questions asked?)
เช่นเดียวกับวิธีการสำรวจอื่นๆ ความเอาใจใส่อย่างตั้งใจจำเป็นต้องถูกใช้กับการพัฒนาและนำทางเกี่ยวกับคำถาม การสำรวจ WTA ต้องการเรื่องราวหรือประเด็นที่เฉพาะเกี่ยวกับคำถามที่ต้องดึงออกมาจากผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับความเต็มใจที่จะจ่ายสำหรับบริการและความจำเป็นที่จะต้องออกแบบในแนวทางที่มีอคติน้อยที่สุด นี่คือสิ่งที่อาจจะไม่ลงรอยสอดคล้องเกี่ยวกับรูปแบบคำถามที่ดีที่สุดที่จะใช้ แต่จำนวนของทางเลือกเป็นสิ่งที่ถูกอภิปรายและบรรยายในวรรณกรรม โดยคำถาม 3 ลักษณะที่ถูกใช้ในปัจจุบันในส่วนของสุขภาพ
คำถามปลายเปิด (Open ended questions)
The National Impregnated Bednet Programme ใน Gambia  ใช้คำถามเกี่ยวกับการได้มาซึ่งเงินทุนสนับสนุนของหมู่บ้านกับการคลัง(Finance)และต้นทุน(Cost)เกี่ยวกับการฉีดพ่นยาฆ่าแมลงเป็นอย่างไร การสำรวจโครงสร้างระดับหมู่บ้าน (Village Level Mechanisms)  สำหรับการเพิ่มขึ้นของกองทุนใช้คำถามปลายเปิด เกี่ยวกับความเต็มใจที่จะจ่าย   (ดังคำถามในกรอบข้างล่าง) กับการได้มาซึ่งความเต็มใจที่จะจ่ายในราคาที่น้อยที่สุด(Minimum)และมากที่สุด(Maximum)[5]

ถ้าประชาชนอาศัยอยู่ในหมู่บ้าน คิดว่าการจุ่ม มุ้ง (bednet) ในยาฆ่าแมลงเป็นสิ่งที่มีประสิทธิภาพในการฆ่าแมลง อะไรคือสิ่งที่สูงสุด (หรือต่ำสุด)ในแต่ละองค์ประกอบที่เป็นสิ่งที่เต็มใจและความสามารถที่จะจ่ายสำหรับบริการ?
 





ผู้วิจัยในส่วนอื่นๆมีการวิพากษ์เกี่ยวกับรูปแบบของคำถามปลายเปิดว่า  ถ้าผู้ตอบไม่คุ้นเคยกับผลผลิต (The Product) พวกเขาพบว่ามันยากที่จะหยิบหรือเลือกคุณค่าออกมาจากอากาศที่ว่างเปล่าโดยปราศจากรูปแบบของการช่วยเหลืออื่นๆ (คือมันตอบยากหรือยากที่จะตอบหรือบางทีอาจจะตอบความเต็มใจที่จะจ่ายมากน้อยกว่าความเป็นจริง) ประสบการณ์ในภาคส่วนของน้ำ(Water Section) แนะนำว่าปัจเจกบุคคลตอบสนองกับคำถาม โดยการถามว่าพวกเขาควรจะจ่ายหรือจำเป็นต้องจ่ายมากเท่าไหร่ที่จะนำไปสู่การปรับปรุงบริการ (WASH 1988:9)
คำถามปลายปิด (Closed Questions)
ในประเทศกานา (Ghana) การวิจัยที่นำไปสู่วิธีการศึกษาความเต็มใจที่จะจ่าย (WTA) สำหรับการประกันสุขภาพในชนบท (Rural  health insurance) วิธีการใหม่และไม่คุ้นเคยของการเงินการคลังของการดูแลสุขภาพในพื้นที่  เป็นสิ่งที่ใช้ทั้งคำถามปลายปิดและปลายเปิด ที่แสดงในช่องที่2





การช่วยเหลือที่หวังจะให้การดูแลที่ฟรี ที่โรงพยาบาลเฉพาะสำหรับการเป็นสมาชิกที่ต้องการรวมตัวช่วยเหลือกันอย่างเหมาะสมในแต่ละครัวเรือน  จะเป็นสิ่งที่เต็มใจหรือสามารถที่จะจ่าย ตามการช่วยเหลือในแต่ละปีสำหรับผลตอบแทนของรัฐสำหรับบุคคลในครัวเรือนของคุณ
ทั้งหมดหรือไม่
1.       จำนวนเงิน 4,000 Cedis สำหรับการดูแลรักษาฟรี ที่ Bartor Mission Hospital เป็นสิ่งที่คุณเต็มใจหรือสามารถที่จะจ่าย จำนวนเงินนี้กับการเป็นสมาชิกหรือไม่
2.       จำนวนเงิน  300 Cedis สำหรับการดูแลรักษาฟรี ที่ Arkuse Government  Hospital  จะเป็นสิ่งที่คุณเต็มใจที่จะจ่ายที่จำนวนนี้กับการเป็นสมาชิกหรือไม่
3.       จำนวนเงิน 2500 cedis สำหรับการดูแลรักษาฟรี (Free Care) ที่ศูนย์สุขภาพที่ใกล้ที่สุด (Nearest health centre)  จะเป็นสิ่งที่คุณเต็มใจหรือสามารถที่จะจ่ายเงินจำนวนนี้กับการเป็นสมาชิกหรือไม่
4.       จำนวนเงิน 1500 cedis สำหรับการดูแลสุขภาพฟรี ที่คลินิกชุมชน (Community Clinic ) ที่เต็มใจหรือมีความสามารถที่จะจ่ายเงินจำนวนนี้สำหรับการเป็นสมาชิกหรือไม่
 



















จุดแข็งของเทคนิคนี้คือมันเข้าใจง่ายในสถานการณ์ของตลาดสำหรับผู้ตอบคำถาม เขาหรือเธอ อาจจะสร้างการตัดสินที่ง่ายเกี่ยวกับราคาว่า  ใช่หรือไม่ (yes or No) เอาหรือไม่เอา ในลักษณะของผู้ตอบคำถาม (Mitchell and Carson 1986:101) จุดอ่อนที่สำคัญ ที่มันแสดงให้เห็นความเต็มใจหรือความสามารถในจำนวนที่ต้องการจ่ายสูงสุด มันยังมีความสำคัญกับความไม่มีประสิทธิภาพของการใช้ข้อมูลที่สามารถเป็นไปได้จากผู้ตอบคำถาม เพราะว่า การถามคำถามกับผู้ตอบ พวกเขาอาจจะเต็มใจที่จะเปิดเผยหรือแสดงให้เห็นสิ่งที่มากกว่าเกี่ยวกับความพึงพอใจของครัวเรือน

เกมส์ของการประมูลราคา (Bidding Games)
มากกว่าที่จะเป็นการใช้ราคาเดียวในการถามคำถามเท่านั้น ผู้สัมภาษณ์ควรจะให้รายละเอียดเกี่ยวกับความพึงพอใจของผู้บริโภคโดยการแนะนำราคาที่แตกต่าง (โดยการถามคำถามเดียวกันแต่เพิ่มราคาให้สูงขึ้นและทำซ้ำจนกระทั่งผู้ถูกสัมภาษณ์บอกว่าไม่เต็มใจที่จะจ่ายอีกต่อไป โดยราคาที่มากที่สุดที่ผู้ตอบสัมภาษณ์เต็มใจที่จะจ่าย คือความเต็มใจที่จะจ่ายมากที่สุด)  การให้ราคาหรือประมูลราคา (bidding) ผู้ตอบเพิ่มขึ้นหรือลดลง (up and down) สัมพันธ์กับคำตอบที่กำหนด นี่คือลำดับที่ต่อเนื่องของคำถามที่รู้จักในนามของ bidding Games และเป็นสิ่งที่ถูกใช้อย่างกว้างขวาง โดย Whittington และคณะ (1987;1988;1989;1990) ในภาคส่วนของเรื่องน้ำ (water Section) ในการสำรวจความเต็มใจที่จะจ่ายในปัจจุบัน ถูออกแบบสำหรับโรงพยาบาลที่ไม่ต้องการสร้างผลกำไร (non-profit- making hospital) ใน Mexico (Russell 1994) รูปแบบของการประมูลเป็นสิ่งที่ถูกออกแบบกับการทดสอบความเต็มใจที่จะจ่าย WTP ในpackage การดูแลก่อนคลอด(ante-natal) เมื่อคลอด (delivery) และหลังคลอด (post-natal) ดังเช่นทัศนูปกรณ์ (viual Aid) บัตร (card) 12 ใบ ที่ครอบคุลมช่วงของราคา จาก N$ 40 ถึง N$ 300 เป็นสิ่งที่ถูกใช้ในบัตรแรกเริ่มต้น ที่ถูกแสดงกับผู้ตอบคำถาม คือ N$ 100
การให้ตัวอย่างเกี่ยวกับ เกมส์ของการประมูลสามารถถูกกำหนดหรือออกแบบได้อย่างไร  รูปแบบพื้นฐานของส่วนหนึ่งในคำถาม  (สำหรับราคา N$200-N$400) คือสิ่งที่แสดงในช่องที่3 ถ้าผู้ตอบไม่เต็มใจที่จะจ่ายที่ราคาเริ่มต้นที่ 100 N$ ผู้สัมภาษณ์จะต้องแสดงบัตรของมูลค่าราคาที่ต่ำกว่าลำดับต่อไป (N$80) นี่คือกระบวนการที่ลดระดับของสเกลอย่างต่อเนื่อง  จนกระทั่งผู้ตอบคำถามให้ราคาประมูล (Make bid)  และถ้าผู้ตอบคำถามไม่เต็มใจที่จะจ่าย กับราคาต่ำสุดที่ 40 N$ เธอก็จะถูกถามในราคาประมูลที่สูงที่สุด (ดูในช่องที่3 ส่วน c)
ถ้าผู้ตอบคำถามเต็มใจที่จะจ่าย ที่ราคา 100 N$ ราคาจะไม่ถูกแสดงในกฎของส่วนเพิ่ม(Incremental order)[6] แม้ว่า บัตรที่ให้ราคาสูงมากจำนวนมากจะถูกให้ราคา (N$ 200) และถ้าผู้ตอบไม่เต็มใจที่จะจ่ายในราคา 200 N$  ผู้สัมภาษณ์จะต้องกลับไปลดระดับ(Down scale) กับมูลค่า 125 N$  ดังนั้นมูลค่าของบัตรที่สูงกว่า (175 N$) จะต่ำกว่า การปฏิเสธราคาที่ประมูลก่อนหน้า  ที่ถูกแสดง จนกระทั่งราคาประมูลถูกสร้าง
ผลลัพธ์ของเกมส์การประมูลราคา จะไม่ทำให้เกิดความเต็มใจที่จะจ่ายในราคาประมูลสูงสุด
สำหรับตัวอย่างถ้า ผู้ตอบคำถามเต็มใจที่จะจ่าย N$ 100 แต่ไม่เต็มใจที่จะจ่าย 125 N$ ราคาประมูลของเขาและเธอก็จะอยู่ระหว่าง N$ 100 และ N$ 124
วิธีการใช้เกมส์การประมูล (bidding games) มีประโยชน์ในการแนะนำเริ่มต้น ในกระบวนการคิดและทางเลือกเกี่ยวกับราคาที่มีความแตกต่าง ประโยชน์หลักของเกมส์การประมูลหรือให้ราคา (คำถามปลายปิด)  คือ การเริ่มต้นให้ราคาเป็นสิ่งที่ถูกใช้ประโยชน์ ที่เกี่ยวข้องสัมพันธ์กับมูลค่าหรือคุณค่าของสินค้า   นี่อาจจะเป็นจุดอันตรายของการเริ่มต้นดังกล่าวในคุณค่าหรือจุดยืนที่สามารถตอบคำถามอย่างมีการโน้มเอียง(Bias)  Mitchell และ Carson ใช้เทคนิคของการใช้บัตร ในการจัดช่วงชั้นของบัตร(range of Card)ที่มีการกระจายกันบนตาราง  ที่ช่วยทำให้ผู้ตอบคำถามมองเห็นภาพอย่างชัดเจน แต่แสดงให้เห็นความตั้งใจของพวกเขาในการหลีกเลี่ยงจุดเริ่มต้นของการโน้มเอียง(Bias)
เทคนิคของการใช้บัตรและเกมส์ของการประมูลเป็นสิ่งที่ถูกออกแบบเพื่อช่วยการตัดสินใจของผู้ตอบคำถามเกี่ยวกับราคาที่แสดงในระยะหรือช่วงชั้นของราคา (range of prices) แม้ว่า ระยะหรือช่วงห่างของราคาที่เสนอให้สามารถที่จะนำไปสู่ความโน้มเอียงของผู้ตอบคำถาม ที่อธิบายเกี่ยวกับความเต็มใจที่จะจ่าย สำหรับเป้าหมายเชิงนโยบาย อาจจะเป็นสิ่งสำคัญกับการเสนอให้กับผู้บริโภค ช่วงชั้นของราคาเป็นพื้นฐานของราคาที่จัดหาให้สำหรับการบริการ สำหรับตัวอย่างจุดตรงกลาง (mid-Point) ของระยะห่างของราคาที่ถูกเสนอให้กับผู้ตอบคำถาม อาจจะเป็นต้นทุนเฉลี่ยของการจัดหาบริการ เมื่อนี่คือการจัดหาที่เชื่อมโยงระหว่างต้นทุน(cost) และอุปสงค์ (Demand) ต้นทุนอาจจะไม่เท่ากันกับคุณค่าของผู้บริโภคเกี่ยวกับการบริการที่ถูกเสนอให้
4.              ความจำเป็นสำหรับสิ่งที่ต้องระวัง (The need for Caution)
นอกจากการเรื่องของความโน้มเอียงที่ถูกแนะนำโดยคำศัพท์ที่ใช้ในการถามคำถาม  ข้อสงสัยหลักคือ ประชาชนสามารถให้ความหมายของคำตอบกับคำถามเหล่านี้ได้แท้จริงหรือไม่ วิธีการของ WTP  เชื่อมั่นหรือไว้วางใจบนการให้เหตุผลของผู้ตอบคำถามหรือไม่ และความสามารถในการรู้ สำหรับการที่จะต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง (เนื่องจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นอาจมีทางเลือกหลายทางที่ไม่สามารถเกิดขึ้นพร้อมกันใดต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เกิดภาวะได้อย่างเสียอย่าง) หรือเรียกว่า trade-off และทางเลือกก่อนที่จะเกิดแบ่งราคา และการตัดสินใจเหล่านี้อยู่บนข้อมูลที่พวกเขามี เกี่ยวกับการบริการสุขภาพ ที่ถูกจัดเตรียมโดยผู้สัมภาษณ์  ผู้ตอบคำถามที่อธิบายหรือพูดถึงความเต็มใจที่จะจ่าย อาจจะไม่เชื่อมั่นว่า ถ้าพวกเขามีข้อมูลที่ไม่เพียงพอ เกี่ยวกับคุณลักษณะของบริการที่ถูกอธิบาย หรือถ้าพวกเขาไม่เข้าใจข้อมูล
การให้ข้อมูลเกี่ยวกับการบริการทางสุขภาพ กับผู้ตอบคำถาม อาจจะเป็นสิ่งที่ยุ่งยากเฉพาะ เพราะว่า 1.ความรู้จากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะ (specialist) ไม่สามารถจัดหารายละเอียดให้ได้ทั้งหมด เกี่ยวกับความเสี่ยงของความเจ็บป่วยหรือเป็นโรค (risk of Disese)และประสิทธิผลของการรักษา (effectiveness treatment) 2. ถ้าความรู้ของผู้เชี่ยวชาญมีอยู่จริง มีข้อสรุป แต่ไม่สามารถอธิบายเปรียบเทียบ เกี่ยวกับความเสี่ยงและประสิทธิผลของการรักษา เป็นที่ยากมากกับการอธิบายให้ประชาชนรู้กันทั่วไป
คำถามส่วนหนึ่งที่ยาก กับการแก้ปัญหา คืออะไรคือข้อมูลเกี่ยวกับความเสี่ยงเรื่องสุขภาพ กระบวนการรักษาและผลประโยชน์ที่ควรเสนอกับผู้ตอบคำถามก่อนที่ผู้สัมภาษณ์จะถามคำถามเกี่ยวกับความเต็มใจที่จะจ่ายของผู้ตอบคำถาม  และข้อมูลเหล่านี้ควรที่จะถูกแสดงอย่างไร ความยุ่งยากในความสมดุลระหว่างการให้รายละเอียดที่เพียงพอ และการบรรจุข้อมูลให้กับผู้ตอบคำถามที่มากเกินไป จำเป็นที่จะต้องค้นหาและทำให้บรรลุผล
การใช้ประโยชน์กับผู้วางนโยบาย วิธีการแบบ WTP  จำเป็นต้องให้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือและถูกต้อง ดังเช่นคำอธิบาเกี่ยวกับข้อสมมติฐานอื่นๆจำนวนมาก เกี่ยวกับพฤติกรรมจำเป็นต้องกระทำอย่างระมัดระวัง  ดังเช่นนักวิจัยคนหนึ่งในสนามนี้ชี้ว่า วิธีการของWTP  คือสิ่งที่มีสถานะเป็นการทดลอง และการศึกษาที่จะต้องทำให้สมบูรณ์ขึ้น เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพที่มีการศึกษาทดลองอย่างกว้างขวาง  การทดสอบความเป็นไปได้ในการใช้เครื่องมือคอมพิวเตอร์เข้ามาช่วย (The Feasibility )วิเคราะห์ทางเลือก ความเป็นไปได้ ของวิธีการนี้
การทดสอบที่สมบูรณ์ของความถูกต้องเป็นสิ่งที่ถูกเปรียบเทียบสมมติฐานของการประมูลราคาหรือการให้ราคาในความเต็มใจที่จะจ่าย (WTA) กับจำนวนเงินที่สามารถจัดการได้อย่างแท้จริง หลังจากแบบแผนค่าธรรมเนียม หรือ การประกัน เป็นสิ่งที่ถูกแนะนำ (Johnesson 1993) แต่นี่ดูเหมือนจะเป็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้อยู่บ่อยครั้งและกำหนดเอาไว้ในตอนเริ่มแรก  มันคือสิ่งที่เต็มไปด้วยความยากเกี่ยวกับการตีความ การทดสอบความน่าเชื่อถือถูกต้องอื่นๆคือสิ่งที่มองลงไปยังการให้ราคาของความเต็มใจที่จะจ่าย ที่สัมพันธ์อย่างเป็นระบบกับตัวแปรในมิติทางเศรษฐกิจสังคม ถ้าพวกเขามีโอกาสหรือหนทางที่มากกว่าที่การให้ราคาของความเต็มใจที่จะจ่ายที่ไม่ง่ายที่จะถูกดึงออกมาในอากาศ แต่เป็นความจริงที่สัมพันธ์กับความพึงพอใจของครัวเรือน
ถ้าข้อสมมติฐานหนึ่งในปัญหาเหล่านี้สามารถเอาชนะหรือพิชิตได้ นี่ก็ยังคงมีคำถามเกี่ยวกับการตั้งราคา วิธิการ WTA สามารถช่วยคนที่ตัดสินใจในการวางหรือตั้งราคา เพราะว่าพวกเขาได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอุปสงค์หรือความต้องการสำหรับบริการในราคาที่กำหนด  เส้นอุปสงค์ที่สมมติขึ้นมา (Hypothetical Demand ) สามารถเป็นสิ่งที่ถูกสร้าง แต่ราคาที่จั้งจะสัมพันธ์พึ่งพิงกับจุดเริ่มต้นของผู้ตัดสินใจ  ราคาอาจจะต้องตั้งไว้ที่ระดับซึ่งคนส่วนใหญ่ ( The majority of people) มีความเต็มใจหรือมีความสามารถที่จะจ่ายที่อรรถประโยชน์ไม่ได้ลดน้อยลง แต่ราคาเหล่านี้อาจจะต้องต่ำกว่าต้นทุนที่มีทั้งหมดด้วยเหมือนกัน ถ้าการตัดสินใจยึดโยงอยู่กับราคาที่เพิ่มขึ้น เพราะว่าการสำรวจความเต็มใจที่จะจ่ายแสดงให้เห็นว่า ความเพียงพอของประชาชนที่ยังคงใช้ประโยชน์จากการบริการ นี่อาจจะเป็นผลประโยชน์ตอบแทน (beneficial)ในรูปของภาษีและประสิทธิภาพแต่อาจจะอาจจะขัดขวางการใช้ประโยชน์ในส่วนของคนจน ในชุมชน
WTA คือวิธีการที่สามารถพิจารณาเกี่ยวกับการผูกติดกับคุณค่าและราคากับการบริการสุขภาพ อย่างไรก็ตามมันยังคงอยู่ในขั้นของการทดลอง ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ ระมัดระวัง ความจำเป็นที่จะต้องกำหนดกับการพัฒนาหรือนำทางเกี่ยวกับแบบสอบถาม และสอง การกำหนดเกี่ยวกับความเข้าใจข้อจำกัด เกี่ยวกับปัจจัยที่ส่งผลต่อการอธิบายเกี่ยวกับความเค็มใจที่จะจ่าย มันคือสิ่งที่มีความสำคัญอย่างน้อยต้องรวบรวมหรือเก็บข้อมูลรายละเอียดในมิติทางสังคมเศรษฐกิจ[7]กับการวิเคราะห์สำหรับการประเมินคุณค่า สุดท้าย คือความจำเป็นที่จะต้องตีความอย่างระมัดระวังเกี่ยวกับคุณค่าของความเต็มใจที่จะจ่ายอื่นๆ เพราะว่าความถูกต้องและความน่าเชื่อถือของการอธิบายสถานการณ์ที่สมมติ (hypothetical) เป็นสิ่งที่ยังคงไม่ชัดเจน[8]










[1] คนไข้ที่มารักษาตัวที่โรงพยาบาลแต่ไม่นอนโรงพยาบาล
[2] จำนวนของการศึกษาใช้ข้อมูลจาการสำรวจที่มีการสร้างแบบจำลองของ ดีมานต์ของความเต็มใจที่จะจ่าย (Willingness to pay) สำหรับบริการทางสังคมและการดูแลสุขภาพ โดยใช้เทคนิคดังกล่าวนี้ ดูได้ในงานของ  Gartler and Van der gaag (1988) และ Lavy and Quigley (1993) พวกเขาใช้ข้อมูลเกี่ยวกับความเจ็บป่วย (Illness) และการใช้ประโยชน์จากบริการทางการแพทย์ (medical Care Ulitilization) กับการสร้างหน้าที่ของดีมานต์ (Demand Function) และพยากรณ์ (predict) ความยืดหยุ่นเลื่อนไหลของดีมานต์ (The Elasticity of Demand) เกี่ยวกับสุขภาพและผลกระทบที่ผู้จ่ายค่าธรรมเนียมถูกทำให้สัมพันธ์กับคุณภาพ (Equality) และความสามารถเข้าถึงได้ (Accessibility) การเปลี่ยนแปลงจะอยู่บนเรื่องของอรรถประโยชน์  (Utilization)ภาษี (Revenue) และสวัสดิการ(Welfare)
[3] นี่เป็นโครงร่างของการทำงานที่ใหญ่ของวิธีการประเมินค่าโดยการสัมภาษณ์โดยตรง (Contingent valuation method) ที่สัมพันธ์กับประเทศอุตสาหกรรม โดยเฉพาะในนักเศรษฐศาสตร์สิ่งแวดล้อม (Environmental Economists)
[4] ข้อสมมติฐานเหล่านี้มีพื้นฐานอยู่บนแนวคิด pareto welfare  ที่เป็นบิดาแห่งสังคมศาสตร์สวัสดิการ ที่บอกว่าเวลาที่คุณทำบริการสาธารณะก็จะมีทั้งคนได้คนเสีย ดังนั้นภาวะที่เราจะต้องตัดสินใจทำบางอย่างจะต้องทำให้มีแต่คนได้ไม่มีคนเสีย หลักการของoptimum คือการที่คุณทำอะไรแล้วทำให้คนอย่างน้อยหนึ่งคนดีขึ้นโดยไม่ทำให้คนแม้แต่คนเดียวเลวลง แนวคิดแบบนี้เรียกว่า paretian welfare economics ที่ซึ่งยอมรับว่า จำนวนของปัจเจกชนทั้งหมด  ที่เต็มใจจะจ่ายอย่างเท่าเทียมทั้งสังคม  ในการประเมินคุณค่าสูงสุดของสินค้าหรือบริการในคำถาม  มันได้ให้ความเข้าใจกับบุคคลผู้ซึ่งได้รับผลประโยชน์หรืออสวัสดิการที่ดีขึ้น
[5] บ่อยครั้งที่ผู้ตอบคำถามจะให้ช่วงของราคาที่พวกเขามีความเต็มใจที่จะจ่ายและมีความสามารถที่จะจ่าย
[6] กฏของการค่อยๆเพิ่มหรือเปลี่ยนแปลงที่ละเล็กน้อย
[7] เกี่ยวข้องกับข้อมูลเรื่องเพศ การศีกษา รายได้ อาชีพ อายุ
[8] มันเป็นสิ่งสมมติ (ตลาดเทียม)ที่สร้างขึ้นจากความคิดของผู้วิจัย ปัญหาคือทำอย่างไรจะให้ผู้ตอบคำถามเปิดเผยจ้อมูลที่แท้จริงออกมา

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง