แนวคิดนิเวศวิทยาการแพทย์มองความสัมพันธ์ของระบบสิ่งแวดล้อม
วัฒนธรรมและระบบสุขภาพ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งในวิธีการที่หลากหลายที่ใช้ในทางมานุษยวิทยาการแพทย์ในการศึกษาปัญหาสุขภาพอย่างเป็นองค์รวม
ที่ถักทอ 3
ระเบียบวิธีการศึกษาเข้าด้วยกันคือ มานุษยวิทยา นิเวศวิทยาและการแพทย์ (McElroy
and Townsend,1996:7)
โดยแนวความคิดนิเวศวิทยาการแพทย์เป็นแนวความคิดที่เน้นเรื่องการปรับตัว (Conception
of Adaptative) เป็นหลัก
โดยเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงด้านวัฒนธรรมหรือชีวิภาพในระดับปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มเป็นการปรับตัวเพื่อให้มีชีวิตอยู่รอด
โดยระดับสุขภาพของกลุ่มคนในสังคมสะท้อให้เห็นความสัมพันธ์ทางธรรมชาติ
ความสัมพันธ์ของกลุ่ม ความสัมพันธ์กับสิ่งต่างๆที่อยู่รอบตัวเรา พืช สัตว์
สุขภาพและอนามัยเป็นเครื่องมือวัดความสำเร็จของการปรับตัวต่อสิ่งแวดล้อม
โรคภัยไข้เจ็บ (disease) คือความล้มเหลวของมนุษย์ในการปรับตัว
ดังนั้นสุขภาพคือเครื่องมือทางวัฒนธรรมต่อความสำเร็จในการปรับตัว ( McElroy
and Townsen, 1996: p.12 อ้างในพิมพวัลย์,2545:12-13) นอกจากนี้ McElroy และ Townsend ได้กล่าวไว้ในหนังสือซึ่งพิมพ์ครั้งที่4 ชื่อ Medical
Anthropology in Ecological Perspective (2004)
ว่า สิ่งที่เขาเน้นเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างการแพทย์และนิเวศวิทยา
คือการอธิบายวิวัฒนาการ (Evolution) และการปรับตัว (Adaptation) ทางพันธุกรรม(Genetic) ทางกายภาพ (Physiological) ทางวัฒนธรรม (Cultural) และทางจิตวิทยา (Psychological) เข้าด้วยกัน
สิ่งที่น่าสนใจคือ
มานุษยวิทยาการแพทย์ ได้รวมเอาเทคนิค แนวคิดและทฤษฎีของการวิจัยจาก 4 สาขาย่อยของวิชาทางมานุษยวิทยาคือ มานุษยวิทยากายภาพ
โบราณคดี ภาษาศาสตร์ และมานุษยวิทยาวัฒนธรรม เข้าไว้ด้วยกัน ที่ทำให้เกิด 3
สนามหลักในมานุษยวิทยาการแพทย์ คือชีววิทยาการแพทย์ (Biomediac) ที่ศึกษาการปรับตัวของมนุษย์ ชาติพันธุ์ทางการแพทย์ (Ethnomedical) ที่ศึกษาสุขภาพและการรักษาของกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ
และมานุษยวิทยาประยุกต์ทางการแพทย์ (Applied Medical Anthropology) ที่นำเอาแนวคิดและวิธีการทางมานุษยวิทยาไปใช้ในงานทางการแพทย์และสาธารณสุข
แนวคิดนิเวศวิทยาการแพทย์
มองภาวะสุขภาพตามหลักทางวิทยาศาสตร์ที่วัดในเรื่องการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม
เช่น การศึกษาการปรับตัวของชาว Mano ในประเทศไลบีเรีย
ที่โรคมาลาเรียทำให้ผู้คนชนเผ่านี้ล้มตายเป็นจำนวนมากมาเป็นเวลาตั้งแต่หลายร้อยปี
โดยในตัวของชาวMano ได้มีการปรับตัวด้านชีววิทยาเกิดการเปลี่ยนแปลงของยีนส์
(Gene Mutation) มีการปรับตัวด้านเม็ดเลือดที่ทำให้สามารถป้องกันเชื้อ
Plasmodium Malaria ได้
ซึ่งการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวสามารถถ่ายทอดทางยีนส์จากพ่อแม่
เมื่อเป็นมาลาเรียก็จะไม่ถึงกับป่วยหนักหรือเสียชีวิตเหมือนในอดีต
ในขณะเดียวกันแนวคิดนิเวศวิทยาการแพทย์ยังมองถึงความซับซ้อนทางวัฒนธรรมที่มีส่วนในการกำหนดระบบสุขภาพของผู้คนในสังคม
ที่เรียกว่ากลยุทธ์ปรับตัวทางวัฒนธรรมในสังคม
เช่น การพัฒนาแว่นตาของชนพื้นเมืองแถวอาร์กติกเพื่อป้องกันสายตาของพวกเขาจากแสงที่ตกกระทบน้ำแข็งและหิมะ
เป็นต้น
สิ่งที่ทฤษฎีนี้ให้ความสนใจคือเรื่องของการปรับตัว
(Adaptation) ที่เป็นเหมือนการเปลี่ยนแปลง (Change) และการดัดแปลง (Modification)
ที่เป็นความสามารถของบุคคลหรือกลุ่มกับการดำรงอยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูกกำหนด
ซึ่งถือเป็นแกนหลักของทฤษฎีที่สร้างสนามทางนิเวศวิทยาการแพทย์
โดยมองว่าเช่นเดียวกับสัตว์ประเภทอื่น นอกจากมนุษย์จะสามารถปรับตัวไปสู่ความหลากหลายของกลไกลทางชีววิทยา
(Biological Mechanism) และยุทธศาสตร์ทางพฤติกรรม (Behavioral
Strategies) แต่พวกเขายังพึ่งพาแบบแผนทางวัฒนธรรมของการปรับตัวมากกว่าสปีชี่ส์อื่นๆ
มนุษย์ใช้กลไกลการปรับตัวด้านวัฒนธรรมในการผูกโยงและประสานพวกเขาเข้าด้วยกันในความพยายามกับการได้มาซึ่งอาหาร
การปกป้องพวกเขาจากสภาพภูมิอากาศ รวมทั้งการเลี้ยงดูและการฝึกสอนลูกหลานของพวกเขาในสังคม
McElroy และ Townsend (1996:24-27) ได้เสนอโมเดลของนิเวศวิทยาและสุขภาพ
ที่สะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างตัวแปร
ที่แสดงให้เห็นสิ่งแวดล้อมที่มีผลกระทบต่อมนุษย์สามารถที่จะแยกออกมาได้
แยกออกมาได้ 3 ส่วนคือ 1.สิ่งมีชีวิตทางกายภาพ
(Physical) ที่พิจารณาจากตัวประชากรมนุษย์ (Human
Population) ลงมาที่ระดับอินทรีย์ของปัจเจกบุคคล (Individual
Organism) และลงมาถึงระบบเนื้อเยื่อและเซลล์ (Tissue and
Cells) 2. สิ่งไม่มีชีวิต (Abiotic) ที่ประกอบด้วย สสารต่างๆ
สภาพอากาศ และพลังงาน 3. สิ่งแวดล้อม
ที่แยกออกมาเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีชีวิต ( The Biotic Environment) เช่น ผู้ล่า (Predator) สิ่งมีชีวิตอื่นๆที่เป็นพาหะนำเชื้อโรค
เช่น ไวรัส แบคทีเรีย (Vector) และตัวทำให้เกิดโรค (Pathogen) และสิ่งแวดล้อมทางวัฒนธรรม (The Cultural Environment) ที่ประกอบด้วยอุดมการณ์ความคิด การจัดระเบียบทางสังคมและเทคโนโลยี
ทั้งหมดทุกส่วนล้วนพึ่งพาระหว่างกันและมีปฏิสัมพันธ์กันอย่างต่อเนื่อง
การเปลี่ยนแปลงของตัวแปรหนึ่งย่อมนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงตัวแปรอื่นๆ
โมเดลดังกล่าวเมื่อถูกนำมาใช้อธิบายความสัมพันธ์กับระบบการแพทย์และสาธารณสุข
จะประกอบด้วย ตัวแปรทางประชากร ปัจจัยทางด้านการถ่ายทอดพันธุ์
ภูมิต้านทางโรคและปัจจัยทางชีวภาพอื่นๆ ลักษณะของโรควัตถุหรือสิ่งมีชีวิตที่ทำให้เกิดโรคหรือพาหะนำโรค
ลักษณะสภาพแวดล้อมทางสังคมวัฒนธรรม แบบแผนทางความคิด ขนบประเพณีปัจจัยทางด้านการรับรู้และความเข้าใจ
องค์กรทางสังคมและการเมือง เทคโนโลยีและการปรับตัวทางสภาพแวดล้อม
ทั้งหมดจะสะท้อนความสัมพันธ์ของสุขภาพอนามัยและการเจ็บไข้ได้ป่วยที่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นการปรับตัวทางชีวะวัฒนธรรมประเภทหนึ่ง
และแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งแวดล้อม ดังกรณีของปัญหาเรื่องความเครียดที่ McElroy and Townsend (1996:239-241) ให้ความหมายต่อความเครียดว่า
เป็นกระบวนการตอบสนองของประสาทสรีระวิทยา (Neurophysiologically)ต่อสิ่งแวดล้อม(Environmental)ในการถูกคุกคามการดำรงชีวิตของปัจเจกบุคคล
โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นการกระตุ้นให้เกิดความเครียด (Stressor)
ที่มีระดับที่เข้มข้นและการคุกคามที่มากขึ้น
ดังเช่นกรณีของความเครียดที่เป็นลักษณะ Acute Stress ตัวอย่าง
น้ำท่วม พายุเฮอริเคนหรือสงคามกลางเมือง
ซึ่งความกดดันทางสิ่งแวดล้อมดังกล่าวที่ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันของปัจเจกบุคคล
หรือเกิดขึ้นบ่อยครั้งก็จะทำให้เกิดภาวะความเครียดเรื้อรัง(Chronic Stress) ได้
โดยตัวแปรทางด้านบุคคลและวัฒนธรรมมีความสัมพันธ์กับการทนทานต่อความเครียดและการจัดการความเครียด
(Toterance and Cope of Stress) ดังนั้นความเครียดและการปรับตัวจึงเป็นแนวคิดที่มีความเชื่อมโยงสัมพันธ์กัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น