บทบันทึกการต่อสู้ดิ้นรนผ่านการขายเรือนร่างของแม่ญิงลาว
ในสถานบริการขายบริการทางเพศ จังหวัดอุดรธานี
ฉากชีวิตข้ามพรมแดนอันรันทดของแม่หญิงลาว
บ้านทรงสี่เหลี่ยมพื้นผ้า ขนาดความสูงสองชั้น ด้านล่างจะเป็นห้องยาวๆ
มีโต๊ะที่เรียงอยู่ภายในจำนวนประมาณเกือบ 20 โต๊ะ แต่ละโต๊ะมีเก้าอี้จำนวน 4
ตัว บริเวณด้านในสุดของบริเวณนี้จะเป็นห้องน้ำรวมชายหญิงแคบๆ
สิ่งที่น่าสนใจคือบริเวณด้านหน้าทางเข้าจะมีชายหนุ่ม 2-3 คน
นั่งอยู่ตรงประตูทางเข้า ซึ่งเป็นรั้วสังกะสีขนาดใหญ่ปิดอยู่อย่างมิดชิด
ด้านในก่อนจะเข้าไปถึงบริเวณประตูทางเข้าไปในห้องที่มีกลุ่มผู้หญิงลาวอายุประมาณ 16
18 ปีขึ้นไปนั่งอยู่
จะมีผู้ชายอีกสองคนนั่งอยู่บนโต๊ะที่มีสมุดจดคล้ายสมุดบัญชี
ผู้สังเกตการณ์พบว่า
ระหว่างที่นั่งอยู่จะมีผู้ชายทั้งในลักษณะที่มาคนเดียว มากับกลุ่มเพื่อนสองสามคน
จะมานั่งอยู่ในโต๊ะด้านในสุด
เพราะโต๊ะบริเวณทางเข้าจะเป็นโต๊ะของกลุ่มผู้หญิงลาวประมาณเกือบยี่สิบคนนั่งอยู่ประมาณ
4 –5 โต๊ะ ผู้ชายเหล่านั้นก็จะบอกเด็กผู้หญิงที่คอยเสริฟ์เบียร์หรือเครื่องดื่มที่ลูกค้าสั่งว่า
“เอาคนผมยาวนั่งหันหลังเสื้อสายเดี่ยวสีขาว” เอาคนผมสั้นเสื้อสีดำ”
ยกเว้นแขกที่มาขาประจำก็จะระบุชื่อ แล้วเดินออกไปเพื่อขึ้นห้อง
บางคนที่เป็นแขกขาประจำจะไม่เข้ามาข้างใน
แต่จะให้คนที่คุมด้านหน้ามาเรียกเด็กให้ออกมาขึ้นห้องกับแขก
กลุ่มคนที่มาเที่ยวมีทั้งคนไทย และคนต่างชาติ
คนต่างชาติส่วนใหญ่เป็นญี่ปุ่น ฮ่องกง ส่วนคนไทยจะเป็นคนที่มีอายุประมาณ 30
ปีขึ้นไป”
ผู้หญิงที่อยู่ในร้านแต่งหน้าแต่งตาสะสวย
ใส่เสื้อผ้าที่ทันสมัยดึงดูดใจ ส่วนใหญ่จะเป็นชุดกระโปรงสายเดี่ยว โชว์สัดส่วน
หน้าอก แขน และเรียวขา ย้อมผมสีแดง เขียนลบด้วยสีสันที่ดูฉูดฉาด
สวมเครื่องประดับวับแวม พร้อมประพรมน้ำหอมกลิ่นฟุ้งไปทั่วห้อง
สาวลาวอายุประมาณ 18 -19 ปี
นั่งรวมกันอยู่ที่มุมหนึ่งของห้อง พูดคุยกัน
บางคนสนใจกับเพลงที่เปิดผ่านโทรศัพท์มือถือยี่ห้อต่างๆ ระหว่างเสียงผู้ชายที่นั่งคุยกัน
และตกลงกันว่าจะเรียกน้องคนไหนออกไปกับตัวเอง
เสียงเพลงของศิลปินวัยรุ่นค่ายอาร์เอสก็ทำให้บรรยากาศดูคึกคักมากขึ้น ชาวต่างประเทศบางคนเข้ามานั่งสักครู่ก็ชี้มือไปที่เด็กคนหนึ่งแล้วก็จูงมือกันเดินออกไปนอกห้องเพื่อแลกเปลี่ยนซื้อขายบริการทางเพศกัน
เรื่องราวชีวิตเหล่านี้เริ่มต้นขึ้นมาจากเด็กผู้หญิงเหล่านั้นที่เข้ามาเสิร์ฟเบียร์และพูดคุยกับผู้ศึกษา
ถึงที่มาของพวกเขาจากลาวเหนือ ลาวใต้ข้ามพรมแดนไทย ความลำบากยากแค้น ค่านิยมทางสังคมและแรงบีบเค้นทางเศรษฐกิจทำให้พวกเธอไม่อาจจะปฎิเสธซึ่งการเข้ามาขายเรือนร่างและนาผืนน้อย
อายุ 18 -19 ปีซึ่งอยู่ในวัยสาวแรกรุ่น
สามารถลงทุนกับร่างกายของเธอเก็บเกี่ยวเงินกลับบ้านให้พ่อแม่ญาติพี่น้องสบาย
บางคนทำอาชีพนี้ประมาณ 5-6 ปี ก็กลับบ้านไปเริ่มต้นชีวิตใหม่กับผู้ชายดีๆสักคน
การขายบริการให้กับแขกครั้งละ 600 บาท
ที่จะต้องหักค่านายหน้าให้กับแมงดาที่ควบคุมพวกเธอ ยิ่งรับแขกมากก็จะได้เงินมาก
แม้ว่าเธอบอกว่าไม่อาจบอกตัวเลขได้เพราะเป็นความลับ แต่ก็บอกว่าได้น้อยมาก
เมื่อเทียบกับสิ่งที่พวกเธอต้องใช้แลกมันมา กุญแจห้องที่มือของพวกเธอ
รอรับแขกคนแล้วคนเล่า และกุญแจดอกนี้ต้องการที่จะเปิดมากกว่าที่จะปิด
เพราะการเปิดห้อง หมายถึงการเริ่มต้นทำงาน
และเปิดโอกาสให้ท้องของเธอได้เติมเต็มจากเม็ดเงินของแขกที่เข้ามาเที่ยว
กุญแจดอกนี้นำไปสู่การทำความเข้าใจชีวิตและแง่มุมของผู้หญิงเหล่านี้
ที่พวกเธอบอกเล่าถึงการอพยพข้ามพรมแดน การปรับตัวให้เข้ากับสังคมสมัยใหม่
ความเจริญต่างๆที่พวกเธอไม่เคยได้สัมผัสแต่มีโอกาสที่จะเอื้อมมือไปสัมผัส
ซึ่งเป็นชีวิตที่พวกเธอเลือกและเต็มใจที่จะทำเช่นนั้น ทิ้งความลำบากไว้เบื้องหลัง
ความล้มเหลวในชีวิตแต่งงานกับชายหนุ่มที่รักไว้ข้างหลัง
และก้าวมาสู่ประตูของเศรษฐกิจที่ใช้ความปรารถนาและความต้องการพื้นฐานของมนุษย์มาสู่เงินตรา
ฉากชีวิตแม่ญิงลาวในเมืองลาว อดีตที่ผ่านไป
ในบทความของอาจารย์นิธิ
เอียวศรีวงศ์ (อ้างจากปรานี วงษ์เทศ) ในเรื่องพุทธกับไสย์
ได้กล่าวถึงบทบาทของผู้หญิงในทางพระพุทธศาสนามีน้อยลง และด้อยกว่าเพศชายเป็นอันมาก
เมื่อสิ่งที่เป็นความเชื่อในสิ่งที่เหนือธรรมชาติ หรือไร้เหตุผลในการอธิบายที่เรียกว่า
ไสย์ ลดน้อยลงไป เนื่องจากการแทนที่ด้วยวิธีคิดในเชิงของเหตุผล
พระพุทธศาสนาก็เช่นเดียวกันเป็นเรื่องของเหตุผล ระหว่าง
เหตุของปัญหาหรือต้นตอของปัญหา และการแก้ไขปัญหาหรือดับทุกข์ ที่เรียกว่า อริยสัจ4
คือทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ตั้งแต่สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น
ที่ทำให้เกิดสำนึกว่า ไสย เป็นรองพุทธ
ทั้งที่แต่เดิมความเชื่อทั้งสองดำรงอยู่ด้วยกัน
เนื่องจากในอดีต
เมื่อชุมชนหมู่บ้านมีความสัมพันธ์กับสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
ผู้หญิงถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญและผู้นำในทางพิธีกรรม การติดต่อกับสิ่งที่เหนือธรรมชาติ
ผู้หญิงเป็นทั้งคนทรง ม้าทรง ม้าขี้
เค้าผี หรือผู้สืบผีประจำตระกูล เป็นผู้ฟ้อนรำผีฟ้า เป็นหมอตำแย
หรือหมออื่นๆที่ต้องใช้พิธีกรรมในการรักษาพยาบาล
ดังนั้นบทบาทของผู้ชายและผู้หญิงจึงมีความเท่าเทียมกัน ในแง่ที่ว่า ผู้หญิงกราบตีนพระ ส่วนผู้ชายก็ต้องกราบผู้หญิงในฐานะร่างทรงเหมือนกัน
(ปรานี วงษ์เทศ:2549) ความเชื่อเรื่องไสย
มีอยู่ทั่วไปในดินแดนสุวรรณภูมิ
ซึ่งศาสนาผู้นับถือผีเป็นที่แพร่หลายในหมู่ชาวนาชาวไร่
ชาวชนบทหรือกลุ่มชาติพันธุ์ต่างๆ แม้ว่าสายตาของคนเมือง
หรือส่วนกลางจะมองว่าเป็นเรื่องงมงาย ไร้เหตุผล
หลอกลวงหรือเป็นพิธีกรรมของพวกพ่อมด หมอผี
ก็ตาม แต่คนส่วนใหญ่ในสังคมชาวไร่ชาวนาก็ยังนับถือคู่กับพุทธอยู่ตลอดเวลา
บทบาทของผู้หญิงในฐานะผู้ผลิต
ผู้บริโภค ผู้อนุรักษ์ และผลิตซ้ำความหลากหลายทางชีวภาพในทางการเกษตร เพราะผู้หญิงเป็นผู้ปกป้องเมล็ดพันธุ์พืชมาหลายพันปี
(Seed Custodians)
โดยเฉพาะในอินเดีย
ผู้หญิงชนบทเป็นผู้มีบทบาทและองค์ความรู้ในการดูแลปศุสัตว์มาช้านาน
รวมถึงเรื่องของการเพาะปลูก ซึ่งผู้หญิงจะมีความรู้เรื่องภูมิอากาศ ฤดูกาล สภาพอากาศ ปัจจัยทางภูมิศาสตร์ และดิน รวมถึงเรื่องของการคัดเลือกเมล็ดพันธ์
การให้น้ำ การดูแลรักษาโรค ศัตรูพืช การพรวนดิน การตัดแต่งกิ่ง
ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวและการแปรรูปผลิตภัณฑ์
ดังนั้นความหลากหลายทางชีวภาพจึงเป็นพื้นฐานทางการเมืองของสตรีและเชิงนิเวศด้วย
เมื่อเรื่องการเมืองของผู้หญิงก็เป็นเรื่องของความหลากหลายทางชีวภาพของธรรมชาติ ซึ่งแตกต่างจากแนวคิดแบบปิตุลาธิปไตย (Patriarchy) ที่ใช้บรรทัดฐานของผู้ชายในการกำหนดคุณค่าของสิ่งต่างๆ
การทำลายความแตกต่างหลากหลายท่ามกลางความเป็นหนึ่งเดียวและให้ความสำคัญกับลำดับชั้น(Hierachy)ทำให้ผู้หญิงตกอยู่ในสภาวะที่ต้อยต่ำและถูกกีดกันออกจากกระบวนการพัฒนาและการตัดสินใจในทางการเมือง
เศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม
ความคิดเกี่ยวกับผู้หญิงในสุวรรณภูมิ
ปรากฏในนิทานปรัมปรา
หรือภาพเขียนเกี่ยวกับผู้หญิงในภูมิภาคนี้ จะเน้นลักษณะของความเป็นแม่
ผู้ให้กำเนิดชีวิต สัญลักษณ์ของความอุดมสมบูรณ์ หรือเป็นผู้ที่มีอำนาจ
หรือเป็นผู้ที่มีอำนาจศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติหรือผู้นำพิธี
เช่นความเชื่อเรื่องพระแม่โพสพหรือแม่ธรณีของกลุ่มชาติพันธุ์ไท-ลาว
การเปลี่ยนแปลงบทบาทและหน้าที่ของผู้หญิงในปัจจุบัน
กับความเจริญก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ศาสนาสมัยใหม่ รวมทั้งค่านิยมสมัยใหม่ของโลกตะวันตก
ภายแนวความคิดเรื่องชายเป็นใหญ่ ลัทธิล่าอาณานิคม
รวมถึงกระแสการเรียกร้องของสตรีในการขอมีสิทธิเท่าเทียมกับผู้ชาย
และพัฒนาความสามารถให้ทัดเทียมกับผู้ชาย
รวมถึงการขอให้เปิดพื้นที่ของผู้ชายให้ผู้หญิงเข้ามามีบทบาทและใช้พื้นที่มากขึ้น เช่นในทางการเมือง
การปกครอง หรือเศรษฐกิจ
ทำให้ความเชื่อและพิธีกรรมที่ผู้นำหรือมีส่วนร่วมในพิธีกรรมส่วนใหญ่ที่เป็นผู้หญิงในประเพณีพิธีกรรมดั้งเดิมของอุษาคเนย์
เช่น การนับถือผีปู่ย่า ผีฟ้า เจ้าแม่นางเทียม
หรือผีนัต การนับถือผีมดผีเม็ง โนรา โรงครูทางภาคใต้ของไทย เป็นต้น
ดังบันทึกที่ปรากฏในนิทานปรัมปราในภูมิภาคนี้ เช่น นางใบมะพร้าว พระทองนางนาค
ที่เกี่ยวกับหญิงพื้นเมืองและนางพญาของอาณาจักรฟูนัน (อ้างจากปรานี วงษ์เทศ : 2549)
หรือตำนานนางเลือดขาวของภาคใต้ที่ถูกยกให้เป็นแม่อยู่หัวเลือดขาว ที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นแทนตัวนางไว้ที่สทิงพระ
จังหวัดสงขลา และมีพิธีกรรมเฉลิมฉลองพระพุทธรูปทุกปี
ที่สะท้อนให้เห็นความสำคัญของผู้หญิงในภาคใต้ ที่เป็นเจ้าของที่ดิน
ผู้รับมรดกที่ดินผ่านทางสายแม่ ฐานะของผู้หญิงจึงมีเกียรติและมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบต่อวงศ์ตระกูล โดยเฉพาะการจัดการทรัพยากร
ควบคุมปริมาณและกำหนดชนิดของสัตว์น้ำที่จะจับ รวมทั้งการดูแลรายรับรายจ่าย
เศรษฐกิจของครอบครัว และรักษาสายสัมพันธ์ทางเครือญาติ
ลาวท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
ลาวท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง
ภาพแม่ยิงลาวในอดีต ที่บ้านชาวบ้านสามัญชน |
การรณรงค์ต่อต้านการค้ามนุษย์ในลาว โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก |
สื่อสมัยใหม่ในลาวที่ไม่ใช่สื่อทหาร |
วนิตยสารไอ้หนุ่มลาว |
นิตยาสารขวัญใจ สำหรับวัยรุ่นลาว |
เงินกีบลาว |
สแตมป์แสดงให้เห็นความหลากหลายของกลุ่มชาติพันธืในลาว |
แม่ยิงลาวชั้นสูงในวัง |
ธุรกิจหาคู่ หาสามีฝรั่ง |
สแตมป์ชาติพันธุ์ลาว |
ปฎิทินเบียร์ลาว |
นิตยสารวัยรุ่น |
ผู้ยิงลาวกับการทอผ้า |
สิ่งที่น่าสนใจก็คือ
การควบคุมดูแลศาสนาพื้นเมืองของผู้หญิง
ที่ตรงกันข้ามกับผู้ชายที่นับถือศาสนาที่มาจากภายนอก ผู้ชายจึงต้องการศาสนาใหม่
ที่จะช่วยให้มีสถานภาพสูงกว่าสถานภาพเดิมในความเชื่อทางประเพณี ศาสนาใหม่จึงถูกควบคุมด้วยผู้ชาย
แตกต่างจากศาสนาผู้หญิงที่มีคำสอนว่าผู้หญิงมีสถานะต่ำกว่าชายและมีมลทิน
แต่ก็สามารถผ่านการเชื่อมโยงกับพระพุทธศาสนาได้ ด้วยความเป็นแม่และการทำบุญ
อีกทั้งยังเป็นพื้นที่ในการเรียนรู้หนังสือตัวอักษรของผู้หญิงซึ่งแม้ไม่ไดบวชในพระพุทธสาสนาแต่ก็สามารถท่องบทสวดมนต์ได้
ความเชื่อเรื่องปู่แสะย่าแสะในหลวงพระบาง ผีบรรพบุรุษฝ่ายชายและฝ่ายหญิง |
ข้อหามหรือคำเตือนเกียวกับการมีความสัมพันธ์ทางเพศกับผู้หญิงลาวที่แต่งงานแล้ว |
กลุ่มชาติพันธืในลาวมีเยอะมาก ซึ่งแบ่งเป็นกลุ่มลาวลุ่ม ลาวเทิง ลาวสูง กว่า 100 ชาติพันธุ์ |
นโยบายด้านสุขภาพ เช่นยาเสพติดของลาวทีสนับสนุนโดยอเมริกา |
ภาพบนผนังวัด เกี่ยวกับความสามัคคีความเป็นปึกแผ่นของชนชาติลาว |
นิตยสารสาวลาว |
วารสารแม่ยิงลาว |
กระบวนการค้ามนุษย์การทำให้ร่างกายเป็นสินค้า
เหตุการณ์ผู้หญิงอินเดียสูญหายจำนวนนับล้านคน
จากการสำรวจสำมะโนประชากร อันเนื่องมาจากเหตุผลสำคัญต่างๆ เช่น การทำแท้ง
การฆ่าทารกแต่กำเนิดเมื่อรู้ว่าลูกเป็นผู้หญิง หรือการทอดทิ้งลูกผู้หญิงให้อดตาย
ตัวเลขของผู้หญิงเอเชียใต้ที่สูญหายในราว 72 ล้านคน จึงน่าตกใจเป็นอย่างยิ่ง หรือกรณีของประเทศจีน
ที่พยายามสร้างนโยบายการมีลูกคนเดียว (One Child Policy) ในปี ค.ศ. 1979
เพื่อลดปัญหาจำนวนประชากร ไม่ให้ล้นประเทศ ได้ทำให้ความสมดุลระหว่างเพศสูญหายไป
เมื่อครอบครัวจีน ส่วนใหญ่ต้องการมีลูกชายมากกว่าลูกสาว เพราะระบบสังคม
มีความเชื่อว่าการมีบุตรชายแห่งมังกรดีกว่าการมีลูกผู้หญิง
ที่เหมือนมีส้วมอยู่หน้าบ้าน ทำให้เมื่อมีการนำนโยบายนี้มาใช้ 10 ปี
การฆ่าลูกผู้หญิงก็ยังคงดำรงอยู่อย่างรุนแรงมากขึ้น และส่งผลมาถึงปัจจุบัน
ที่มีปรากฏการณ์พ่อแม่ที่มีลูกชายประกาศหาลูกสะใภ้หรือหาคู่ให้ลูกชายของตนเอง
เพื่อสืบสกุล เนื่องจากเกิดปัญหาขาดแคลนเพศหญิง
ในหลายประเทศของเอเชีย
การมีลูกผู้หญิงถือว่ามีค่าน้อยมาก
โดยเฉพาะประเทศที่ยากจนและด้อยพัฒนาในแถบเอเชียใต้ ที่การปฏิบัติต่อลูกผู้หญิง
มีความแตกต่างจากลูกผู้ชาย ทั้งการเลี้ยงอาหาร การดูแลยามเจ็บป่วย
รวมถึงการส่งเสียเลี้ยงดูด้านการศึกษา จากตัวเลขทางสถิติ ประเทศปากีสถาน
ผู้หญิงที่รู้หนังสือมีจำนวนเพียง 23 เปอร์เซ็นต์
ซึ่งแตกต่างจากเพศชายมีจำนวนมากกว่า 49 เปอร์เซ็นต์ และในกลุ่มอายุ 1-4 ขวบ
อัตราส่วนการเสียชีวิตของเด็กผู้หญิงสูงกว่าเด็กผู้ชาย ประมาณ12 เปอร์เซ็นต์
คนเอเชีย เชื่อถือว่า เด็กและหญิง
เป็นคนครอบครัวมาช้านาน
แม้ว่าโครงสร้างกฎหมายของหลายๆประเทศยอมรับสิทธิของคนกลุ่มน้อย คนวรรณะต่ำและสตรี
แต่ในความเป็นจริงแล้ว อุดมคติหรือแบบแผนทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับผู้หญิงที่ฝังรากลึกในสังคม
ตัวอย่างเช่นจีน ภายหลังชัยชนะของพรรคคอมมิวนิสต์เมื่อปี ค.ศ. 1949
แม้ว่าจีนจะจำกัดการกดขี่ ความไม่เสมอภาคทางเพศ
การมีภรรยามากกว่า 1 คน การขายบริการทางเพศและการค้าหญิง
แม้ว่านโยบายโฆษณาชวนชื่อดังกล่าวจะดูดี แต่ในทางปฏิบัติแล้วไม่เป็นเช่นนั้น
การค้าเด็กผู้หญิงในตลาดเสรีก็เพิ่มมากขึ้น
เมื่อจีนมีนโยบายผ่อนคลายมาตรการควบคุมทางเศรษฐกิจเมื่อปลายปี 1970
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าผู้หญิงได้รับการปฏิบัติเหมือนทรัพย์สมบัติ
และต้องพึ่งพาผู้ชายทั้งทางรายได้และทางสังคม อีกทั้งมีโอกาสน้อยมากในการเลือกทางเดินชีวิตภายนอกขอบเขตของบ้าน
สังคมบีบบังคับให้ผู้หญิงยอมรับสภาพทางสังคมของตนเอง และธรรมชาติทางเพศของตนเอง สำหรับผู้หญิง การแต่งงานของผู้หญิง
กลายเป็นช่องทางนำไปสู่การทำมาหากิน และการเพิ่มสถานภาพทางสังคม
ในพื้นที่หลายแห่งที่ด้อยการพัฒนาในเอเชีย เช่น เนปาล
ผู้หญิงไม่มีสิทธิในทรัพย์สินพื้นฐานและมรดก
หรือแม้แต่จะมีสิทธิทำงานแบบมีเงินเดือน
ซึ่งแตกต่างจากผู้หญิงในประเทศที่พัฒนาแล้ว มีโอกาสที่จะทำงานดีๆข้างนอกบ้าน
และได้รับค่าตอบแทนดี
ในประเทศไทย บุตรสาวเป็นผู้ถูกกำหนดให้ดูแลบ้าน
เช่นเดียวกับประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
พ่อแม่คาดว่าว่าเด็กจะต้องตอบแทนคุณ ผ่านแนวคิดเรื่อง “ค่าน้ำนม” หรือ “ค่าสินสอด” เช่น ที่ฟิลิปินส์
เด็กผู้หญิงมีความรับผิดชอบต่อการชดใช้หนี้บุญคุณ แก่พ่อแม่ ที่จีน
เด็กเป็นหนี้บุญคุณพ่อแม่ที่ให้ชีวิตแก่พวกเขา
ความรับผิดชอบและความสำนึกในหน้าที่ของตัวเองถือว่าเป็นสิ่งสำคัญ ในสังคมไทยเรียกว่า
“ความกตัญญู”
ซึ่งต้องตอบแทนด้วยการเลี้ยงดูพ่อแม่
ด้วยการให้เงินจุนเจือครอบครัว
หรือเป็นค่าใช้จ่ายในการประกอบกิจกรรมด้านการเกษตร ตัวอย่างเช่น บางชุมชนในไต้หวัน
มีทัศนคติให้อภัยกับหญิงสาวที่ให้ความช่วยครอบครัวด้านการเงิน
แม้ว่าเงินเหล่านี้จะได้รับจากการค้าประเวณีก็ตาม ดังนั้น สถานภาพของผู้หญิงจึงสัมพันธ์กับผู้ชาย คือถ้าไม่เป็นของชายคนใดคนหนึ่ง
ก็เป็นของชายทุกคนที่เรียกว่าโสเภณี
แต่การแต่งงานไม่ใช่ข้อผูกมัดระหว่างคนสองคน
เพศชายกับเพศหญิง แต่เป็นการผูกมัดทาง เศรษฐกิจสังคมระหว่างครอบครัว ระบบเครือญาติ
ของทั้งฝ่ายชายและฝ่ายหญิง
ดังนั้นความบริสุทธิ์ของผู้หญิงจึงมีค่ามีความสำคัญ
ดังเราจะเห็นคำกล่าวที่ว่า อย่าชิงสุกก่อนห่าม รักนวลสงวนตัว
ต้องมีความเป็นกุลสตรี
ในสังคมเกาหลีความบริสุทธิ์ของสาวพรหมจารีเป็นสิ่งที่มีความสำคัญในระบบค่านิยมของชาวเอเชีย ดังสุภาษิตเกาหลีที่ว่า “พรหมจรรย์ของผู้หญิงมีค่าเท่าชีวิต”
ซึ่งคล้ายกับความคิดของชนชั้นกลางในอังกฤษสมัยวิกตอเรียที่จำแนกความสวยความงาม
ความดี ความเลว ผู้หญิงดี กับผู้หญิงเลว ซึ่งทำให้ผู้ชายใช้ตราหน้าผู้หญิงได้ว่าเป็นผู้หญิงไม่ดีหรือโสเภณี
รวมทั้งใช้ควบคุมผู้หญิงในสังคม หญิงเลวก็คือผู้หญิงที่อยู่นอกระบบครอบครัว
ผู้ชายไม่ว่าใครก็สามารถครอบครอง หรือใช้เธอได้
ในกรณีของผู้หญิงที่มีพรหมจรรย์ย่อมไม่สามารถเรียกกลับคืนมาได้ การสูญเสียพรหมจรรย์จากการแต่งงาน
เป็นสัญลักษณ์ของการมีเจ้าของ
แต่การสูญเสียพรหมจรรย์นอกการสมรสกลายเป็นพฤติกรรมนอกรีต ได้รับการติเตียนหรือรังเกียจจากคนอื่นในสังคม
ดังนั้นการครอบงำความคิด
เกี่ยวกับเรื่องพรหมจรรย์ ศักดิ์ศรี และตำแหน่ง
ภายในระดับชั้นทางอำนาจของผู้ชายอย่างแยกไม่ออก ความประพฤติของผู้หญิง ความสามารถของครอบครัวในการปกป้องดูแลเธอ
ความสามารถของตัวเธอเองที่จะแต่งงานแบบมีหน้ามีตา
ซึ่งเป็นปัจจัยบ่งชี้กำหนดสถานภาพของครอบครัวและอำนาจของผู้ชาย
ตัวอย่างเช่นในประเทศปากีสถาน
เกียรติของผู้ชายและครอบครัวของเขาจะต้องธำรงไว้อย่างมั่นคง
โดยใช้กระบวนการควบคุมเพศหญิงเป็นฐานสำคัญ
ดังนั้นการฆ่าเด็กผู้หญิงโดยพี่ชายหรือน้องชาย หรือพ่อสังหาร
จึงเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งในปากีสถาน
เมื่อรู้ว่ามีเพศสัมพันธ์หรือลักลอบมีเพศสัมพันธ์โดยมิชอบ ดังเช่น เมื่อปีพ.ศ.
1996 มีจำนวนผู้หญิงที่ถูกสังหารถึง 66 ราย
พรหมจรรย์ จึงถือเป็นสิ่งที่บริสุทธิ์
แต่ถ้าถูกข่มขืน ผู้หญิงเหล่านี้ก็จะกลายเป็นสิ่งมีตำหนิหรือกลายเป็นของเสีย
แม้แต่การถูกข่มขืน ดังเช่นเหตุการณ์ในประเทศบังคลาเทศ ระหว่างการทำสงครามเพื่อแยกตัวออกจากปากีสถานในช่วงปี
ค.ศ.1970 ที่มีรายงานว่า ทหารปากีสถานข่มขืนผู้หญิงและเด็กหญิงชาวบังคลาเทศกว่า
30,000 คน ดังนั้นการข่มขืน กลายเป็นเครื่องมือและยุทธวิธีในการทำสงคราม
เนื่องจากผู้หญิงและสตรีเป็นเกียรติยศแห่งสังคมและสถานภาพของผู้ชาย
การข่มขืนถือเป็นการโจมตีแกนหลักของสังคมบังคลาเทศ
หลังสงครามชาวบังคลาเทศเรียกผู้หญิงเหล่านี้ ว่า บิรังโกนา ซึ่งภายหลังสงครามทางการออกแถลงการณ์ยกย่องพวกเธอว่าเป็นวีรสตรี
แต่ในส่วนตัวก็กลายเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
เมื่อถูกสังคมตราหน้าว่าเป็นผู้หญิงที่ไม่บริสุทธิ์ ครอบครัวบางครอบครัวหันหลังให้ลูกสาว น้องสาว
พี่สาว แม่และภรรยา ที่โดยข่มขืน พวกเธอไม่มีบ้านอยู่ เพราะครอบครัว
รับไม่ได้กับความอับอายที่จะให้ผู้หญิงซึ่งมีมลทินอยู่ภายใต้ชายเดียวกัน
และหลายรายต้องกลายมาเป็นโสเภณี
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น