อากาศเย็นๆวันนี้ ตื่นเช้ามาทำงาน กับภาพที่คุ้นตา ผู้คนไร้บ้านที่นอนเรียงรายตามพื้นที่เกาะกลางถนน สะพานลอยสวนหย่อม พวกเขาคงนอนเอาแรงเพื่อต่อสู้กับชีวิตในวันนี้ และผมก็ยังคงตั้งคำถามกับสิ่งที่เห็นเสมอ ผมนึกถึงหนังสือชื่อ Braving the Street: The Anthropology of Homelessness (1999) โดย Irene Glasser และ Rae Bridgman หนังสือเล่มนี้เป็นการศึกษาที่เจาะลึกถึงปรากฏการณ์ของความไร้บ้าน โดยใช้มุมมองทางมานุษยวิทยาเพื่อทำความเข้าใจความซับซ้อนของชีวิตคนไร้บ้านในหลากหลายบริบท ทั้งในด้านเศรษฐกิจ วัฒนธรรม และสังคม ผู้เขียนเน้นการอธิบายปัจจัยที่ผลักดันคนเข้าสู่ภาวะไร้บ้าน เช่น โครงสร้างทางสังคม ความยากจน นโยบายของรัฐ และความเหลื่อมล้ำเชิงระบบ ดังเช่นประโยคในหนังสือที่น่าสนใจเช่น
“Homelessness is not just the absence of a home but also the absence of a social identity recognized as valid by society.” (ความไร้บ้านไม่ใช่เพียงการขาดที่อยู่อาศัย แต่คือการขาดอัตลักษณ์ทางสังคมที่ได้รับการยอมรับจากสังคม)
“Public spaces are increasingly privatized, leaving little room for those who do not fit into the image of an ‘ideal citizen.’”(พื้นที่สาธารณะถูกแปรสภาพเป็นพื้นที่ส่วนบุคคลมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ที่ไม่สอดคล้องกับภาพลักษณ์ของ ‘พลเมืองในอุดมคติ’ ไม่มีที่ยืน)
“Despite being marginalized, homeless people exhibit remarkable resilience and creativity in navigating their everyday lives.” (แม้จะถูกกีดกัน แต่คนไร้บ้านแสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นและความคิดสร้างสรรค์ที่น่าทึ่งในการจัดการชีวิตประจำวัน)
นอกจากนี้ในหนังสือยังให้ความสำคัญกับวิธีที่คนไร้บ้านปรับตัวและสร้างพื้นที่ของตนเอง รวมถึงการจัดการกับปัญหาในชีวิตประจำวัน เช่น การหาที่พัก อาหาร และการเผชิญหน้ากับการเลือกปฏิบัติจากสังคม
แนวคิดสำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ
1. โครงสร้างเชิงระบบ (Structural Factors)
Irene Glasser และ Rae Bridgman แสดงให้เห็นว่าความไร้บ้านไม่ได้เป็นเพียงปัญหาส่วนบุคคล แต่เกิดจากปัจจัยเชิงโครงสร้าง เช่น นโยบายที่อยู่อาศัยที่ล้มเหลว การเข้าถึงทรัพยากรที่ไม่เท่าเทียม และระบบเศรษฐกิจที่กดทับคนจน ที่สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างคนไร้บ้านและรัฐ (State and Homeless Relations)
คนไร้บ้านต้องเจรจาและต่อรองกับรัฐผ่านระบบสวัสดิการ เช่น การขอความช่วยเหลือจากศูนย์พักพิง หรือการหลีกเลี่ยงการถูกจับกุมโดยเจ้าหน้าที่
2. วัฒนธรรมของคนไร้บ้าน (Homeless Subcultures) Irene Glasser และ Rae Bridgman สำรวจวัฒนธรรมเฉพาะตัวของคนไร้บ้าน เช่น การสร้างเครือข่ายความช่วยเหลือ การแบ่งปันทรัพยากร และการสร้างพื้นที่ส่วนตัวในพื้นที่สาธารณะ ที่ทำให้เกิดวัฒนธรรมเฉพาะกลุ่มขิงพวกเขา
3. การปรับตัวและการต่อรอง (Negotiation and Agency) Irene Glasser และ Rae Bridgman ชี้ว่าคนไร้บ้านไม่ใช่เพียงผู้ถูกกระทำ แต่พวกเขาแสดงออกถึงความสามารถในการปรับตัว เจรจาต่อรองกับสังคม และหาวิธีสร้างชีวิตให้ดำเนินไปได้ ที่สะท้อนความยืดหยุ่นและการปรับตัว (Resilience and Adaptation) ผู้เขียนเน้นถึงความคิดสร้างสรรค์และกลยุทธ์ที่คนไร้บ้านใช้เพื่อความอยู่รอดในสถานการณ์ที่ท้าทาย เช่น การสร้างที่พักพิงจากวัสดุเหลือใช้ หรือการใช้ระบบการแลกเปลี่ยนทรัพยากรในกลุ่มคนไร้บ้าน
4. ผลกระทบของการตีตรา (Stigma and Marginalization) Irene Glasser และ Rae Bridgman วิเคราะห์ว่า การตีตราคนไร้บ้านในสังคมส่งผลต่อโอกาสและคุณภาพชีวิตของพวกเขาอย่างไร โดยการตีตราคนไร้บ้านว่า “เกียจคร้าน” หรือ “อันตราย” ทำให้พวกเขาถูกเลือกปฏิบัติและมองว่าเป็น “ภาระของสังคม”
5. การเมืองของพื้นที่ (Politics of Space) Irene Glasser และ Rae Bridgman กล่าวถึงวิธีที่คนไร้บ้านถูกผลักออกจากพื้นที่สาธารณะผ่านนโยบายเมือง เช่น การห้ามนอนในสวนสาธารณะ การขจัดที่พักคนไร้บ้าน และการใช้กลยุทธ์ทางกฎหมายเพื่อ “ทำให้คนไร้บ้านมองไม่เห็น” โดยแนวคิดนี้แสดงให้เห็นว่าพื้นที่ในเมืองถูกควบคุมเพื่อรองรับชนชั้นที่มีอำนาจมากกว่า ขณะที่คนไร้บ้านถูกกีดกันออกจากพื้นที่ที่พวกเขาต้องพึ่งพา
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมในหนังสือที่น่าสนใจเช่น
1. การใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะ
หนังสือยกตัวอย่างว่าคนไร้บ้านใช้พื้นที่อย่างสวนสาธารณะ สถานีรถไฟ หรืออาคารร้างเป็นสถานที่หลบภัย รวมถึงวิธีที่พวกเขาปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงการถูกขับไล่จากเจ้าหน้าที่
2. กลยุทธ์การเอาตัวรอด อาทิเช่น การหาอาหารจากโรงทาน การทำงานชั่วคราว เช่น การเก็บของเก่าหรือการเล่นดนตรีข้างถนน การพึ่งพาศูนย์พักพิงที่จัดโดยองค์กรการกุศล
3. ตัวอย่างในระดับนโยบาย
หนังสือกล่าวถึงนโยบายที่เกี่ยวข้องกับคนไร้บ้าน เช่น การจัดหาโครงการบ้านพักชั่วคราว แต่ชี้ให้เห็นว่านโยบายเหล่านี้มักไม่ได้แก้ปัญหาเชิงลึกให้กับคนไร้บ้าน
4. ความสัมพันธ์ระหว่างคนไร้บ้าน
การสร้างชุมชนเล็กๆ ในกลุ่มคนไร้บ้านเพื่อช่วยเหลือกัน เช่น การแบ่งปันทรัพยากรหรือการปกป้องกันจากความรุนแรงในพื้นที่สาธารณะ
ความน่าสนใจของ หนังสือ Braving the Street ช่วยเปิดมุมมองใหม่เกี่ยวกับความไร้บ้าน โดยไม่ได้มองพวกเขาในฐานะ “เหยื่อ” อย่างเดียว แต่เป็นกลุ่มคนที่มีความซับซ้อน มีวัฒนธรรมเฉพาะ และพยายามต่อรองกับความไม่เท่าเทียมในสังคม ผู้เขียนยังเชื่อมโยงความไร้บ้านกับบริบททางวัฒนธรรมและเศรษฐกิจ ทำให้เราเห็นภาพรวมของปัญหานี้ในมิติต่างๆ
Braving the Street จึงเป็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ช่วยให้เราเข้าใจถึงความซับซ้อนของปัญหาความไร้บ้าน ทั้งในระดับปัจเจกและโครงสร้างสังคม โดยเน้นว่าความไร้บ้านไม่ใช่ปัญหาที่เกิดจากบุคคลเพียงอย่างเดียว แต่เป็นผลพวงของความไม่เท่าเทียมทางเศรษฐกิจและสังคมในระดับมหภาค ผู้เขียนยังแสดงให้เห็นถึงศักยภาพและความยืดหยุ่นของคนไร้บ้านในการเผชิญกับความท้าทาย ทำให้ผู้อ่านมองปัญหานี้อย่างมีมนุษยธรรมมากขึ้น
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น