ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

โลกสองใบ การนอกใจและความเป็นชู้ กับมุมมองทางมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ลองตั้งคำถามและประเด็น …ที่น่าสนใจจากปรากกฏการณ์ทางสังคม การสร้าง “โลกสองใบ” ในบริบทความสัมพันธ์ยุคใหม่ กับสิ่งที่เรียกว่า “ความลับในความสัมพันธ์” โดยเฉพาะการสร้างโลกคู่ขนานเพื่อซ่อนการนอกใจ โดยวิเคราะห์ผ่านมุมมองทางจิตวิทยาเบื้องหลังการสร้าง “โลกสองใบ” รวมถึงวิธีที่บุคคลปรับตัวและสร้างเรื่องราวให้คนรอบข้างเชื่อ ภายใต้การโกหกและการสร้างชีวิตคู่ขนาน ทำไมมนุษย์ถึงนอกใจ ปัจจัยทางจิตวิทยาและชีววิทยา มีผลไหม เช่น การตอบสนองต่อแรงกระตุ้น การค้นหาความรักนอกกรอบเดิม และผลกระทบของการนอกใจในเชิงสังคม การนอกใจและการเป็นชู้ในสังคมต่าง ๆ ถูกตีความและจัดการอย่างไร ความหมายของการทรยศในความสัมพันธ์ ไม่เพียงแต่ในฐานะการทำลายความไว้วางใจ แต่ยังเป็นสัญญาณของความซับซ้อนในความต้องการของมนุษย์ เช่น การแสวงหาความตื่นเต้นหรือความเปลี่ยนแปลง มุมมองของการนอกใจในฐานะการแสวงหาอิสรภาพทางอารมณ์ในกลุ่มผู้ชาย ผู้หญิงและเพศอื่นๆ ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ Infidelity: Why Men and Women Cheat ของ Kenneth Paul Rosenberg ได้นำเสนอการสำรวจเชิงลึกเกี่ยวกับ การนอกใจ ในความสัมพันธ์ผ่านมุมมองทางจิตวิทยา ชีววิทยา และสังคมวิทยา โดยผู้เขียนใช้ประสบการณ์ของเขาในฐานะจิตแพทย์ที่ศึกษาเรื่องความรักและความสัมพันธ์ รวมถึงการสัมภาษณ์ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการนอกใจ แนวคิดสำคัญที่เขาใช้คือมุมมองทางชีววิทยาและวิวัฒนาการมาวิเคราะห์เรื่องนี้ โดยมองว่า ความนอกใจเป็นพฤติกรรมที่มีรากฐานทางชีววิทยา มนุษย์มีแรงกระตุ้นบางอย่างที่เชื่อมโยงกับการแสวงหาพันธมิตรเพิ่มเติมเพื่อความอยู่รอดและการสืบพันธุ์ฃ ตัวอย่างเช่น การศึกษาวิจัยที่พบว่าฮอร์โมนอย่าง โดปามีน มีส่วนเกี่ยวข้องกับการแสวงหาความตื่นเต้นและความพึงพอใจ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางคนเลือกนอกใจ มุมมองจิตวิทยาและอารมณ์ ที่วิเคราะห์ว่าการนอกใจมักเกิดจากความรู้สึกขาดแคลนในความสัมพันธ์ เช่น ความใกล้ชิดลดลง ความรู้สึกไม่ได้รับการยอมรับ หรือการขาดความตื่นเต้น ตัวอย่างเช่น คู่รักที่แต่งงานมานานและรู้สึกว่า “ความรักหมดไป” หรือความรักจืดจางลงไป อาจหันไปมีความสัมพันธ์นอกใจเพื่อเติมเต็มอารมณ์ที่ขาดหายฃ มุมมองเชิงวัฒนธรรมและสังคมที่วิเคระห์ว่าวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่อการรับรู้และการกระทำเรื่องนอกใจ เช่น ในบางวัฒนธรรม การนอกใจอาจถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ในขณะที่บางวัฒนธรรมอาจมองว่าเป็นเรื่องธรรมดา ตัวอย่างเช่น ในประเทศที่มีความเท่าเทียมทางเพศสูง อัตราการนอกใจในผู้หญิงเพิ่มขึ้นเพราะพวกเธอมีอิสระและการเข้าถึงความสัมพันธ์ทางเลือกมากขึ้น บทบาทของเทคโนโลยีที่เพิ่มาากขึ้นในชีวิต ประจำวัน เช่น เทคโนโลยี เช่น โซเชียลมีเดียและแอปพลิเคชันหาคู่ ทำให้การนอกใจเกิดขึ้นง่ายขึ้น โดยการสร้างโอกาสในการพบปะหรือเชื่อมต่อกับผู้อื่น ตัวอย่างเช่น การนอกใจผ่านแอปพลิเคชันหาคู่ เช่น Tinder หรือการพูดคุยในโซเชียลมีเดียที่เริ่มต้นจากความ “เป็นมิตร”ไปสู่การพัฒนาความสัมพันธ์แบบอื่นๆ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือ Rosenberg ใข้อเรื่องราวจากการสัมภาษณ์ผู้ที่นอกใจ โดย ยกตัวอย่างของชายคนหนึ่งที่ประสบความสำเร็จในชีวิตแต่งงานแต่กลับนอกใจภรรยาเพราะรู้สึกว่าชีวิตประจำวันน่าเบื่อและต้องการความตื่นเต้นใหม่ ๆ ชายคนนั้นให้เหตุผลว่าเขาไม่ได้รักภรรยาน้อยลง แต่เขาไม่สามารถต้านทาน “แรงดึงดูด” ของการมีความสัมพันธ์ลับได้ หรือกรณีการนอกใจกับผลกระทบต่อครอบครัว เรื่องราวของหญิงคนหนึ่งที่ค้นพบว่าสามีนอกใจผ่านข้อความในโทรศัพท์ สิ่งนี้นำไปสู่การหย่าร้างและความสัมพันธ์ที่ซับซ้อนกับลูก ๆ ซึ่งต้องจัดการกับผลกระทบทางอารมณ์ รวมทั้งเรื่องของการบำบัดและฟื้นฟูความสัมพันธ์ Rosenberg อธิบายถึงคู่รักที่สามารถฟื้นความสัมพันธ์ได้หลังจากการนอกใจ โดยใช้การบำบัดเพื่อค้นหาสาเหตุของการทรยศ และพัฒนาความเข้าใจและความใกล้ชิดระหว่างกัน Rosenberg ได้ให้แนวทางเข้าใจพฤติกรรมนี้ในเชิงลึกและสร้างการเรียนรู้ในวิธีรับมือกับผลกระทบที่เกิดขึ้น เกี่ยวกับเรื่องการนอกใจนี้ว่า 1. การเข้าใจตัวเองและคู่รัก การแก้ปัญหาการนอกใจต้องเริ่มจากการทำความเข้าใจว่าอะไรเป็นแรงผลักดันพฤติกรรมเหล่านั้น 2. การสื่อสาร ความสัมพันธ์ที่แข็งแรงต้องอาศัยการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความต้องการและความคาดหวัง 3. การฟื้นฟูความไว้วางใจ โดยการให้อภัยและการสร้างความไว้วางใจใหม่เป็นขั้นตอนที่สำคัญสำหรับคู่รักที่ต้องการรักษาความสัมพันธ์ หนังสืออีกเล่มที่น่าสนใจ คือ The State of Affairs: Rethinking Infidelity ของ Esther Perel เล่มนี้ผมชอบเพราะสำรวจการนอกใจจากมุมมองที่หลากหลายและลึกซึ้ง โดยไม่เพียงแต่เน้นไปที่ผลกระทบและการบำบัด แต่ยังทำให้ผู้อ่านเข้าใจถึงความซับซ้อนและเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังการนอกใจในความสัมพันธ์ สาระสำคัญของหนังสือคือการทำให้เราเข้าใจว่าการนอกใจไม่ใช่แค่การทรยศความเชื่อใจ แต่ยังเป็นสัญญาณของความต้องการที่ไม่ได้รับการตอบสนองภายในความสัมพันธ์ แนวคิดสำคัญที่ผู้เขียนใช้ประกอบด้วย 1. การนอกใจเป็นผลจากความไม่พอใจในความสัมพันธ์ โดย Perel เชื่อว่าไม่เพียงแต่ความขาดแคลนความรักหรือความสัมพันธ์ทางเพศที่ทำให้บางคนเลือกนอกใจ แต่บางครั้งความนอกใจเกิดจากการค้นหาความตื่นเต้นหรือความหมายใหม่ในชีวิต ตัวอย่างเช่นคู่รักที่อยู่ในความสัมพันธ์มานานอาจพบว่าความสัมพันธ์เริ่มกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อและขาดความหลากหลายทางอารมณ์ ทำให้บางคนหันไปนอกใจเพื่อค้นหาความเร้าใจและความรู้สึกของการเป็น “ตัวเอง” ใหม่ 2. ความนอกใจเป็นการสื่อสารที่ไม่ได้พูดออกมา โดย Perel มองว่าการนอกใจไม่ใช่เพียงแค่การทรยศความไว้วางใจ แต่เป็นสัญญาณของความต้องการที่ไม่ได้รับการพูดถึงหรือการรับรู้ภายในความสัมพันธ์ตัวอย่างเช่น คู่รักที่ไม่มีการสื่อสารอย่างเปิดเผยเกี่ยวกับความต้องการทางเพศหรืออารมณ์ของกันและกันอาจพบว่าการนอกใจเป็นทางเลือกเพื่อเติมเต็มความต้องการเหล่านั้น 3. การนอกใจและการให้อภัย ในหนังสือ, Perel เน้นถึงความสำคัญของการพูดคุยเปิดเผยและการฟื้นฟูความสัมพันธ์หลังการนอกใจ คู่รักต้องเผชิญหน้ากับความเจ็บปวดและอธิบายเหตุผลที่ทำให้เกิดการนอกใจ เพื่อจะได้เรียนรู้และเติบโตจากประสบการณ์ ตัวอย่างเช่น คู่รักที่ยอมรับและเปิดเผยเหตุผลของการนอกใจและทำงานร่วมกันเพื่อแก้ไขปัญหาทางอารมณ์อาจพบว่าความสัมพันธ์สามารถฟื้นฟูได้ใหม่ โดยการสื่อสารและการทำความเข้าใจที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้น 4. การนอกใจไม่ใช่แค่การกระทำของบุคคลหนึ่ง Perel เน้นว่า การนอกใจไม่ได้เกี่ยวข้องกับแค่พฤติกรรมของบุคคลที่ทำการนอกใจ แต่ยังเกี่ยวข้องกับทั้งระบบความสัมพันธ์ และการมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างคู่รักที่อาจไม่ได้ตอบสนองความต้องการทั้งสองฝ่าย ตัวอย่างเช่น เมื่อคู่รักอยู่ในความสัมพันธ์ที่ไม่ได้ให้พื้นที่สำหรับการแสดงออกหรือการเติบโตทางอารมณ์ของทั้งสองฝ่าย อาจเกิดความรู้สึกที่ไม่พอใจและความต้องการที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม 5. การมองการนอกใจในแง่ของศิลปะและปรัชญา Perel เชื่อว่าในบางกรณีการนอกใจสามารถเป็นส่วนหนึ่งของการแสดงออกในเชิงศิลปะหรือปรัชญาของชีวิต โดยเป็นการแสวงหาความหมายใหม่ ๆ ในโลกที่ซับซ้อน ตัวอย่างเช่น ในกรณีของคู่รักบางคู่ที่พบว่าการนอกใจเป็นการปลดปล่อยจากภาวะอึดอัดที่เกิดจากการผูกมัดในชีวิตประจำวัน และเป็นการแสวงหาความอิสระในตัวเองใหม่ ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือที่น่าสนใจ เช่น 1. เรื่องราวของคู่รักที่นอกใจแต่ไม่ต้องการเลิกรากัน ในหนังสือ, Perel เล่าถึงกรณีของคู่รักที่ทั้งคู่ตกอยู่ในความรู้สึกไม่พอใจในความสัมพันธ์ พวกเขาไม่ได้หย่าร้างหลังจากการนอกใจ แต่กลับพบว่าพวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะสื่อสารกันใหม่และค้นหาความหมายใหม่ในชีวิตคู่ของตน ตัวอย่างเช่น คนสองคนที่ตกหลุมรักกันใหม่หลังจากการนอกใจ ด้วยการเข้าใจถึงความขาดแคลนในความสัมพันธ์และยอมรับว่าในบางครั้งการนอกใจอาจเป็นสัญญาณของการต้องการความเชื่อมโยงที่แท้จริงและลึกซึ้งยิ่งขึ้น 2. คู่รักที่ยอมรับการนอกใจและใช้มันเป็นโอกาสในการพัฒนาความสัมพันธ์ อีกตัวอย่างหนึ่งคือคู่รักที่ใช้ประสบการณ์การนอกใจเพื่อเข้าใจถึงความต้องการทางอารมณ์ที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม การสื่อสารที่เปิดเผยทำให้พวกเขาสามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นหลังจากการนอกใจ ตัวอย่างเช่น หลังจากการนอกใจ พวกเขาตัดสินใจที่จะแก้ไขปัญหาด้วยการพูดคุยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความต้องการที่ยังไม่ได้รับการตอบสนองในความสัมพันธ์ สิ่งเหล่านี้ท้าทายมุมมองเดิม ๆ เกี่ยวกับการนอกใจและความซื่อสัตย์ในความสัมพันธ์ มันเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้สำรวจทั้งเหตุผลและความซับซ้อนของการนอกใจในโลกยุคใหม่ พร้อมทั้งเสนอวิธีการฟื้นฟูความสัมพันธ์ผ่านการสื่อสารและการเข้าใจความต้องการที่ไม่ได้รับการเติมเต็ม รวมถึงการทำความเข้าใจเกี่ยวกับพฤติกรรมการนอกใจและมองหาวิธีการสร้างความสัมพันธ์ที่แข็งแรงและยั่งยืน จริงๆยังมีประเด็นให้ถกเถียงเยอะมาก ยังไม่ได้พูดถึงความ เป็นเพศ วิธีคิดแบบชายเป็นใหญ่ ประเด็นทางศีลธรรม ในประเด็นเรื้ิองการนอกใจและอื่นๆ ที่น่าจะทำให้เราเข้าใจ และถกเถียงเรื่องนี้ได้มากๆในสังคมปัจจุบัน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...