หนังสือ “The Order of Things: An Archaeology of the Human Sciences ของ Michel Foucault โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
“The Order of Things: An Archaeology of the Human Sciences” (ต้นฉบับภาษาฝรั่งเศส: Les Mots et les Choses) โดย Michel Foucault เป็นหนึ่งในงานเขียนที่สำคัญและซับซ้อนที่สุดของเขา ซึ่งเน้นการสำรวจว่าความรู้และความเข้าใจเกี่ยวกับมนุษย์ได้ถูกสร้างขึ้นและเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรในประวัติศาสตร์หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ครั้งแรก ค.ศ. 1966 ประเด็นสำคัญที่Foucault ชี้ให้เห็นคือ การเปลี่ยนแปลงของกรอบความคิด (episteme) ที่กำหนดวิธีการมองโลกและมนุษย์ในแต่ละยุค เป้าหมายในงายชิ้นนี้คือ วิเคราะห์ประวัติศาสตร์ของ “วิทยาศาสตร์มนุษย์” (human sciences) เช่น ชีววิทยา เศรษฐศาสตร์ และภาษาศาสตร์ โดยไม่ใช่การเล่าเรื่องเชิงเส้น แต่เป็นการเปิดเผย “ระเบียบ” หรือ “โครงสร้าง” ของความคิดในแต่ละช่วงเวลา
แนวคิดสำคัญที่ Foucault นำเสนอคือ
1. Episteme (กรอบความคิด) โดย Foucault ใช้คำนี้เพื่ออธิบายระบบความรู้และความเชื่อที่เป็นตัวกำหนดว่ามนุษย์ในยุคหนึ่ง ๆ มองเห็นความเป็นจริงและสร้างความรู้เกี่ยวกับโลกอย่างไร ตัวอย่างเช่น กรอบความคิดในยุคกลางถูกครอบงำด้วยมุมมองทางศาสนา แต่ในยุคสมัยใหม่ ความรู้เริ่มเน้นไปที่วิทยาศาสตร์และเหตุผล
Episteme และการเปลี่ยนแปลงของความรู้
ในมุมมองของ Foucault ที่สะท้อนว่าการขยายพรมแดนของความรู้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะมนุษย์ “ค้นพบความจริง” ที่ซ่อนอยู่ แต่เกิดจาก การเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างของกรอบความคิด (episteme) ตัวอย่างเช่น ในยุคเรเนซองส์ ความรู้ถูกขับเคลื่อนโดยความเชื่อเกี่ยวกับสัญลักษณ์และความคล้ายคลึง (resemblance) เช่น การมองธรรมชาติว่าเชื่อมโยงกับพระเจ้า แต่ในยุคสมัยใหม่ ความรู้ถูกขยายด้วยวิทยาศาสตร์ที่ใช้วิธีเชิงเหตุผลและการทดลอง เช่น การกำเนิดชีววิทยาสมัยใหม่ที่มองมนุษย์ในเชิงวัตถุ
2. ความเปลี่ยนแปลงของระเบียบความรู้
Foucault แบ่งการเปลี่ยนแปลงทางความคิดในประวัติศาสตร์ออกเป็น 3 ยุคหลัก คือ ยุคเรเนซองส์โลกถูกมองว่าเป็นระบบของการคล้ายคลึง (resemblances) เช่น 1.การเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติและมนุษย์ด้วยสัญลักษณ์ 2. ยุคคลาสสิก (ศตวรรษที่ 17-18) เกิดความสนใจในการจัดหมวดหมู่ความรู้ มุ่งเน้นตรรกะและการจัดระเบียบ เช่น ระบบแท็กซอนโนมีในชีววิทยา และ3. ยุคสมัยใหม่ (Modern Age) มนุษย์กลายเป็นศูนย์กลางของความรู้ (anthropocentrism) และความคิดเกี่ยวกับมนุษย์ถูกหล่อหลอมด้วยวิทยาศาสตร์ เช่น ชีววิทยา เศรษฐศาสตร์ และจิตวิทยา
3. การวิพากษ์ความเป็นมนุษย์ (Critique of Humanism) โดย Foucault ชี้ให้เห็นว่าแนวคิด “มนุษย์” ในฐานะศูนย์กลางของโลกและความรู้ไม่ใช่สิ่งที่ “ธรรมชาติ” แต่เป็นสิ่งที่สร้างขึ้นและสามารถหายไปได้ (ในตอนท้ายของหนังสือ เขากล่าวว่า “มนุษย์เป็นเพียงภาพวาดบนผืนทรายที่อาจถูกลบได้”)
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่สามารถเชื่อมโยงกับแนวคิดคือ
1. ชีววิทยาและการจัดหมวดหมู่ของ Linnaeus ในยุคคลาสสิก นักวิทยาศาสตร์อย่าง Carl Linnaeus ได้พัฒนาระบบแท็กซอนโนมีที่จัดระเบียบพืชและสัตว์ สิ่งนี้แสดงถึง “ระเบียบของสิ่งต่าง ๆ” ที่สะท้อนถึง episteme ในยุคนั้น ซึ่งเน้นการจัดหมวดหมู่ความรู้เพื่อทำความเข้าใจธรรมชาติ
2. การเปลี่ยนแปลงในเศรษฐศาสตร์ ในยุคสมัยใหม่ เศรษฐศาสตร์กลายเป็นวิทยาศาสตร์มนุษย์ที่มุ่งศึกษา “มนุษย์เศรษฐกิจ” (homo economicus) เช่น แนวคิดของ Adam Smith ที่เน้นมนุษย์ในฐานะผู้แสวงหาประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แสดงถึงวิธีที่มนุษย์ถูกสร้างความหมายผ่านวิทยาศาสตร์
3. การศึกษาภาษาศาสตร์ Foucault ชี้ให้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงในวิธีการมองภาษา ในยุคเรเนซองส์ ภาษาเชื่อมโยงกับสัญลักษณ์ทางศาสนา แต่ในยุคสมัยใหม่ ภาษาเริ่มถูกศึกษาผ่านโครงสร้างและความหมาย (structural linguistics) เช่น งานของ Ferdinand de Saussure
การเชื่อมโยง “The Order of Things” ของ Michel Foucault กับประเด็นเรื่อง การขยายพรมแดนของความรู้ และ การลดความไม่รู้ สามารถวิเคราะห์ได้ในหลายมิติ โดยอาศัยแนวคิดเกี่ยวกับ episteme และกระบวนการสร้างความรู้ (knowledge production) เพื่ออธิบายว่าความรู้ถูกสร้างและเปลี่ยนแปลงอย่างไร รวมถึงความไม่รู้ (ignorance) ถูกทำให้เกิดขึ้นหรือถูกลบเลือนไปในแต่ละยุคสมัย
แนวคิดการขยายพรมแดนของความรู้ การสร้างความรู้ใหม่และการลดความไม่รู้ โดย Foucault ชี้ให้เห็นว่าความไม่รู้ (ignorance) ไม่ใช่แค่การ “ขาดความรู้” แต่เป็นผลผลิตของ กรอบความคิดในแต่ละยุค ที่จำกัดวิธีการมองโลกหรือสร้างความรู้ ตัวอย่างเช่น ในยุคกลาง แนวคิดเกี่ยวกับโรคและสุขภาพถูกควบคุมโดยมุมมองทางศาสนา ทำให้วิทยาศาสตร์การแพทย์ไม่สามารถพัฒนาได้ เพราะความไม่รู้ถูกสร้างขึ้นผ่านการปฏิเสธวิธีการที่ไม่สอดคล้องกับศาสนา แต่ในยุค Enlightenment ความรู้ทางการแพทย์ขยายตัวอย่างมากเมื่อกรอบความคิดเปลี่ยนไปสนับสนุนการสังเกตและการทดลอง
การขยายพรมแดนด้วยการตั้งคำถามต่อความจริงที่มีอยู่ โดย Foucault เชื่อว่าความรู้สามารถขยายตัวได้เมื่อเกิดการตั้งคำถามต่อระเบียบความคิดที่มีอยู่ ที่เรียกว่ารอยแยก รอบแตกทางความคิด (rupture) ตัวอย่างการปฏิวัติวิทยาศาสตร์ในศตวรรษที่ 16-17 โดยบุคคลเช่น Galileo หรือ Newton ทำให้เกิดวิธีการใหม่ในการทำความเข้าใจจักรวาล ซึ่งแยกออกจากกรอบความคิดทางศาสนาแบบดั้งเดิม
การลดความไม่รู้ผ่านแนวคิดของ Foucault 1. ความไม่รู้ในฐานะ “การกีดกันความรู้” โดย Foucault ชี้ว่าความไม่รู้มักเกิดจากการที่บางชุดความรู้ถูกกีดกัน (exclusion) ออกจากพื้นที่ทางปัญญา ตัวอย่างคือ การที่เสียงของคนชายขอบ (เช่น ผู้หญิง คนจน หรือผู้ป่วยทางจิต) ถูกทำให้เงียบหายเพราะไม่สอดคล้องกับ episteme ที่ครอบงำในยุคนั้น ตัวอย่างเชิงรูปธรรมเช่น การที่ผู้หญิงในประวัติศาสตร์ถูกมองว่าไม่มีความสามารถในการเป็นนักวิทยาศาสตร์ ซึ่งเป็นการสร้างความไม่รู้เกี่ยวกับศักยภาพของพวกเธอ หรือแนวคิดเกี่ยวกับโรคจิตเภทในยุคก่อนสมัยใหม่ที่มองว่าผู้ป่วยคือคน “ถูกปีศาจเข้าสิง” เป็นการลดทอนความรู้ทางจิตวิทยา
การลดความไม่รู้ผ่านการก้าวข้ามพรมแดนความคิดเดิม การสร้างความรู้ใหม่เกิดขึ้นเมื่อเราก้าวข้ามการจำกัดของ episteme และยอมรับความเป็นไปได้ที่หลากหลาย ตัวอย่างเช่น การเกิดขึ้นของ “multidisciplinary studies” ที่รวมเอาวิทยาศาสตร์ สังคมศาสตร์ และมนุษยศาสตร์เข้าด้วยกัน ทำให้พรมแดนความรู้กว้างขึ้น เช่น งานศึกษาด้านมานุษยวิทยาที่ผสมผสานกับจิตวิทยา (psycho-cultural anthropology)
ตัวอย่างเชิงประยุกต์ในปัจจุบัน เช่น การวิจัยปัญญาประดิษฐ์ (AI) โดย แนวคิดเรื่อง AI เป็นตัวอย่างของการขยายพรมแดนของความรู้ที่ผสมผสานระหว่างวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์กับจริยศาสตร์และสังคมศาสตร์ อย่างไรก็ตาม AI ยังสร้างความไม่รู้ใหม่ เช่น การลดทอนบทบาทของแรงงานมนุษย์หรืออคติที่ฝังในระบบอัลกอริธึม
การศึกษาความหลากหลายทางเพศ โดยงานศึกษาด้านเพศวิถีและอัตลักษณ์ทางเพศในยุคปัจจุบันสามารถถูกมองว่าเป็นกระบวนการลดความไม่รู้ที่เกิดจากกรอบความคิดแบบสองเพศ (binary thinking) ที่ครอบงำในยุคก่อน การยอมรับ LGBTQ+ ช่วยขยายพรมแดนความรู้เกี่ยวกับความเป็นมนุษย์
บทสรุป การขยายพรมแดนของความรู้และการลดความไม่รู้ในมุมมองของ Foucault ไม่ใช่เพียงแค่ “การค้นพบความจริง” แต่คือการวิพากษ์และตั้งคำถามต่อโครงสร้างความคิดที่ครอบงำ รวมถึงการเปิดพื้นที่ให้กับความรู้และมุมมองที่เคยถูกกีดกันออกไป ดังนั้นกระบวนการนี้เน้นถึงการเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่องของระเบียบความคิด และแสดงให้เห็นว่าความรู้ไม่เคยเป็นสิ่งตายตัว
หาสิ่งที่เติมเต็ม BLOG ของตัวเอง …
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น