ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

anti-oedipus: Capitalism and Schizophrenia(1972 )ของ Deleuze และ Guattari โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

“Desire is not lacking, it is not a lack. Desire is a plenitude, a force of production.” หมายถึงความปรารถนาไม่ได้ขาดแคลน มันไม่ได้เป็นความขาด ความปรารถนาเป็นความสมบูรณ์ เป็นพลังแห่งการผลิต”) ประโยคนี้แสดงถึงการมองความปรารถนาในฐานะพลังสร้างสรรค์ที่ไหลลื่นอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเติมเต็มหรือถูกจำกัดในกรอบแบบจิตวิเคราะห์ดั้งเดิม Schizoanalysis เป็นแนวคิดทางปรัชญาและจิตวิเคราะห์ที่พัฒนาโดย Félix Guattari ร่วมกับ Gilles Deleuze ในหนังสือ Anti-Oedipus: Capitalism and Schizophrenia (1972) โดยมีเป้าหมายเพื่อเสนอแนวทางใหม่ในการทำความเข้าใจจิตใจ มนุษย์ และสังคม ซึ่งเป็นการวิพากษ์จิตวิเคราะห์แบบดั้งเดิมของ Freud และโครงสร้างนิยมของ Lacan แก่นสาระสำคัญของแนวคิด Schizoanalysis 1. การต่อต้าน Oedipus Complex Schizoanalysis ปฏิเสธแนวคิด Oedipus Complex ซึ่ง Freud ใช้เพื่ออธิบายโครงสร้างของความปรารถนาและจิตใจ Guattari และ Deleuze มองว่าแนวคิดนี้เป็นการบีบบังคับให้มนุษย์ต้องอยู่ภายใต้กรอบครอบครัวนิยมและโครงสร้างอำนาจของสังคมทุนนิยม 2. ความปรารถนา (Desire)แทนที่จะมองความปรารถนาเป็นสิ่งที่ขาด (ตาม Freud) หรือเป็นสัญลักษณ์ที่ต้องการการตีความ (ตาม Lacan) Schizoanalysis มองว่าความปรารถนาเป็นกระบวนการสร้างสรรค์และการผลิตที่ต่อเนื่อง (desiring-production) ซึ่งไม่จำกัดอยู่เพียงในขอบเขตของปัจเจกบุคคล แต่แทรกซึมไปในทุกระดับของสังคม 3. เครื่องจักร (Machines) Guattari และ Deleuze ใช้คำว่า “เครื่องจักร” (machines) เป็นอุปมาเพื่ออธิบายว่าจิตใจและความปรารถนาไม่ได้แยกออกจากกันอย่างชัดเจน แต่เป็นเครือข่ายของการเชื่อมต่อและการผลิต เช่น desiring-machines ที่แสดงถึงกระบวนการสร้างความหมายและพลังงานในชีวิตมนุษย์ 4. การวิพากษ์ทุนนิยมและโครงสร้างอำนาจ Schizoanalysis ชี้ให้เห็นว่าทุนนิยมเป็นระบบที่ทำให้มนุษย์ต้องผลิตความปรารถนาในรูปแบบที่ถูกควบคุมและจำกัด การทำความเข้าใจ “ความบ้าคลั่ง” (schizophrenia) จึงกลายเป็นกุญแจสำคัญในการปลดแอกตัวตนจากการบงการของระบบนี้ 5. การกระจายตัวของอัตลักษณ์ แทนที่จะมองอัตลักษณ์เป็นสิ่งที่คงที่ Schizoanalysis เน้นว่าตัวตนเป็นการไหลลื่นของพลังงานที่ต่อเนื่อง ไม่มีศูนย์กลาง และประกอบด้วยความสัมพันธ์หลากหลาย (assemblages) การประยุกต์ใช้ Schizoanalysis ถูกนำไปใช้ในหลากหลายบริบท เช่น การวิพากษ์วัฒนธรรมทุนนิยมและสื่อ การทำความเข้าใจจิตวิทยาของกลุ่มคนที่มีอาการทางจิต และการศึกษาโครงสร้างของอำนาจและการเมืองในสังคมเป็นต้น โดยสรุป Schizoanalysis คือการปลดปล่อยความคิดและตัวตนจากกรอบที่กำหนดโดยอำนาจและวาทกรรมแบบเดิม เปิดโอกาสให้เกิดการผลิตความหมายใหม่ ๆ ผ่านการเชื่อมโยงที่ไม่มีขีดจำกัด ใน Anti-Oedipus: Capitalism and Schizophrenia ของ Deleuze และ Guattari มีตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่ช่วยอธิบายแนวคิด Schizoanalysis หลายประการ โดยเฉพาะการต่อต้านระบบวาทกรรมแบบจิตวิเคราะห์ของ Freud และการวิพากษ์สังคมทุนนิยม ตัวอย่างที่เด่นชัด ได้แก่ 1. “Desiring-Machines” และการผลิตความปรารถนา Deleuze และ Guattari ใช้ตัวอย่างของ desiring-machines เพื่อแสดงให้เห็นว่าความปรารถนาไม่ได้เป็นสิ่งที่ขาดแคลน แต่เป็นกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง เช่น พวกเขาพูดถึงการเชื่อมต่อทางกายภาพและอารมณ์ เช่น ปากที่เชื่อมกับหัวนม หัวนมที่เชื่อมกับเครื่องผลิตนม (milking machine) กระบวนการนี้ไม่ใช่เพียงการตอบสนองความต้องการ แต่เป็นการสร้างและผลิตความหมายใหม่อย่างต่อเนื่อง จากตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าเราไม่สามารถแยก “คน” ออกจาก “เครื่องจักร” เพราะทุกสิ่งเป็นเครือข่ายที่ต่อเนื่องกัน โดย Deleuze และ Guattari บอกว่า The human being is a machine, desiring-machines everywhere.” ที่บอกว่า มนุษย์เป็นเครื่องจักร และเครื่องจักรปรารถนาอยู่ทุกที่ พวกเขาใช้ “เครื่องจักร” เป็นอุปมาเพื่ออธิบายว่าความปรารถนาของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ายการผลิตที่ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือจุดสิ้นสุด 2. การต่อต้าน Oedipus Complex Deleuze และ Guattari อ้างถึงตัวอย่างของ “เด็ก” ที่ถูกตีกรอบโดยจิตวิเคราะห์ว่าเป็นผู้ที่มีแรงปรารถนาต่อพ่อหรือแม่ในลักษณะของ Oedipus Complex โดยพวกเขาชี้ให้เห็นว่าเด็กอาจมีความสัมพันธ์ทางอารมณ์และความปรารถนาที่หลากหลายซึ่งไม่ได้ถูกจำกัดอยู่ในครอบครัว เช่น เด็กอาจรู้สึกเชื่อมโยงกับธรรมชาติ สัตว์ หรือวัฒนธรรมที่อยู่รอบตัว ตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่าการบังคับใช้โครงสร้าง Oedipus Complex ทำให้เด็กถูกจำกัดการแสดงออกและความหลากหลายของความปรารถนา ดังเช่น Deleuze และ Guattari กล่าวว่า “Oedipus is the ideological arm of repression.”Deleuze และ Guattari ชี้ให้เห็นว่า Oedipus Complex ไม่ใช่ความจริงสากล แต่เป็นเครื่องมือที่สังคมและจิตวิเคราะห์ใช้เพื่อควบคุมและกดขี่ความปรารถนาในรูปแบบที่หลากหลาย ดังนั้น Oedipus เป็นเครื่องมือทางอุดมการณ์ของการกดขี่ 3. “Body without Organs” (BwO) แนวคิดนี้อธิบายร่างกายที่ไม่มีโครงสร้างหรือลำดับแบบตายตัว ตัวอย่างที่พวกเขายกคือ ร่างกายของคนที่มีภาวะจิตเภท (schizophrenic body) ซึ่งไม่จำเป็นต้องมีการจัดระเบียบแบบปกติ เช่น ความปรารถนาที่ไหลลื่นโดยไม่มีการแบ่งแยกว่า “อะไรเหมาะสม” หรือ “อะไรไม่เหมาะสม” ตัวอย่างเช่น การผลิตเสียงดนตรีทดลองที่ไม่เป็นไปตามโครงสร้างดนตรีแบบคลาสสิก สามารถแสดงถึง BwO ที่ปลดปล่อยตัวเองจากกรอบของระบบเก่า ดังที่ Deleuze และ Guattari กล่าวว่า ”The body without organs is not an empty body stripped of its organs, but a body upon which that which serves as organs…is distributed according to crowd phenomena.” ร่างกายที่ปราศจากอวัยวะไม่ใช่ร่างกายที่ว่างเปล่าซึ่งถูกถอดอวัยวะออกไป แต่เป็นร่างกายที่สิ่งที่ทำหน้าที่เป็นอวัยวะถูกกระจายไปตามปรากฏการณ์ของฝูงชน ประโยคนี้เน้นว่าร่างกายที่ไม่มีโครงสร้างแบบตายตัว แต่สามารถสร้างเครือข่ายการเชื่อมโยงใหม่ ๆ ได้ 4. การวิพากษ์ทุนนิยมผ่านตัวอย่างของแรงงาน Deleuze และ Guattari ยกตัวอย่างกระบวนการผลิตในสังคมทุนนิยม เช่น คนงานในโรงงานที่ถูกลดคุณค่าจาก “มนุษย์” ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของเครื่องจักรในสายพานการผลิต (production line) ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าความปรารถนาของคนงานถูกควบคุมและบีบบังคับให้ผลิตตามความต้องการของระบบ มากกว่าความปรารถนาที่แท้จริงของตนเอง ดังที่ Deleuze และ Guattari บอกว่า Capitalism is schizophrenic in essence.” นั่นคือทุนนิยมมีความเป็นจิตเภทในแก่นของมันเอง ประโยคนี้สะท้อนถึงมุมมองที่ว่าทุนนิยมสร้างระบบที่ดูเหมือนมีเหตุผล แต่ในความเป็นจริงกลับมีความขัดแย้งและไม่เสถียรในตัวเอง เช่นเดียวกับลักษณะของจิตเภทหรืออาการเจ็บป่วยทางจิตแบบหนึ่ง 5. กรณีของคนที่มีภาวะSchizophrenics ในสังคม Deleuze และ Guattari ใช้ตัวอย่างคนที่มีภาวะจิตเภท (schizophrenics) ซึ่งมักถูกมองว่าเป็น “คนป่วย” หรือ “คนบ้า” พวกเขาชี้ว่าคนกลุ่มนี้ไม่ได้บ้าในแง่ที่ขาดเหตุผล แต่เป็นผู้ที่สามารถเชื่อมโยงกับความปรารถนาและกระบวนการผลิตในแบบที่ไม่ยอมจำนนต่อกรอบของสังคม ตัวอย่างนี้ถูกใช้เพื่อแสดงให้เห็นว่าภาวะจิตเภทสามารถเป็นเครื่องมือในการท้าทายระบบที่กดขี่ Deleuze และ Guattari กล่าวว่า “Schizoanalysis proposes to overturn the theater of representation into the order of production.”นั่นคือ Schizoanalysis เสนอที่จะพลิกโรงละครแห่งการแทนที่ไปสู่ระเบียบแห่งการผลิต ข้อความนี้เน้นการเปลี่ยนจากการมองตัวตนและความปรารถนาในฐานะสิ่งแทนความหมาย (representation) ไปสู่การมองว่าเป็นกระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นตัวอย่างใน Anti-Oedipus มุ่งไปที่การแสดงให้เห็นว่า Schizoanalysis ไม่ใช่แค่การอธิบายจิตใจของบุคคล แต่เป็นการวิพากษ์โครงสร้างของสังคมที่ควบคุมความปรารถนาและการแสดงออกของมนุษย์ ตัวอย่างเหล่านี้ช่วยให้เห็นถึงความเป็นไปได้ในการปลดปล่อยตัวตนและความคิดจากกรอบที่ถูกกำหนดไว้โดยระบบวัฒนธรรม เศรษฐกิจ และจิตวิเคราะห์ ดังนั้นหัวใจของ Anti-Oedipus ที่ต้องการท้าทายกรอบคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับความปรารถนา อัตลักษณ์ และโครงสร้างของสังคม โดยชี้ให้เห็นถึงความจำเป็นในการปลดปล่อยมนุษย์จากการควบคุมของระบบต่าง ๆ ทั้งในระดับจิตใจและสังคมนั่นเอง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...