แนวคิดเรื่องการซึมผ่านและการบรรจบกันของมนุษย์กับสิ่งอื่น (Permeability & Intersectionality)
แนวคิดนี้เน้นไปที่การสำรวจ ความสัมพันธ์และการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสิ่งอื่น ที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น วัตถุ เทคโนโลยี ธรรมชาติ หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ โดยให้ความสำคัญกับกระบวนการที่ เส้นแบ่งหรือขอบเขต ระหว่างมนุษย์และสิ่งอื่น ๆ ถูกทำลายหรือเลือนหายไป ส่งผลให้เกิดการ ซึมผ่าน (permeability) และ การบรรจบกัน (intersectionality) ซึ่งสร้าง ความคลุมเครือและความจริงแบบใหม่ ขึ้นมา
องค์ประกอบหลักของแนวคิด คือ
1. Permeability (การซึมผ่าน) หมายถึง ความสามารถในการที่เส้นแบ่งหรือขอบเขตระหว่างมนุษย์และสิ่งอื่นถูกทำลายหรือเลือนราง จนเกิดการไหลเวียนหรือส่งผ่านคุณลักษณะ ประสบการณ์ หรือความเป็นตัวตนระหว่างกัน ตัวอย่างเช่น การที่มนุษย์สวมอุปกรณ์เทคโนโลยี เช่น อวัยวะเทียมหรือ VR ทำให้ขอบเขตระหว่างร่างกายมนุษย์กับเครื่องจักรเลือนราง
ความสัมพันธ์กับธรรมชาติ เช่น การมองตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของระบบนิเวศที่ไม่แยกขาด
2. Intersectionality (การบรรจบกัน)
หมายถึง การที่มนุษย์มีปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์หลากหลายมิติที่ตัดผ่านหรือเชื่อมโยงกัน ซึ่งไม่ได้จำกัดแค่ความสัมพันธ์กับมนุษย์คนอื่น แต่ยังรวมถึงวัตถุ เทคโนโลยี สภาพแวดล้อม หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น การอยู่ในสังคมที่มนุษย์ต้องพึ่งพาเทคโนโลยี AI ในการดำรงชีวิต ความเชื่อเรื่องวิญญาณในบางวัฒนธรรม ที่มองว่าวิญญาณสามารถติดต่อกับมนุษย์ผ่านพิธีกรรม
ลักษณะสำคัญของกระบวนการซึมผ่านและการบรรจบกัน
1. การเลือนรางของขอบเขต (Blurring Boundaries)
เส้นแบ่งระหว่างมนุษย์กับสิ่งอื่น เช่น วัตถุ เทคโนโลยี หรือสิ่งแวดล้อม ถูกทำลาย ตัวอย่างเช่นการใช้อุปกรณ์ AI ที่เรียนรู้พฤติกรรมของมนุษย์จนเหมือน “เข้าใจมนุษย์” เช่น Chatbots หรือหุ่นยนต์ผู้ช่วย
2. การสร้างความคลุมเครือ (Ambiguity)
การปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งอื่นสร้างความหมายใหม่ที่ไม่ได้ยึดติดกับกรอบคิดเดิม ตัวอย่างเช่น การเปลี่ยนสถานะของ AI จาก “วัตถุ” ไปสู่ “ตัวแทนของมนุษย์”
3. การผลิตความจริงแบบใหม่ (Emergence of New Realities) การซึมผ่านและการบรรจบกันนำไปสู่การสร้าง “ความจริง” หรือ “วิธีการดำรงอยู่” ที่แตกต่างไปจากบรรทัดฐานเดิม ตัวอย่างเช่น การใช้โลกเสมือนจริง (VR) ในการบำบัดผู้ป่วย ทำให้เกิดความจริงเสมือนที่มนุษย์ยอมรับ
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่ผมคิดว่าน่าสนใจ อาทิเช่น
1. มนุษย์และเทคโนโลยี (Human-Technology Permeability) การผสานระหว่างมนุษย์กับอุปกรณ์เทคโนโลยี เช่น การใช้ขาเทียมที่มีระบบ AI หรือชุด VR ที่ทำให้มนุษย์มีประสบการณ์ในโลกเสมือน ขอบเขตระหว่าง “ร่างกายมนุษย์” และ “เครื่องจักร” เลือนราง
2. มนุษย์และธรรมชาติ (Human-Nature Permeability) แนวคิดเกี่ยวกับการที่มนุษย์และธรรมชาติไม่ได้แยกออกจากกันอย่างเด็ดขาด
2. มนุษย์และธรรมชาติ (Human-Nature Permeability) เป็นแนวคิดเกี่ยวกับการที่มนุษย์และธรรมชาติไม่ได้แยกออกจากกัน แต่มีปฏิสัมพันธ์อย่างลึกซึ้ง เช่น ความเชื่อเรื่อง “จิตวิญญาณของธรรมชาติ” ในวัฒนธรรมชนเผ่า
3. มนุษย์กับ AI (Human-AI Intersectionality)
ชีวิตมนุษย์ เช่น การที่หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุสามารถเรียนรู้พฤติกรรมของผู้ใช้งานจนเกิดความผูกพันที่เหมือนกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์
4. พิธีกรรมและสิ่งเหนือธรรมชาติ (Rituals and the Supernatural)
พิธีกรรมบางอย่างที่สร้างความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับวิญญาณ เช่น การเข้าทรงหรือการสื่อสารกับผี ทำให้เกิดการผสมผสานระหว่างโลกมนุษย์และสิ่งเหนือธรรมชาติ
การเชื่อมโยงกับ AI และผู้สูงอายุ ที่เกี่ยวกับความคิดข้างต้นคือ
1.การซึมผ่านของขอบเขตมนุษย์-เทคโนโลยีในผู้สูงอายุ เช่น การใช้งานอุปกรณ์ช่วยเหลือ เช่น หุ่นยนต์ AI ที่ช่วยในการดูแลผู้สูงอายุ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ที่ซึมผ่านระหว่างความเป็นมนุษย์กับเทคโนโลยี
ตัวอย่างหุ่นยนต์ดูแลที่สามารถรับรู้ความรู้สึกของผู้สูงอายุผ่านเซ็นเซอร์ ทำให้เกิดการตอบสนองเชิงอารมณ์
2.การบรรจบกันระหว่างเทคโนโลยีและการสร้างความสัมพันธ์ ผู้สูงอายุที่ใช้เทคโนโลยี AI เพื่อสร้างความสัมพันธ์ใหม่ เช่น การพูดคุยกับ AI ที่ตอบสนองความเหงา หรือการใช้อุปกรณ์ที่ช่วยกระตุ้นสมองผ่านเทคโนโลยี VR
3.การสร้างความจริงแบบใหม่ในบริบทของการดูแล การที่ผู้สูงอายุเริ่มมองหุ่นยนต์หรือ AI ในฐานะ “เพื่อน” หรือ “ผู้ช่วยชีวิต” แทนที่จะมองว่าเป็นเครื่องจักรธรรมดา ทำให้เกิดความคลุมเครือในความสัมพันธ์นี้
ในหนังสือ “Phenomenology of Technology” โดย Don Ihde เป็นหนึ่งในงานเขียนที่สำคัญเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยีผ่านกรอบคิดแบบปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) ซึ่งเน้นการสำรวจประสบการณ์ของมนุษย์ที่ได้รับผลกระทบหรือถูกปรับเปลี่ยนผ่านการมีอยู่และการใช้เทคโนโลยีในชีวิตประจำวัน
แนวคิดหลักในหนังสือที่น่าสนใจ ประกอบด้วย
1. เทคโนโลยีเป็นตัวกลางของการรับรู้ (Technological Mediation)
Ihde เสนอว่าเทคโนโลยีทำหน้าที่เป็น “ตัวกลาง” ระหว่างมนุษย์กับโลก ทำให้ประสบการณ์ของเราต่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ตัวอย่างเช่น กล้องจุลทรรศน์ช่วยให้มนุษย์มองเห็นสิ่งที่ตามนุษย์ไม่สามารถเห็นได้ แต่ก็สร้าง “กรอบการมอง” ที่แตกต่างไป
2. มนุษย์-เทคโนโลยี-โลก (Human-Technology-World)
Ihde มองว่ามนุษย์ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับโลกโดยตรง แต่ผ่านเทคโนโลยี ตัวอย่างเช่น การมองผ่านแว่นตา การถ่ายภาพ หรือการใช้งานเครื่องมือทางการแพทย์
3. ความหลากหลายของสัมพันธ์กับเทคโนโลยี (Variations of Human-Technology Relations)
Ihde แบ่งประเภทของความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับเทคโนโลยีเป็น 4 รูปแบบหลัก คือ
1. Embodiment Relation (ความสัมพันธ์แบบผนวกรวมร่างกาย) เทคโนโลยีในรูปแบบนี้ถูกรวมเข้ากับร่างกายของมนุษย์จนกลายเป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์การรับรู้โลก กล่าวคือ มนุษย์มองหรือสัมผัสโลกผ่านเทคโนโลยี โดยที่ตัวเทคโนโลยีเองเลือนหายไปจากการรับรู้โดยตรง
ตัวอย่างรูปธรรมเช่นแว่นตา แว่นตาไม่ได้ถูกมองว่าเป็น “อุปกรณ์” แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งของสายตาผู้สวมใส่ ทำให้เห็นโลกชัดเจนขึ้น
เครื่องช่วยฟัง ผู้ใช้ไม่ได้ตระหนักถึงเครื่องช่วยฟังอย่างชัดเจน แต่ประสบการณ์การได้ยินที่ได้รับผ่านอุปกรณ์นั้นทำให้พวกเขาสามารถมีปฏิสัมพันธ์กับโลกได้ โดยเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่เพียงช่วยให้ผู้ใช้มองเห็นหรือได้ยินชัดขึ้น แต่ยังปรับเปลี่ยน “วิธีการดำรงอยู่” ของพวกเขาในโลก
มือเทียม (Prosthetic Limb): สำหรับผู้ที่ใช้มือเทียม อุปกรณ์นี้อาจกลายเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ใช้ในการทำกิจกรรมประจำวัน
กล้องถ่ายรูป การใช้กล้องถ่ายรูปเปลี่ยนวิธีที่มนุษย์มองเห็นและจดจำประสบการณ์ แทนที่จะรับรู้สิ่งที่อยู่ตรงหน้าอย่างเดียว กล้องช่วยให้เรา “หยุดเวลา” และทำให้ประสบการณ์ถูกตีความใหม่
2. Hermeneutic Relation (ความสัมพันธ์แบบตีความ) เทคโนโลยีทำหน้าที่เป็น “เครื่องมือในการตีความ” (interpretative tool) ซึ่งมนุษย์ต้องอ่านหรือแปลความหมายข้อมูลที่ได้ผ่านเทคโนโลยีเพื่อเข้าใจโลกหรือสิ่งที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
ตัวอย่างรูปธรมเช่น เครื่องวัดอุณหภูมิ ผ่านการอ่านตัวเลขบนเครื่องวัดอุณหภูมิต้องการการตีความเพื่อเข้าใจว่าร่างกายป่วยหรือไม่
กล้องจุลทรรศน์ ที่นักวิทยาศาสตร์มองเชื้อโรคผ่านกล้องจุลทรรศน์และตีความสิ่งที่มองเห็นผ่านความรู้ที่มี
เครื่อง MRI หรือ X-ray ที่สะท้อนว่าภาพที่ได้จากเครื่องเหล่านี้ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยตาเปล่าโดยตรง ต้องผ่านการตีความโดยผู้เชี่ยวชาญ
ดังนั้น เครื่องมือแพทย์ เช่น เครื่อง MRI หรืออัลตราซาวด์ ช่วยให้แพทย์เห็นสิ่งที่มองไม่เห็นในร่างกายมนุษย์ แต่ภาพเหล่านี้ต้องการ “การตีความ” เพื่อเข้าใจ
3. Alterity Relation (ความสัมพันธ์แบบมีความเป็นอื่น) เทคโนโลยีถูกมองว่าเป็นสิ่งที่มีความเป็น “อื่น” ที่มนุษย์สามารถโต้ตอบด้วยราวกับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอิสระ (แม้จะไม่ใช่ก็ตาม) ความสัมพันธ์นี้มักเกิดในกรณีที่เทคโนโลยีสามารถตอบสนองหรือโต้ตอบกลับมาได้
ตัวอย่างรูปธรรมเช่น หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ โดยหุ่นยนต์ที่ใช้ในบ้านของผู้สูงอายุ เช่น หุ่นยนต์ที่พูดคุย ตอบคำถาม หรือช่วยทำกิจกรรมในชีวิตประจำวัน หรือ AI ผู้ช่วยส่วนตัวอย่างเช่น Siri หรือ Alexa ที่สามารถรับคำสั่งเสียง โต้ตอบ และทำงานแทนมนุษย์ในบางกรณี รวมทั้งเครื่องจำลองการบิน (Flight Simulator) นักบินมีปฏิสัมพันธ์กับเครื่องที่ทำหน้าที่จำลองสถานการณ์การบิน เสมือนเป็นสถานการณ์จริง
4. Background Relation (ความสัมพันธ์แบบพื้นหลัง ) เทคโนโลยีในรูปแบบนี้มักอยู่ใน “พื้นหลัง” ของชีวิตมนุษย์ ไม่ถูกสังเกตหรือใส่ใจในขณะที่ทำงาน แต่มีบทบาทสำคัญในการสร้างสภาวะแวดล้อมหรือบรรยากาศ ตัวอย่างรูปธรรมเช่น เครื่องปรับอากาศมนุษย์ไม่ได้ตระหนักถึงการทำงานของเครื่องปรับอากาศอย่างชัดเจน แต่จะรู้สึกเมื่ออากาศในห้องเย็นสบาย หรือระบบไฟอัตโนมัติที่ไฟในบ้านที่เปิด-ปิดอัตโนมัติตามความเคลื่อนไหว มักถูกมองข้ามจนกว่าจะเกิดความผิดปกติรวมทั้งระบบอินเทอร์เน็ตในบ้าน:มนุษย์ใช้ชีวิตในพื้นที่ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตโดยไม่ใส่ใจระบบเครือข่าย เว้นแต่เมื่อสัญญาณล่ม
หากเปรียบเทียบทั้ง 4 รูปแบบ ในเรื่องประเภทความสัมพันธ์ และบทบาทของเทคโนโลยี สรุปได้ว่า
1. Embodiment Relation เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายมนุษย์ เช่น แว่นตา, เครื่องช่วยฟัง, มือเทียม
2. Hermeneutic Relation ช่วยตีความหรืออ่านข้อมูลที่มองไม่เห็นโดยตรง เช่น กล้องจุลทรรศน์, เครื่องวัดอุณหภูมิ, เครื่อง X-ray
3. Alterity Relation โต้ตอบกับมนุษย์เหมือนเป็นสิ่งมีชีวิตอื่น เช่น Siri, หุ่นยนต์ดูแลผู้สูงอายุ, AI Chatbot
4. Background Relation อยู่ในพื้นหลังของชีวิตแต่ส่งผลต่อประสบการณ์โดยรวม เช่น เครื่องปรับอากาศ, ระบบอินเทอร์เน็ต, เครื่องกรองอากาศ
ความน่าสนใจในประเด็นนี้คือ
1. การเชื่อมโยงกับปรากฏการณ์วิทยา (Phenomenology) Ihde นำแนวคิดจาก Edmund Husserl และ Martin Heidegger มาขยายความเกี่ยวกับ “ความสัมพันธ์แบบตั้งคำถาม” ระหว่างมนุษย์ เทคโนโลยี โดยงายของ Don Ihde เน้นเรื่องประสบการณ์ของมนุษย์ที่ถูกปรับเปลี่ยนผ่านการใช้เทคโนโลยี
2. การทำลายเส้นแบ่งมนุษย์-เทคโนโลยี (Breaking Down Human-Technology Dualism)
หนังสือวิจารณ์แนวคิดแบบดั้งเดิมที่แยกมนุษย์ออกจากเทคโนโลยี โดยเสนอว่าทั้งสองสิ่งนี้สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้งในโลกยุคปัจจุบัน แนวคิดนี้ตั้งคำถามต่อการแบ่งแยกระหว่างมนุษย์กับสิ่งที่มิใช่มนุษย์ เช่น เทคโนโลยี สิ่งแวดล้อม หรือสัตว์ เช่นเดียวกับงานของ Donna Haraway’s Cyborg Manifesto กล่าวถึงความคลุมเครือของการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์และเทคโนโลยี
3. บริบทในชีวิตประจำวัน
Ihde ใช้ตัวอย่างจากเทคโนโลยีทั่วไปในชีวิตประจำวัน เช่น โทรทัศน์ โทรศัพท์ และอุปกรณ์วิทยาศาสตร์ เพื่ออธิบายว่ามนุษย์มีประสบการณ์กับสิ่งเหล่านี้อย่างไร
แง่มมุมแบบ ANT (Actor Network theory) ของ Bruno Latour ซึ่งสำรวจการปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งที่มิใช่มนุษย์ โดยมองว่าสิ่งที่มิใช่มนุษย์ก็มี agency การเชื่อมโยงนี้สามารถขยายไปยัง AI ที่มีบทบาทในการดูแลผู้สูงอาย
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น