ในวิชา Anthropology of body (ปัจจุบันเป็นวิชาร่างกายในวัฒนธรรม เทคโนโลยีและสังคม ) จากงานของ Susan Sontag เรื่อง Illness and Metaphor ผมเคยได้ลองถามนักศึกษาในห้องว่าหากนึกถึงโรคและควมเจ็บป่วย เช่นมะเร็ง ในความคิดของคุณคุณอุปมาเชื่อมโยงกับอะไรได้บ้าง และหมายถึงอะไร บางคนมองว่ามันคล้ายลูกโป่งที่ค่อยๆหมดลม หรือเหล็กที่วางอยู่บนบ่าหนักหน่วงและทำอะไรลำบาก ผลไม้ที่ถูกหนอนชอบไช เชื่อราบนขนมปังที่ค่อยๆลุกลามไปทั่ว บางคนว่าเหมือนเข็มฉีดยาตอนแรกจะกลัวตอนหลังจะชินกับมัน บางคนมองไปถึงนายทุนหนีอย่างไรก็หนีไม่พ้น มันคอยจะสูบเลือดให้ตาย ความเจ็บป่วยคือเสี้ยนหนามชีวิต หรือ มะเร็งคือวิญญาณที่ไม่เห็น ไม่เป็นไม่ได้แปลว่าไม่มี บางคนมองว่ามะเร็งคือความไม่เป็นประขาธิปไตย การทุจริตคอรัปชั่นที่ทำลายทุกอย่าง และอื่นๆ
“Illness is not a metaphor, and the most truthful way of regarding illness—and the healthiest way of being ill—is one most purified of, most resistant to, metaphoric thinking.”ความเจ็บป่วยไม่ใช่อุปมา วิธีที่ซื่อตรงที่สุดและดีที่สุดในการมองความเจ็บป่วย คือการปราศจากการตีความเชิงอุปมา (Sontag,1978)
“Nothing is more punitive than to give a disease a meaning—that meaning being invariably a moralistic one.”ไม่มีสิ่งใดที่ลงโทษผู้ป่วยได้มากไปกว่าการตีความโรคให้มีความหมาย ซึ่งมักเกี่ยวข้องกับคุณค่าทางศีลธรรเสมอ(Sontag,1978)
Susan Sontag ตีพิมพ์งานชิ้นนี้ในช่วง1978 เธอบอกว่าไม่มีอะไรเป็นการลงโทษมากกว่าการให้ความหมายของการเจ็บป่วย ในช่วงหนึ่งมะเร็ง ถูกให้ความหมายเกี่ยวกับความน่ากลัว การลุกลามแพร่กระจาย การขัดขวางหรือหยุดยั้งขีวิต และการถูกตำหนิกล่าวโทษ ความหมายเหล่านี้ล้วนมีอิทธิพลต่อความคิด มุมมอง และการรักษาคนไข้โรคมะเร็ง การักษามะเร็งคือความก้าวร้าว (Agressive) โดยการใช้การปะทะโจมตีกับทะเร็ง หรือเซลล์มะเร็งในร่างกาย ที่มันบุกรุก หรือรุกล้ำพื้นที่ทางร่างกาย ร่างกายกลายเป็นพื้นที่ถูกโจมตี ทิ้งระเบิดอานุภาพสเพื่อทำลายล้างเชื้อโรค ด้วยการใช้รังสีหรือคีโมบำบัด อุปมาเข่นเดียวกับการทำสงครามของทหาร (Military Metaphor) ร่างกายของคนไข้กลายเป็นวิธีคิดและแนวทางการรักษา เข่นเดียวกับสนามรบ (Battle ground)
ความหมายทางวัฒนธรรมของมะเร็ง เชื่อมโยงกับการควบคุมจัดการร่างกาย เช่นการไม่สูบบุหรี่ กินเหล้า การไม่ทานอาหารที่มีไขมัน การออกกำลังกาย การตากแดดจัดๆ หรือภาวะของการเป็นมะเร็งมันโจมตีอวัยวะที่บ่งชี้เพศ มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมหลูกหมาก ที่ทำให้สูญเสียสัญลักษณ์ของคยรมเป็นแม่ เป็นผู้หญิง หรือการสืบพันธ์ุ โรคมันมีคบามรุนแรงและมีความเข้มแข็งเมื่อมีความหมาย ความหมายที่เชื่อมโยงร่างกายทางกายภาพกับร่างกายทางสังคม การเกิดภาวะที่Sontag เรียกว่า The guilt of responsibility. หรือ ความรู้สึกผิดต่อความรับผิดชอบ เมื่อความเจ็บป่วยทำให้เราบกพร่องต่อหน้าที่ในฐานะแม่ ภรรยา แรงงาน หรือพลเมืองคุณภาพของรัฐชาติ ความเจ็บป่วยเกิดขึ้นไม่ได้แค่หมายความว่าเราไม่รับผิดชอบต่อตัวเอง แต่ยังไม่รับผิดชอบค่อสังคมส่วนรวมด้วย
ขณะที่เธอเขียนหนังสือเล่มนี้ Sontag ที่ซึ่งกลายเป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งได้แสดงให้เห็นว่าคำอุปมาและความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับความเจ็บป่วยบางอย่าง โดยเฉพาะมะเร็ง ช่วยเพิ่มความทุกข์ทรมานของผู้ป่วยอย่างมาก และมักจะขัดขวางไม่ให้พวกเขาแสวงหาการรักษาที่เหมาะสม ด้วยการไขปริศนาที่เชื่อมโยงกับจินตนาการเกี่ยวกับมะเร็ง ซอนแท็กแสดงให้เห็นว่ามะเร็งคืออะไรกันแน่ หรือเป็นเพียงโรคหนึ่งที่ถูกให้ความหมายเท่านั้น เธอให้เหตุผลว่า มะเร็งไม่ใช่คำสาป ไม่ใช่การลงโทษ ไม่ใช่เรื่องน่าอายอย่างแน่นอน และสามารถรักษาให้หายขาดได้หากปฏิบัติตามการรักษาที่ดี เกือบหนึ่งทศวรรษต่อมา ด้วยการระบาดของโรคใหม่ที่ถูกตีตราซึ่งเต็มไปด้วยความลึกลับและคำอุปมาอุปมัยเชิงการลงโทษ Sontag ได้เขียนภาคต่อของ Illness ในชื่อ Metaphor ซึ่งขยายการโต้แย้งของหนังสือเล่มก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการระบาดของโรคเอดส์ บทความทั้งสองนี้ตีพิมพ์ร่วมกันแล้ว Illness as Metaphor and AIDS and Its Metaphors ซึ่งได้รับการแปลเป็นหลายภาษาและยังคงมีอิทธิพลมหาศาลต่อความคิดของผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ และเหนือสิ่งอื่นใด ต่อชีวิตของผู้ป่วยและผู้ดูแลหลายพันคน
ผมลองให้นักศึกษาเขียนหัวข้อร่างกายที่ตัวเองสนใจ มีหลายประเด็นทั้งการบริจาคอวัยวะ การใช้ร่างกายในการเคลื่อนไหวทางการเมือง วัฒนธรรมการสัก ร่างกายแบบlolicon และ shotacon ร่างกายในตัวละครและวรรณกรรม ร่างกายในกีฬาข้ามเพศ วัฒนธรรมY2K กับแฟขั่นบนร่างกาย แฟชั่นเสื้อตัวเล็ก ร่างกายของTrans ในศาสนาอิสลาม การใช้รอยแผลบนร่างกายสร้างอารมณ์ความสงสาร การข้ามเพศ ร่างกายและเพศวิถีบนพื้นที่ออนไลน์ ร่างกายของผู้ป่วยและอื่นๆ
ผมชอบงานของเธอมาก อ่านแล้วเห็นภาพและคิดว่านำไปใช้เขียนงานได้ ในประเด็นเชิงร่างกายและการแพทย์ในหนังสือ “Illness as Metaphor” ของ Susan Sontag เป็นงานที่มีอิทธิพลอย่างมากในด้านวัฒนธรรมศึกษาและการวิพากษ์สังคม โดย Sontag ได้เสนอแนวคิดสำคัญเกี่ยวกับวิธีที่สังคมสร้าง “อุปมานิทัศน์” (metaphor) และ ความหมายเชิงสัญลักษณ์ ให้กับความเจ็บป่วย ซึ่งส่งผลกระทบต่อวิธีที่ผู้ป่วยและผู้คนรอบข้างมองเห็นและปฏิบัติต่อโรคเหล่านั้น
แนวคิดและทฤษฎีที่สำคัญที่ Sontag ใช้คือ
1. โรคในฐานะอุปมา
Sontag ชี้ให้เห็นว่าสังคมมักอุปมาโรคให้มีความหมายที่เกินกว่าความจริงทางการแพทย์ เช่น การมองโรคมะเร็งว่าเป็นความล้มเหลวทางศีลธรรม หรือการมองวัณโรคในอดีตว่าเป็นความโรแมนติก ตัวอย่างในศตวรรษที่ 19 วัณโรคถูกเชื่อมโยงกับภาพลักษณ์ของศิลปินที่ทุกข์ทรมานหรือคนที่มี “จิตวิญญาณสูงส่ง”
การเปลี่ยนแปลงความหมายของโรค เมื่อเข้าสู่ยุคปัจจุบัน ดังเช่น โรคมะเร็งกลายเป็น “โรคร้ายแรง” ที่ถูกเชื่อมโยงกับการต่อสู้และการพ่ายแพ้ ซึ่งส่งผลกระทบต่อจิตใจผู้ป่วยและวิธีที่คนรอบข้างเข้าใจผู้ป่วย
2. ผลกระทบของอุปมาเชิงลบ
การใช้อุปมาเหล่านี้ทำให้โรคกลายเป็นสิ่งที่มีความหมายเชิงศีลธรรมและอารมณ์ เช่น มองว่าผู้ป่วยมีส่วนผิดในการเกิดโรค (self-inflicted illness) เช่น โรคเอดส์ในช่วงศตวรรษที่ 20 ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับการลงโทษทางศีลธรรมสำหรับพฤติกรรมบางอย่าง
3. การปลดปล่อยความเจ็บป่วยจากอุปมา
Sontag เสนอว่าเราควรมองโรคในฐานะปรากฏการณ์ทางกายภาพที่เป็นกลาง ไม่ควรใส่คุณค่าทางศีลธรรมหรืออารมณ์ลงไป ซึ่งจะช่วยลดความอับอาย (stigma) และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับโรค
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากหนังสือเล่มนี้ที่น่าสนใจคือ
Sontag อธิบายว่ามะเร็งมักถูกเชื่อมโยงกับความล้มเหลวในชีวิต เช่น การถูกบอกว่า “คุณต้องต่อสู้กับมะเร็ง” คำพูดซึ่งเป็นการเพิ่มภาระทางอารมณ์ให้ผู้ป่วย เพราะหากพวกเขาไม่สามารถรักษาได้ ก็อาจรู้สึกว่าตนเอง “ล้มเหลว” ในการต่อสู้
หรือวัณโรคในศตวรรษที่ 19 ถูกอธิบายว่าเป็น “โรคแห่งความโรแมนติก” และเกี่ยวข้องกับความคิดสร้างสรรค์ เช่น การที่ศิลปินหรือกวีที่ป่วยวัณโรคถูกมองว่าเป็นผู้มีจิตวิญญาณสูง เช่น กวี John Keats
ในศตวรรษที่ 19 ความเจ็บป่วยโดยเฉพาะ วัณโรค (tuberculosis) ถูกมองในเชิงโรแมนติกและเกี่ยวข้องกับแนวคิดเรื่องความทุกข์ทรมานที่สร้างความลุ่มลึกทางจิตวิญญาณและความคิดสร้างสรรค์ในตัวศิลปินและนักเขียน นี่เป็นผลมาจากอิทธิพลของขบวนการ โรแมนติก (Romanticism) ที่เน้นความงดงามของความทุกข์ ความรู้สึกอ่อนไหว และความสัมพันธ์กับธรรมชาติและจิตวิญญาณ
“Tuberculosis was thought to produce a heightened sensitivity, spiritual refinement.”
วัณโรคถูกมองว่าเป็นโรคที่ก่อให้เกิดความอ่อนไหวที่สูงขึ้นและความลุ่มลึกทางจิตวิญญาณ ( Sontag, 1978)
เหตุผลที่ศตวรรษที่ 19 เชื่อมโยงโรคกับศิลปินและจิตวิญญาณ เพราะอิทธิพลของขบวนการโรแมนติก (Romanticism) ในช่วงนี้ ขบวนการโรแมนติกให้คุณค่ากับอารมณ์ ความรู้สึกที่ลึกซึ้ง และการแสดงออกทางศิลปะมากกว่าความมีเหตุผลและความเป็นวิทยาศาสตร์ที่โดดเด่นในยุคก่อนหน้า ดังเช่นวัณโรค ซึ่งเป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยดูซีดเซียวและอ่อนแอ ถูกมองว่าเป็นสัญลักษณ์ของ “ความงามอันเปราะบาง” และ “ความลุ่มลึกทางจิตใจ” รวมทั้งการที่ผู้ป่วยวัณโรคมีรูปร่างผอมบางและใบหน้าซีดขาว บางครั้งก็ถูกมองว่าสะท้อนถึงการหลุดพ้นจากความต้องการทางโลก และใกล้ชิดกับความบริสุทธิ์ทางจิตวิญญาณ
ตัวอย่างในวรรณกรรมเรื่อง “La Dame aux Camélias” (The Lady of the Camellias) ของ Alexandre Dumas fils ตัวละครหญิง Marguerite เสียชีวิตจากวัณโรค และภาพของเธอถูกนำเสนอว่าเปราะบาง งดงาม และเสียสละ หรือ ผลงานโอเปร่า “La Traviata” ของ Giuseppe Verdi ดัดแปลงจากนิยายเรื่องนี้ โดยเน้นความงดงามและความทุกข์ของตัวละครที่ป่วยวัณโรค
หรือความเชื่อเรื่องความทุกข์เป็นแรงบันดาลใจของศิลปิน ที่มีความเชื่อว่า “ความทุกข์” ของศิลปินช่วยให้พวกเขาสร้างสรรค์ผลงานที่ลึกซึ้งและทรงพลังยิ่งขึ้นฝ
ตัวอย่างเช่น กวี John Keats ซึ่งเสียชีวิตจากวัณโรคในปี 1821 ถูกมองว่าเป็นศิลปินผู้มีจิตวิญญาณสูงส่งและได้รับแรงบันดาลใจจากความทุกข์ทางกายและใจ ตัวอย่างนักเขียนและนักแต่งเพลงในยุคนั้น เช่น Frédéric Chopin และ Emily Brontë ก็มีชื่อเสียงในฐานะผู้สร้างผลงานที่ลึกซึ้งในช่วงเวลาที่พวกเขาป่วยด้วยวัณโรค
รวมทั้งการเชื่อมโยงโรคกับศีลธรรมและความเป็นอุดมคติ เนื่องจากในศตวรรษที่ 19 มีการมองวัณโรคว่าเป็น “โรคของคนชั้นสูง” หรือคนที่มีจิตใจละเอียดอ่อน แตกต่างจากโรคอื่น ๆ เช่น กาฬโรคหรือไข้เหลือง ที่เกี่ยวข้องกับความสกปรกและคนชนชั้นล่าง โดยผู้ที่ป่วยด้วยวัณโรคถูกมองว่าเป็นคนที่อยู่ในระดับจิตวิญญาณที่สูงกว่า และความเจ็บป่วยของพวกเขาสะท้อนถึงความเสียสละหรือความบริสุทธิ์
ตัวอย่างเชิงวรรณกรรมและศิลปะ เช่น John Keats กวีโรแมนติกชาวอังกฤษ ผู้ป่วยและเสียชีวิตจากวัณโรคตอนอายุ 25 ปี ผลงานของเขา เช่น “Ode to a Nightingale” มักสะท้อนความคิดเกี่ยวกับความทุกข์ ความตาย และความงดงามของชีวิตที่เปราะบาง Frédéric Chopin นักแต่งเพลงและนักเปียโนชาวโปแลนด์ ที่ป่วยวัณโรคในช่วงบั้นปลายชีวิต งานของเขามีความลึกซึ้งและสะท้อนอารมณ์โศกเศร้าอย่างชัดเจน เช่น “Nocturnes” และ “Prelude in E Minor” หรือ Émile Zola และ “La Traviata”
ตัวละครในวรรณกรรม เช่น มาร์กาเร็ต ใน “La Traviata” ของ Verdi และตัวละครหญิงในนิยายของ Émile Zola มักถูกสร้างภาพลักษณ์ให้มีความงามที่เชื่อมโยงกับความอ่อนแอจากวัณโรค
สิ่งเหล่านี้เชื่อมโยงกับบริบททางการแพทย์และวัฒนธรรม ในศตวรรษที่ 19 วัณโรคยังไม่มีการรักษาที่มีประสิทธิภาพ ทำให้มันกลายเป็น “โรคเรื้อรัง” ที่แพร่กระจายในหมู่คนหนุ่มสาวและศิลปิน ภายใต้ความลึกลับของโรค (ก่อนที่จะมีความเข้าใจทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจน) ทำให้มันเป็นโรคที่เต็มไปด้วยความหมายเชิงสัญลักษณ์ ภาพลักษณ์ของวัณโรคในฐานะโรคที่ไม่เพียงทำลายร่างกาย แต่ยัง “ยกระดับ” จิตวิญญาณ ถูกสร้างขึ้นและเผยแพร่ผ่านวรรณกรรมและศิลปะ
ข้อสรุป วัณโรคในศตวรรษที่ 19 เป็นตัวอย่างของการที่ความเจ็บป่วยถูกนำมาตีความในเชิงสัญลักษณ์ สะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างวัฒนธรรม โรคภัย และความหมายทางจิตวิญญาณ แนวคิดนี้เป็นหนึ่งในจุดสำคัญที่ Susan Sontag วิพากษ์ใน “Illness as Metaphor” โดยเสนอให้มองโรคในฐานะปรากฏการณ์ทางกายภาพ ไม่ใช่ในฐานะสัญลักษณ์ที่สร้างความหมายซับซ้อนเกินจริง
หรือกรณีของโรคมะเร็งในศตวรรษที่ 20 โรคแห่งการต่อสู้และความพ่ายแพ้
ตัวอย่างเชิงรูปธรรม เช่น ผู้ป่วยมะเร็งมักถูกบอกว่าต้อง “ต่อสู้กับโรค” โดยใช้คำว่า “battle” หรือ “fight.” หากผู้ป่วยไม่หายจากโรค ก็มักถูกมองว่าพวกเขา “ล้มเหลว” ในการต่อสู้ ซึ่งสร้างแรงกดดันให้ผู้ป่วยต้องแสดงความเข้มแข็งแม้ในยามทุกข์ทรมาน
ื ในวัฒนธรรมสมัยใหม่ มะเร็งยังถูกใช้ในเชิงอุปมา เช่น การเรียกปัญหาทางสังคมว่า “a cancer on society” เพื่อเน้นความร้ายแรงและอันตราย
“Cancer is not just a disease but a demonic enemy: a cell gone mad.” ที่หมายถึงมะเร็งไม่ใช่เพียงโรคธรรมดา แต่ถูกมองว่าเป็นศัตรูอันชั่วร้าย เป็นเซลล์ที่คลุ้มคลั่ง ( Sontag,1978)
“Victims are instructed that they have to fight, and if they don’t get better, it’s their fault.”
ผู้ป่วยถูกสั่งให้ต่อสู้ และหากพวกเขาไม่หายดี ก็เหมือนว่ามันเป็นความผิดของพวกเขาเอง(Sontag,1978)
กรณี โรคเอดส์ในยุค 1980 ซึ่งโรคเแกส์กลายเป็นโรคที่ตีตราทางศีลธรรม ตัวอย่างเชิงรูปธรรม โดยในช่วงแรกของการระบาด โรคเอดส์ถูกมองว่าเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมทางเพศที่ “ผิดศีลธรรม” เช่น ความสัมพันธ์ของกลุ่ม LGBTQ+ และการใช้ยาเสพติด ส่งผลให้ผู้ป่วยถูกตีตราและถูกแยกออกจากสังคม หรือการใช้คำว่า คำว่า “gay plague” (กาฬโรคของคนรักเพศเดียวกัน) ถูกใช้ในสื่อ ซึ่งแสดงให้เห็นการใช้โรคเพื่อเป็นเครื่องมือของการเหยียดหยาม ดังเช่นตัวอย่าง ในหนังสือ ”AIDS, like cancer, is understood as a disease not only of the body but of the society.”
เอดส์ เช่นเดียวกับมะเร็ง ถูกมองว่าเป็นโรคที่ไม่เพียงกระทบต่อร่างกาย แต่ยังกระทบต่อสังคมโดยรวมด้วย (Sontag,1978)
ดังนั้นสิ่งที่น่าสนใจในงานของ Sontag คือ การวิพากษ์การใช้อุปมาเชิงศีลธรรมกับโรค สังคมมักใช้อุปมาเพื่อสร้างความกลัวและควบคุมพฤติกรรม เช่น การเปรียบมะเร็งว่าเป็น “โรคแห่งความเครียด” ซึ่งทำให้ผู้ป่วยที่มีวิถีชีวิตเครียดรู้สึกผิดว่าตนเองเป็นสาเหตุของโรค หรือการเปรียบโรคเอดส์ว่าเป็น “ผลกรรม” ของการใช้ชีวิตแบบผิดศีลธรรม ทำให้ผู้ป่วยรู้สึกถูกประณามแทนที่จะได้รับการช่วยเหลือ ดังที่ Sontag บอกว่า “The metaphorical thinking adds to the stigma, which is already painful enough.”
(การตีความเชิงอุปมาทำให้การตีตราซึ่งเจ็บปวดอยู่แล้ว ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น( Sontag, 1978)
การเรียกร้องให้มองโรคโดยปราศจากอุปมา แทนที่จะมองโรคมะเร็งหรือโรคเอดส์ในเชิงสัญลักษณ์ เราควรเข้าใจว่ามันเป็นโรคที่เกิดจากปัจจัยทางชีวภาพและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาโดยปราศจากความอับอายหรือความรู้สึกผิด ดังคำกล่าวที่ว่า “The most truthful way of regarding illness is one purified of metaphoric thinking.” วิธีที่ซื่อตรงที่สุดในการมองโรค คือการปลดปล่อยมันจากการตีความเชิงอุปมา (Sontag,1978)
ดังนั้น การใช้อุปมาเชิงศีลธรรมและสัญลักษณ์กับโรคภัยในวัฒนธรรมต่าง ๆ มีผลกระทบอย่างลึกซึ้งต่อผู้ป่วย ทั้งในแง่ของการสร้างภาพลักษณ์ของโรคและการตีตราผู้ป่วย Sontag ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญของการปลดปล่อยโรคจากอุปมา เพื่อให้ผู้คนสามารถมองโรคในฐานะปรากฏการณ์ทางกายภาพอย่างแท้จริง และลดผลกระทบเชิงลบที่เกิดจากการตีตรา
เราสามารถใช้แนวคิดจาก Sontag ในการวิเคราะห์วิธีที่สังคมมองโรคในยุคปัจจุบัน และสร้างความเข้าใจใหม่ที่ลดการตีตราทางสังคมต่อผู้ป่วน
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น