ความตายใครกำหนด และความตายกลายเป็นมหรสพ แนวคิดThanatopolitics, Necropolitics และ Homo Sacer โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
แนวคิด Thanatopolitics มาจาก Michel Foucault ในหนังสือ Society Must Be Defended ที่รวมการบรรยายของเขา และได้รับการพัฒนาเพิ่มเติมโดยนักคิดร่วมสมัย เช่น Giorgio Agamben และ Achille Mbembe
แนวคิด Thanatopolitics ฃอง Michel Foucault
Foucault ได้เสนอแนวคิดเรื่อง Biopolitics ซึ่งเป็นแนวคิดว่าด้วยอำนาจที่รัฐใช้ควบคุมชีวิตของประชาชนผ่านสถาบันต่างๆ เช่น โรงพยาบาล ระบบกฎหมาย และระบบเศรษฐกิจ ต่อมามีการขยายแนวคิดนี้ไปสู่ Thanatopolitics ซึ่งหมายถึง “การเมืองแห่งความตาย” คือ อำนาจของรัฐที่ไม่ได้ควบคุมแค่การดำรงชีวิต แต่ยังรวมถึงการตัดสินว่าใครสมควรตาย
แนวคิดนี้เชื่อมโยงกับประโยคของ Foucault ว่า “อำนาจอธิปไตยดั้งเดิมคืออำนาจในการทำให้มีชีวิต หรือปล่อยให้ตาย” (Make live or let die)
ตัวอย่างเช่น การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, การปล่อยให้กลุ่มคนบางกลุ่มถูกทอดทิ้งจนเสียชีวิต, หรือการทำสงครามเพื่อผลประโยชน์ของรัฐ เป็นต้น
ต่อมา Agamben พัฒนาแนวคิด Thanatopolitics เพิ่มเติมโดยใช้กรณีของ Homo Sacer (บุคคลที่สามารถถูกฆ่าได้โดยไม่ถือเป็นอาชญากรรม)
Agamben วิเคราะห์ว่า ค่ายกักกันของนาซีและสถานการณ์ฉุกเฉินทางการเมือง เป็นตัวอย่างของ Thanatopolitics ที่รัฐมีอำนาจกำหนดว่าใครควรถูกปล่อยให้ตาย แนวคิดนี้ถูกใช้ในการวิเคราะห์ นโยบายการกักกันผู้อพยพ, การก่อการร้าย, และมาตรการฉุกเฉินของรัฐ
หรือ Necropolitics ของ Achille Mbembe
Achille Mbembe ได้ขยายแนวคิด Thanatopolitics ไปสู่ Necropolitics ซึ่งเน้นว่า รัฐและอำนาจอาณานิคมไม่ได้แค่ควบคุมความเป็นความตายของประชาชน แต่ยังสามารถเปลี่ยนพื้นที่บางแห่งให้เป็น “โซนแห่งความตาย” ได้ ตัวอย่างเช่น สงคราม, การใช้โดรนโจมตี, การปล่อยให้โรคระบาดแพร่กระจายในกลุ่มคนชายขอบ
อำนาจของรัฐและชนชั้นนำสามารถกำหนดว่าใครควรถูกปล่อยให้ตายหรือถูกใช้เป็นเครื่องมือของสงครามและการเมือง ทำให้เกิด “ชีวิตที่ไม่คู่ควรแก่การไว้อาลัย” ในขณะที่ความตายของบุคคลสำคัญหรือคนรวยได้รับการไว้อาลัยอย่างยิ่งใหญ่ ความตายของคนยากจนหรือผู้ลี้ภัยกลับถูกเพิกเฉย
Mbembe เน้นว่า คนบางกลุ่ม (เช่น ผู้อพยพ แรงงานข้ามชาติ หรือกลุ่มที่ไม่มีสิทธิพลเมือง) สามารถถูกทำให้ “ไม่มีตัวตน” และถูกปล่อยให้ตายโดยที่ไม่มีใครสนใจ
ตัวอย่างเชิงประวัติศาสตร์และปัจจุบัน อย่างเช่น นาซีเยอรมนี ที่รัฐตัดสินว่าใครสมควรมีชีวิต (เยอรมันที่เชื้อสายอารยัน) และใครสมควรถูกทำลาย (ชาวยิว, LGBTQ+, คนพิการ และอื่นๆ)
สงครามต่อต้านการก่อการร้าย เช่น การใช้โดรนสังหารเป้าหมายโดยที่คนเหล่านั้นไม่มีโอกาสได้รับการพิจารณาคดี
หรือนโยบายปล่อยให้คนตาย อย่างเช่น การเพิกเฉยต่อผู้อพยพที่จมน้ำในทะเล หรือการปล่อยให้โรคระบาดส่งผลกระทบต่อคนยากจน
โดยสรุปแนวคิดของทั้ง 3 คน
Thanatopolitics แนวคิดจาก Michel Foucault ว่าด้วยการเมืองแห่งความตาย รัฐมีอำนาจในการกำหนดว่าใครควรมีชีวิตและใครสมควรตาย
Giorgio Agamben พัฒนาแนวคิดนี้ผ่านแนวคิด Homo Sacer ซึ่งชี้ว่าอำนาจรัฐสามารถทำให้คนบางกลุ่มถูกฆ่าโดยไม่มีความผิด
Achille Mbembe ได้ขยายแนวคิดไปสู่ Necropolitics ซึ่งวิเคราะห์ว่ารัฐสามารถสร้างโซนแห่งความตายและกำหนดว่าใครเป็น “ชีวิตที่ไร้ค่า”
ในปัจจุบัน ผมสนใจแนวคิดที่ใช้ในการอธิบาย ความตายกับมุมมองของมหรสพความบันเทิงของชนชั้นนำ ในการเชื่อมโยงความตายกับความบันเทิง โดยเฉพาะในบริบทของชนชั้นนำ สามารถอธิบายได้ผ่านหลายแนวคิดทางปรัชญา สังคมวิทยา และมานุษยวิทยา เช่น แนวคิด Spectacle ของ Guy Debord, Biopolitics ของ Michel Foucault, Thanatopolitics และ Necropolitics ของ Achille Mbembe และ แนวคิดเกี่ยวกับ “The Culture Industry” ของ Theodor Adorno และ Max Horkheimer
แนวคิดของ Guy Debord ในงาน Society of the Spectacle (สังคมแห่งมหรสพ) ที่มองว่า ความตายกลายเป็น “มหรสพ” ที่ชนชั้นนำผลิตขึ้นเพื่อควบคุมประชาชนและสร้างการเบี่ยงเบนความสนใจ ทำให้ความตายของคนอื่นกลายเป็นความบันเทิง ตัวอย่างเช่น สื่อกระแสหลักรายงานสงคราม, การฆาตกรรม, และโศกนาฏกรรมในรูปแบบที่น่าตื่นเต้นเพื่อดึงดูดผู้ชม อาทิ การรายงานข่าวสงครามที่มีการใช้กราฟิกสวยงามและซาวด์ดนตรีเพื่อให้เกิดอารมณ์ร่วม (เช่น การรายงานข่าวสงครามอิรักใน CNN)
ความบันเทิงของผู้คน ในการบริโภคข่าวสารเกี่ยวกับความตายของคนจนหรือคนชายขอบโดยไม่รู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ เช่น การดูสารคดีเกี่ยวกับชีวิตในสลัมหรือสงครามกลางเมือง เป็นต้น ที่เชื่อมโยงกับผู้มีอำนาจสามารถใช้สื่อและอุตสาหกรรมบันเทิงเพื่อทำให้ความตายของผู้อื่นเป็นเพียง “ภาพ” ที่ถูกบริโภคโดยสาธารณชน รวมถึงการใช้ชีวิตของทหาร, นักโทษ, หรือแรงงานข้ามชาติเป็นเพียง “ตัวละครประกอบ” ในเรื่องเล่าของสื่อ
ในประเด็นความบันเทิงของชนชั้น ผมมองว่าในงานของ Theodor Adorno ในเรื่อง The Culture Industry เสนอแนวคิดหลักในอุตสาหกรรมวัฒนธรรมทำให้ความตายกลายเป็นสินค้าเพื่อขายความบันเทิง
ความตายถูกทำให้เป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมบันเทิง เช่น การบริโภคภาพยนตร์, เกม, และรายการที่เต็มไปด้วยความรุนแรงโดยไม่มีการตั้งคำถาม ตัวอย่างเช่นภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่นำเสนอสงครามหรือการฆาตกรรมให้ดูปกติ เรียบเฉย สนุก และสวยงาม เช่น The Hunger Games, Squid Game, หรือ Gladiator
ชนชั้นนำสามารถใช้ความรุนแรงเพื่อสร้างกำไรผ่านภาพยนตร์, ซีรีส์, และข่าวเชิงดราม่า
แนวคิดเหล่านี้สามารถนำมาอธิบายกรณีศึกษาเกี่ยวกับความตายที่ถูกทำให้เป็นความบันเทิงของชนชั้นนำที่ไม่แตกต่างจาก การประหารชีวิตในยุคกลางกษัตริย์และขุนนางใช้การประหารในที่สาธารณะเป็นมหรสพให้ประชาชนรับชม เพื่อสร้างความหวาดกลัวและย้ำอำนาจของรัฐ หรือ การต่อสู้ของนักรบโรมัน (Gladiators) ซึ่งทาสและเชลยศึกถูกนำมาใช้เป็นนักสู้ในโคลอสเซียมเพื่อสร้างความบันเทิงให้ชนชั้นสูง รวมถึงรายการเรียลลิตี้โชว์ที่ใช้ความรุนแรงและความทุกข์ของคนจนเป็นความบันเทิง เช่น รายการที่นำคนไร้บ้านหรือคนติดยาเสพติดมาแข่งขันกัน อีกทั้ง วัฒนธรรมการบริโภคข่าวอาชญากรรมและสงคราม คนชั้นสูงสามารถติดตามข่าวสงครามหรืออาชญากรรมจากระยะไกล โดยไม่ต้องรับผลกระทบโดยตรง ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่า ชนชั้นนำมีอำนาจในการกำหนดว่าใครควรตาย และยังสามารถใช้ความตายนั้นเป็นเครื่องมือสร้างความบันเทิงและควบคุมมวลชน ผ่านสื่อ อุตสาหกรรมบันเทิงด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น