ข้อถกเถียงว่าด้วยแนวคิดเกี่ยวกับร่างกาย
:
ร่างกายสองส่วน(Two Bodies)กับร่างกายสามส่วน(Three
Bodies)
ภายใต้องค์ความรู้ที่ศึกษาเกี่ยวกับร่างกายภายใต้วิธีคิดทางปรัชญา
วิทยาศาสตร์และสังคมศาสตร์ สามารถที่จะนำไปสู่การถกเถียงเกี่ยวกับร่างกายใน 3ลักษณะ
1.
ร่างกายแบบทวิลักษณ์ การโต้เถียงว่าด้วยแนวคิดร่างกายสองอย่าง (Debate
and Argument about Two bodies)
2.
จากร่างกายทางสังคมและร่างกายทางกายภาพ(Social body and
Physical body) ไปถึงการเมืองเรื่องร่างกาย (Body politics) ความคิดเรื่องร่างกายสามอย่าง (Three bodies)
3.
ร่างกายที่เป็นวัตถุหรือผู้ถูกกระทำกับร่างกายที่เป็นองค์ประธานหรือผู้กระทำ
(Body Matter or subjectivity)
นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศสและนักชาติพันธ์วิทยา
อย่างเช่น มาร์เซล มอสส์ (Marcel Mauss ,1872–1950) ซึ่งเป็นผู้นำหรือผู้บุกเบิกในการศึกษาเรื่องของการบ่มเพาะปลูกฝังขัดเกลา(embodiment) ในทางสังคมวิทยาและชาติพันธุ์วิทยา
โดยเขาได้ตั้งข้อสังเกตว่าในกระบวนการขัดเกลาทางสังคม(socialisation)และการเรียนรู้แบบแผนทางวัฒนธรรม(enculturation)
การสร้างความเป็นปัจเจกบุคคลหรือลักษณะเฉพาะ(personalize)ในร่างกายของผู้คนล้วนมีความเฉพาะ
มาร์เซล มอสส์ได้ใช้ชุดคำอธิบายว่าด้วยจริตหรือนิสัย(habitus)
เขาบรรยายความซับซ้อนของจริตทางร่างกายว่าเป็นเทคโนโลยีของร่างกายหรือเทคนิคทางร่างกาย(techniques
of the body)ที่นำไปสู่หนังสือชิ้นสำคัญของมอสส์คือ “Les
techniques du corps” หรือ Techniques of the body ในปี1934 มาร์เซล มอสส์ ได้ให้ความเห็นที่น่าสนใจว่า
ร่างกายคือสิ่งแรกเริ่มของความเป็นมนุษย์และเป็นเครื่องมือที่เป็นธรรมชาติมากที่สุดของมนุษย์ที่เป็นเสมือนวัตถุทางเทคนิค(technical
object) วิธีการทางเทคนิค(technical means)ที่ใช้ร่างกายเป็นพื้นที่สำคัญ
(Mauss, 2007: 56) โดยเทคนิคของร่างกายสะท้อนให้เห็นตัวของพวกเขาเองในชีวิตประจำวันและวิถีทางของการตัดสินใจ
หลังจากนั้นนักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศสอีกกท่านหนึ่งได้พัฒนาวิธีคิดนี้ต่อ
Pierre
Bourdieu (1930–2002)
โดยแนวคิดของเขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน โดยแฮร์บิทัส( habitus) คือพื้นนิสัย(dispositions) ความโน้มเอียง(inclinations)และเงื่อนเริ่มต้น(preconditions)
ที่ปัจเจกบุคคลได้รับในช่วงเวลาเริ่มต้นของชีวิตและเป็นรูปแบบของการตัดสินใจเบื้องต้นในรูปแบบของการคิด(thinking) การรับรู้(perception)และการประเมินค่า(evaluation) ในขณะเดียวกันมันก็เขียนหรือผลิตตัวมันเองในร่างกายของมนุษย์ที่นำไปสู่วิถีทางแห่งพฤติกรรม(ways
of behaving) การใช้ประโยชน์เชิงร่างกาย(physical avocations)และการดูแลรักษาร่างกายของตัวเอง(own body treatment) บูดิเยอร์พิจารณาว่าร่างกายเป็นเช่นเดียวกับผลผลิตที่ได้จากตำแหน่งทางสังคม(products
of social positions)ของมนุษย์ (Bourdieu, 1998)
ในงานของแมรี่ ดักลาส
ชื่อความบริสุทธิ์และอันตราย “Purity and Danger”
(1966)และสัญลักษณ์ทางธรรมชาติ “Natural Symbols” (1970) ที่แนวความคิดของเธอใช้สำรวจความซับซ้อนของร่างกายมนุษย์
ภายใต้การแบ่งแยกความแตกต่างระหว่างร่างกายทางกายภาพ(physical body)กับร่างกายทางสังคม(social body) ดักลาสมองว่า
สังคมคือสิ่งที่เป็นปรากฏการณ์ที่อยู่เลยไปจากความเป็นปัจเจกบุคคล (a
beyond-individual phenomenon) ที่เป็นการตัดสินใจเริ่มต้นในแนวทางที่ร่างกายทางกายภาพจะเป็นสิ่งซึ่งถูกทำให้รับรู้และถูกทำให้เป็นประสบการณ์ของกระบวนการทางกายภาพ
วัฒนธรรมกำหนดความหมายที่นำไปสู่หน้าที่ของร่างกาย
ภายใต้การรับรู้และการพิจารณาเกี่ยวกับความไม่สะอาดหรืออันตราย
กับความน่าพอใจหรือพึงปรารถนาและความสะอาด
แนวคิดเรื่องร่างกายสามส่วน(three
bodies) ไม่ใช่แค่การแบ่งแยกหน่วยของการวิเคราะห์ (units of
analysis) แต่มันยังเกี่ยวข้องกับวิธีการเชิงทฤษฎี (theoretical
approaches)และญาณวิทยา(epistemologjes) โดยแบ่งออกเป็น
3 ลักษณะคือ
1.ร่างกายของปัจเจกบุคคลหรือการมีอยู่ของตัวตน(individual
body/ the lived self) อยู่ภายใต้วิธีคิดแบบปรากฏการณ์วิทยา(phenomenology) โดยระดับนี้เป็นสิ่งเน้นย้ำอยู่บนเรื่องของตัวตน(self-evident
level) คือร่างกายของปัจเจกชน ความเข้าใจผัสสะทางปรากฏการณ์วิทยาของประสบการณ์ของชีวิต
(the lived experience) ในร่างกายของตัวเอง(the
body-self) พวกเราอาจมีข้อสมมติฐานในเชิงเหตุผลว่า
ผู้คนทั้งหมดมีการแชร์ความรู้สึกตามธรรมชาติ(intuitive sense)บางส่วนร่วมกันในการปลูกฝังหรือบ่มเพาะตัวตนของตัวเองเช่นเดียวกับส่วนที่ดำรงอยู่แยกจากร่างกายของปัจเจกบุคคลอื่นๆ(Mauss
1985[1938])
อัตลักษณ์ของตัวตน(self-
identity) หรืออัตลักษณ์ระดับปัจเจกชน (personal identity) เปลี่ยนแปลงไปกับบริบททางสังคม(social context)
โดยเฉพาะภายในลำดับชั้นของความสัมพันธ์ทางสังคมที่ถูกกำหนดตามช่วงเวลา
ตัวอย่างเช่นอัตลักษณ์ของเด็กคือสิ่งที่ถูกสร้างไปสู่การตอบสนองของคนอื่นๆ
ทั้งการปรับตัวคล้อยตามและการพึ่งพา
ซึ่งเป็นที่เข้าใจเกี่ยวกับสัญญะของความอ่อนแอในร่างกายของเด็ก ในขณะที่เมื่อเขาโตเป็นผู้ใหญ่พวกเขาถูกคาดหวังเกี่ยวกับความเข้มแข็ง
(Reischauer 1977:152)
ดังนั้นอัตลักษณ์ของปัจเจกบุคคลและอัตลักษณ์ทางสังคมเป็นเหมือนสองด้านของสิ่งเดียวกัน
“Individual identity and social identity are two sides of the same
coin" (1955:276)แม้ว่ามันจะแยกจากกันได้แต่ไม่สามารถขาดอันใดอันนึงไม่ได้
ซึ่งตัวตนเชิงอัตลักษณ์เป็นสิ่งที่ปัจเจกบุคคลใช้อธิบายเกี่ยวกับตัวเอง ค่านิยม
ความสนใจ อุปนิสัยและอื่นๆ หรือกล่าวอย่างง่ายคือฉันมองตัวฉันอย่างไร โดยเป็นอัตลักษณ์ที่ไม่ถูกนิยามหรือกำหนดโดยเครือญาติ
ความเป็นเพื่อนบ้าน(neighborhood)หรือกลุ่มอ้างอิงทางสังคมอื่นๆ(social
claims)นั่นคือการมองตัวฉันอย่างที่คนอื่นมองหรือสังคมที่เข้ามากำหนดบทบาทหน้าที่บางอย่างให้
2.ร่างกายของสังคม(social
body) อยู่ภายใต้วิธีคิดแบบโครงสร้างนิยมและสัญลักษณ์นิยม(structuralism
and symbolism) โดยการวิเคราะห์ร่างกายทางสังคม
อ้างอิงไปยังการใช้ภาพแสดงหรือภาพตัวแทนเกี่ยวกับร่างกาย(the representational
uses of the body) เช่นเดียวกับสัญลักษณ์ทางธรรมชาติ
พร้อมกับความคิดเกี่ยวกับธรรมชาติ สังคมและวัฒนธรรม โดยร่างกายในระบบสุขภาพได้ให้โมเดลเกี่ยวกับองค์คาพยพหรือร่างกายแบบอินทรีย์ทั้งหมด
ตัวอย่างเช่น ร่างกายของความเจ็บป่วยได้ให้โมเดลของความไม่กลมกลืน(disharmony) ความขัดแย้ง(conflict)
การไม่เป็นกลุ่มก้อนเดียวกัน(disintegration)
ในขณะที่ประเด็นเหล่านี้มีความสัมพันธ์กับสังคมในเรื่องของความเจ็บป่วย (sickness)สุขภาพ(health)ได้ให้รูปแบบสำหรับการทำงานและความเข้าใจในประเด็นทางสุขภาพ
ตัวอย่าง
งานศึกษาของพิมพวัลย์ บุญมงคล (2550)ในการศึกษาเรื่องของโรคเรื้อน
ซึ่งในทางการแพทย์เกิดจากเชื้อแบคทีเรีย (Mycobacterium Leprae) ซึ่งมีระยะเวลาฟักตัวของโรคนานประมาณ6 เดือน-15 ปี ซึ่งโรคเรื้อนทำให้เกิดอาการที่เส้นประสาทส่วนปลาย
ผิวหนังและเยื่อบุจมูก
ซึ่งปัจจุบันโรคเรื้อนเป็นส่วนติดต่อที่ไม่ร้ายแรงและติดต่อทางระบบทางเดินหายใจ
โดยอาการของโรคจะเริ่มจากผิวหนังเป็นวงด่างขาว
เมื่อปล่อยไว้จะเกิดอาการตุ่มและผิวหนังนูนแดงหนาและหมดความรู้สึกที่ปลายประสาทและกล้ามเนื้อที่นิ้วมือและเท้า
นิ้วมือนิ้วเท้าจะเกิดอาการหดสั้น งอและเกิดความพิการที่นิ้วมือนิ้วเท้า เกิดลักษณะที่นิ้วมือนิ้วเท้ากุด
ชาวบ้านส่วนใหญ่มักเรียกโรคเหล่านี้ว่าขี้ทูตกูดถัง และเป็นโรคที่สังคมรังเกียจ
เกิดความรู้สึกกลัว ขยะแขยง ไม่กล้าเข้าใกล้ สัมผัสและอยู่ใกล้ชิด
ภายใต้ความเชื่อที่ว่าหากสัมผัสของเหลวสารคัดหลังที่เป็นเลือด น้ำหนอง
น้ำลายจะติดเชื้อโรคเรื้อนได้ โรคเรื้อนจึงถูกผลิตตราบาป
ความสกปรกและภยันตรายที่สัมพันธ์กับร่างกายภายใต้โรคเรื้อน
โรคเรื้อนจึงเป็นสิ่งที่ถูกประกอบสร้างและก่อร่างสร้างขึ้นจากสังคมและวัฒนธรรม(Social
and Cultural construction)
แนวคิดของ Scheper-Hughes
and Lock (1987:18-19) เน้นว่า
นักมานุษยวิทยาโครงสร้างและสัญลักษณ์ได้ชี้ให้เห็นความสำคัญของร่างกายเป็นหน่วยของการวิเคราะห์
อวัยวะของมนุษย์และผลผลิตของอวัยวะได้แก่เลือด น้ำนม น้ำตา น้ำอสุจิ เป็นต้น
สิ่งเหล่านี้สามารถถูกใช้เป็นแผนที่แห่งความเข้าใจโดยใช้เป็นตัวแทนของธรรมชาติ
สิ่งเหนือธรรมชาติตลอดจนความสัมพันธ์ทางสังคมและกายภาพ ดังที่Mary Douglas บอกว่าร่างกายทางกายภาพจะถูกรับรู้ภายใต้เงื่อนไขทางสังคมเป็นผู้กำหนด
นั่นคือการเป็นร่างกายทางสังคม ดังเช่นกรณีของโรคเรื้อน
ที่มีลักษณะเป็นโรคที่มีอาการทางกายภาพให้เห็นชัดเจน ได้แก่เลือด หนอง เหงื่อไคล
ที่มาจากร่างกาย ร่างกายของผู้ป่วยจึงสัมพันธ์กับแนวคิดของชาวบ้านเกี่ยวกับความสกปรกและภยันอันตราย
ภายใต้แนวคิดเกี่ยวกับความสกปรกที่เชื่อมโยงหรือเป็นผลที่เกิดจากการสัมผัสซึ่งสอดคล้องกับอิทธิพลทางความรู้เกี่ยวกับอวัยวะที่เป็นสมมติฐานของโรค(Douglas
1966:3) เลือดและหนองกลายเป็นสัญลักษณ์ของความสกปรก
และเนื้อตัวร่างกายของผู้ป่วยโรคเรื้อนที่เป็นตัวนำเชื้อโรคของความสกปรกออกมา
การสัมผัสกับเลือด หนองหรือร่างกายของผู้ป่วยจึงเสมือนกับการสัมผัสซากศพ เชื้อโรค
ที่เป็นสัญลักษณ์ของความไม่สะอาด การแพร่เชื้อและอันตราย
ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าการประกอบสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมเกี่ยวกับร่างกายเป็นสิ่งที่ถูกใช้ประโยชน์ในการสนับสนุนความคิดที่มีความเฉพาะทางสังคมและความสัมพันธ์ทางสังคม
การจัดแบ่ง จำแนกแยกประเภทชนชั้นของคนในสังคม ความปกติและความไม่ปกติ
3.ร่างกายทางการเมือง(the
body politic)อยู่ภายใต้วิธีคิดแบบหลังโครงสร้างนิยม (post-structuralism) โดยในการวิเคราะห์ระดับที่3 ที่เป็นเรื่องของการเมืองว่าด้วยร่างกาย
เชื่อมโยงกับเรื่องของการวางระเบียบ(regulation) การสอดส่อง(surveillance) และการควบคุม(control)ร่างกาย
ทั้งในระดับปัจเจกชนและระดับกลุ่มในเรื่องของการผลิตซ้ำ(reproductive) เช่นการตั้งครรภ์ การคุมกำเนิด และเพศวิถี(Sexuality) ในการใช้ชีวิต การทำงานและการใช้เวลาว่าง
ในประเด็นของสุขภาพและความเจ็บป่วย
รวมถึงรูปแบบของการเบี่ยงเบนและความแตกต่างของมนุษย์
ความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายของปัจเจกบุคคลและร่างกายทางสังคมมีความเกี่ยวข้องกันอย่างมาก
อย่างไรก็ตามอุปมาอุปไมย(metaphors)
และภาพตัวแทนร่วม(collective representations) ของธรรมชาติและวัฒนธรรม
ความสัมพันธ์ดังกล่าวเกี่ยวข้องกับอำนาจและการควบคุมด้วย
ตัวอย่างเช่นการตกแต่งร่างกาย(Body decoration)
คือวิธีการที่นำไปสู่อัตลักษณ์ตัวตนทางสังคม(social and self-identities)
เป็นสิ่งที่ถูกประกอบสร้างและถูกแสดงออกมา(Strathem and Strathem 1971)
เสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม(Clothing)และรูปแบบอื่นๆของการประดับตกแต่งร่างกาย
(adornment)
กลายเป็นเหมือนเครื่องมือทางภาษาที่ซึ่งนำไปสู่การแสดงออกในอัตลักษณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม
ในด้านหนึ่ง
การควบคุมร่างกายในช่วงเวลาที่เผชิญวิกฤตการณ์ สังคมจะควบคุมการผลิตซ้ำและการจัดเกลาหล่อหลอมประเภทหรือลักษณะของร่างกายที่สังคมมีความต้องการ
ดังเช่นตัวอย่างสังคมที่ต้องต่อสู้หรือถูกรุกรานจากศัตรู
บ่อยครั้งต้องการความป่าเถื่อนดุร้ายและหัวใจของความเป็นนักรบ
ดังเช่นชนเผ่ายาโนมาโม่ ผู้ซึ่งเป็นชนเผ่า Amerindian ที่อาศัยอยู่ในป่าของลุ่มน้ำอะเมซอน โดยร่างกายของผู้ชายยาโนมาโม่(Yanomamo
males) เป็นทั้งสื่อและข้อความ(medium and message) เครื่องหมายกากบาทบนหัวกับแผลเป็นของการต่อสู้(battle scars)ที่นำไปสู่การย้อมสีแดง การเหลาฟัน การรักษาความสะอาดและการทำให้เกลี้ยงเกลาโดยการโกน
คือสิ่งที่ถูกแสดง รอยแผลของพวกเขาถูกสร้างให้มีความหมายในทางศาสนาและทางการเมือง
Yanomamo Warrior
ร่างกายในทางการเมืองหรือการเมืองของร่างกายในหลายสังคมรวมถึงสังคมของพวกเราเอง
ความถูกต้องสอดคล้องของร่างกายในทางสังคมและวัฒนธรรม เช่น ความสวยงาม(beautiful) ความแข็งแรง(strong)และความมีสุขภาพดี(healthy) ภายใต้การกำหนดความหมายที่นำไปสู่ความคิดเกี่ยวกับความอ้วน(obesity)และความผอม(thinness)และรูปแบบและทรวดทรงของสัดส่วนร่างกาย
รวมถึงโครงสร้างของฟัน(dental structure)
เช่นเดียวกับการจัดวางคุณค่าเกี่ยวกับ ความคงทน ความคล่องแคล่ว ความอุดมสมบูรณ์(fertility)และความยืนยาว(longevity)ที่บ่งชี้เกี่ยวกับความแข็งแรงและความมีสุขภาพ
เราสามารถสรุป
ร่างกาย 3
ส่วน ผ่านแนวคิดของ Margaret Lock และ
Nancy Scheper-Hughes (Lock, 1996:41-70) เป็นนักมนุษยวิทยาการแพทย์ที่ได้แสดงความคิดเห็นต่อแนวคิดเรื่องร่างกาย
ในประเด็นเกี่ยวกับการกำเนิดความหมายและความสัมพันธ์ระหว่างร่างกายใน 3 ระดับ ได้แก่
ร่างกายส่วนบุคคล/ร่างกายปัจเจก (The Individual body) เป็นร่างกายที่ก่อเกิดของประสบการณ์ชีวิต
(lived experience) เป็นส่วนที่มีความนึกคิด จิตวิญญาณ ที่มีต่อร่างกาย
และตัวตน (self) ของเรา เน้นการซึมซับผ่านร่างกาย (embodiment)
จนประกอบเป็นตัวตน และสื่อให้เห็นตัวตนและอัตลักษณ์ของตนเอง
ร่างกายทางสังคม
(The Social body) เป็นการใช้ร่างกายในฐานะที่เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์
(natural symbol) ของเรื่องต่างๆทั้งทางสังคมวัฒนธรรม เศรษฐกิจ
การเมือง โดยมีความเชื่อมโยงระหว่างธรรมชาติ สังคมและวัฒนธรรม
การตีความวิพากษ์จะเน้นที่การหาความหมายระหว่างโลกทางสังคมและธรรมชาติ
ซึ่งเป็นภาพสะท้อนถึงความเป็นมาและความสัมพันธ์ทางสังคมในบริบทต่างๆ ในมิติสุขภาพร่างกาย
เมื่อร่างกายเป็นโรคหรือเจ็บป่วย ก็จะสะท้อนให้เห็นภาพของสังคมที่มีความขัดแย้ง (disharmony)
แตกแยก (conflict) จนไม่สามารถทำหน้าที่ได้อย่างสมบูรณ์ตามปกติ
การเมืองร่างกาย
(The body Politic) เป็นเรือนร่างที่ถูกควบคุม
(regulations) สอดส่อง (surveillance) และกำกับ
(control) ในเรื่องของการเจริญพันธุ์ การทำงาน เวลาว่าง การเจ็บป่วย
เช่น การที่รัฐควบคุม
สร้างกฎเกณฑ์บังคับและสำรวจพฤติกรรมของร่างกายในระดับปัจเจกหรือกลุ่ม
เพื่อคงไว้ซึ่งความเรียบร้อยของสังคม เป็นการควบคุมตั้งแต่เกิดจนตาย
การเมืองร่างกายได้เข้าไปควบคุมประชากรหรือร่างทางสังคม
และสร้างวินัยให้กับร่างของปัจเจก
ในสังคมอุตสาหกรรมการควบคุมและกำกับร่างกายปัจเจกและร่างกายทางสังคมมีความซับซ้อน
ในงานของฟูโก้เอง ได้ชี้ให้เห็นถึงการควบคุมประชากรในสถาบันต่างๆ
สามารถทำได้โดยการทำให้ร่างกายกลายเป็นร่างที่เชื่อฟัง (docile body) และว่านอนสอนง่าย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดูแลรักษาสุขภาพให้มีสุขภาวะทั้งทางกายและสังคมที่ดี
(social well-being)
การศึกษาร่างกายทั้ง 3 ระดับ ไม่สามารถที่จะศึกษาแยกกันได้อย่างเด็ดขาด หากแต่พวกเราต้องวิเคราะห์ความคิดดังกล่าวเชื่อมโยงกัน
นอกจากนี้การใช้แนวคิดในการศึกษาก็มีความแตกต่างกัน กล่าวคือ
ในการศึกษาร่างกายปัจเจก จะให้ญาณวิทยาแบบปรากฏการณ์วิทยา การศึกษาร่างกายทางสังคม
จะใช้แนวคิดทางสัญลักษณ์และโครงสร้างนิยม ส่วนการศึกษาการเมืองร่างกาย
จะใช้แนวคิดหลังโครงสร้างนิยม ลักษณะคำถามที่ใช้ควรเป็นคำถาม “ทำไม” และ “อย่างไร” ในประเด็นของการประกอบสร้างทางสังคม
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น