มุมมองทางมานุษยวิทยา
(ANTHROPOLOGY
PERSPECTIVE)
การหายไปของมนุษย์ในมิติทาง
(Absent
of man)
มานุษยวิทยาเศรษฐกิจเริ่มแรกเน้นเกี่ยวกับชีวิตทางเศรษฐกิจของกลุ่มคนดั้งเดิม
ที่ซึ่งองค์ประกอบที่หลากหลายไม่ถูกแสดงในเศรษฐกิจแบบตะวันตก เช่น การใช้เงิน
ระบบตลาด การให้ความสำคัญของคนและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมเป็นสิ่งที่ขาดหายไปจากการศึกษาทางเศรษฐกิจ
ในขณะเดียวกันแม้จะเห็นมนุษย์ก็เป็นเพียงส่วนหนึ่งของการผลิตและการบริโภคที่เป็นผู้ถูกกระทำมากกว่าผู้กระทำหรือเป็นผู้เลือก(Choice
being)
การนำเสนองานชาติพันธ์วรรณา
(Present
of ethnography)
การสังเกตการณ์โดยตรงในสังคมที่ไม่ใช่ทุนนิยม
โดยใช้งานสนามทางชาติพันธ์วรรณา(ethnographic fieldwork)ที่สร้างให้เกิดข้อมูลในเชิงบริบทที่มากมายซึ่งเกี่ยวข้องกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ภายใต้วิถีหรือแนวทางที่นักมานุษยวิทยาค้นหาหรือมีปฏิกริยากับการเผชิญหน้ากับความหลากหลายนี้
และพวกเขาจัดการภายใต้กรอบคิดทฤษฎีที่นำไปสู่การโต้เถียงภายใต้มุมมองทางมานุษยวิทยาเศรษฐกิจอย่างไร
การถกเถียงภายใต้องค์ความรู้ในทางเศรษฐกิจ
(The
Intellectual Debates) ภายใต้คำถามหรือข้อถกเถียงใน4 ประเด็นคือ
1)
การนำไปใช้อย่างเป็นสากลของสังคมตะวันตกที่ผลิตประเภทของการวิเคราะห์
(the universal applicability of Western generated categories of analysis)
2) คำถามเกี่ยวกับเรื่องคุณค่าหรือมูลค่า(the
question of value)
3)
คำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และความเชื่อมโยงกับการเมือง (the
question of history and connectedness between polities)
4) การให้น้ำหนักกับวัฒนธรรม(การให้ความหมาย)
ในกระบวนการทางเศรษฐกิจ (the weight of culture (meaning) in economic
processes)
ปัญหาของการนำไปใช้อย่างเป็นสากลของความคิดแบบตะวันตกที่ผลิตประเภทของการวิเคราะห์ทางเศรษฐกิจ
ภายใต้ทฤษฎีของการกระทำที่มีเหตุผลในการพิจารณาการสร้างการตัดสินใจทางเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่ถูกต้องเท่านั้นในบริบทของเศรษฐกิจระบบตลาดในตะวันตก
และในคำจำกัดความที่แท้จริงเศรษฐกิจควรที่จะถูกให้ความหมายที่แตกต่างในสังคมอื่นๆ
ที่นำไปสู่การตั้งคำถามเกี่ยวกับการศึกษาทางเศรษฐกิจ ที่แบ่งออกเป็น2กลุ่ม กลุ่มแรกคือ กลุ่มที่เรียกตัวเองว่าพวกรูปแบบนิยม(formalist) ในขณะที่กลุ่มที่2เรียกตัวเองว่า พวกสสารนิยม (substantivist)ที่ติดตามความคิดของนักมานุษยวิทยาเศรษฐกิจชื่อ Kant Polanyi
ภายใต้คลื่นของการถกเถียงในช่วงปี1970
รวมถึงนักมานุษยวิทยาที่ทำงานกับโมเดลการตัดสินใจที่เป็นทางการ(formal
decision-making models) และนักมานุษยวิทยาสายมาร์กซิสต์ (Marxian
anthropologists) กับแนวคิดเรื่องของรูปแบบหรือวิถีการผลิต (mode
of production)
และประเด็นของการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจแบบทุนนิยม(capitalist economies)และการเชื่อมต่อของรูปแบบหรือวิถีของการผลิตที่แตกต่างหลากหลาย (Godelier
1977).
คำถามเกี่ยวกับเรื่องของคุณค่า
คือสิ่งที่สัมพันธ์กับหน้าที่ของการแลกเปลี่ยน(function of
exchange) ภายใต้ความสำคัญของการค้นหาความคล้ายคลึงกันและความแตกต่างเพื่อนำไปสู่การเปรียบเทียบ
เริ่มแรกคาร์ล มาร์กได้สร้างความแตกต่างระหว่างคุณค่าของการใช้ประโยชน์หรือคุณค่าใช้สอย(use
value)กับคุณค่าเชิงการแลกเปลี่ยน(exchange value) และความสามารถที่จะนำแนวคิดดังกล่าวไปประยุกต์ใช้กับสังคมที่ไม่ใช่ทุนนิยม(noncapitalist
societies)หรือสังคมชาวนา(peasant societies)ได้อย่างไร
ที่ซึ่งปัจจัยต่างๆของการผลิตเป็นสิ่งที่ไม่ถูกทำให้เป็นสินค้าอย่างเต็มที่ เช่น
ร่างกายตัวตนที่ยังไม่เป็นแรงงานในระบบตลาด
หรือผลผลิตที่เป็นไปเพื่อการบริโภคมากกว่าเป็นสินค้าสำหรับขาย เป็นต้น
ลำดับต่อมาก็คือทฤษฎีคลาสสิคของแรงงานเกี่ยวกับเรื่องมูลค่า(the classical
labor theory of value)
ว่ามันถูกใช้ในสังคมที่ซึ่งเป็นตลาดแรงงานได้อย่างไร
ลำดับที่สามคือทฤษฎีอรรถประโยชน์ชายขอบของมูลค่าใช้สอย(the marginal
utility theory of value)
ว่ามันสร้างความคิดเกี่ยวกับสินค้าที่มีการใช้ประโยชน์ออย่างหลากหลายและเป็นสิ่งที่ถูกให้คุณค่าที่สอดคล้องกับมาตรฐานหรือเครื่องมือของการวัดค่าที่แตกต่างกัน
สุดท้าย ทฤษฎีทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับคุณค่า(the cultural theory of value) เมื่อการให้ความหมายของท้องถิ่น(local meaning)เชื่อมโยงเกาะเกี่ยวกับวัตถุ(objects) ผู้คน(people)และสถานการณ์(situations) เป็นสิ่งที่ใช้วัดในเชิงคุณค่า ได้จัดวางปัญหาของความสามารถใช้เปรียบเทียบข้ามวัฒนธรรมในการเชื่อมโยงกับโลก
คำถามเกี่ยวกับประวัติศาสตร์และการเชื่อมโยงทางการเมือง
ความจำเป็นกับการคิดในเชิงประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการเปลี่ยนผ่านของความสัมพันธ์ทางสังคมและความต้องการศึกษาการเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างความแตกต่างทางสังคมกับเรื่องของเวลา
ปัญหาเหล่านี้เป็นลักษณะเด่นเฉพาะที่มีอิทธิพลต่อนักมานุษยวิทยาโดยทฤษฎีว่าด้วยระบบและทฤษฎีของการพึ่งพา
โดยนักมานุษยวิทยามาร์กซิสต์ชาวยุโรปที่มองในมิติมุมมองในทางเศรษฐศาสตร์การเมืองทางมานุษยวิทยา(Roseberry,1988) โดยเป้าหมายเพื่อนำไปสู่กระบวนการทำความเข้าใจท้องถิ่น
เช่นเดียวกับทั้งการถูกจัดวางหรือออกแบบและการดำเนินการที่พึ่งพาบนกระบวนการที่ใหญ่กว่าในการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์(Wolf,1982)
ลำดับสุดท้ายคือการให้น้ำหนักเกี่ยวกับวัฒนธรรม(The weight of
culture)การให้ความหมาย / (Meaning) ในกระบวนการทางเศรษฐกิจ
ลักษณะทางวัฒนธรรมได้จับยึดคำอธิบายในทางมานุษยวิทยาเศรษฐกิจเป็นหลัก
ดังเช่นบริบทที่ซึ่งกิจกรรมในเชิงวัตถุ(Material activities)ได้เกิดขึ้น
นักมานุษยวิทยาได้ใช้ชุดคำว่า เศรษฐกิจเชิงศีลธรรม(moral economies) เพื่ออ้างถึงศีลธรรมในระดับปัจเจกบุคคลและระดับกลุ่มและคุณค่าทางวัฒนธรรม(Cultural
values) ที่แพร่ไปสู่ความสัมพันธ์ทางสังคมเศรษฐกิจ(economic
social relations)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น