พัฒนาการและต้นกำเนิดของมานุษยวิทยาว่าด้วยร่างกาย
(Anthropology
of body)
จอห์น
แอนโธนี่ แรนดอล เบลคกิ้ง (John
Anthony Randoll Blacking (1928–1990))
ได้แนะนำเกี่ยวกับมานุษยวิทยาร่างกาย (1977)ที่เขาได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับวิชาและกรอบความคิดทางฤษฎีของสนามย่อยๆของการศึกษาทางมานุษยวิทยาที่ถูกพัฒนาขึ้นมา
เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะใช้มานุษยวิทยาร่างกายเป็นชุดทางเลือกสำหรับการศึกษามานุษยวิทยากายภาพและมานุษยวิทยาชีวสังคม(Physical
and biosocial anthropology)
วัตถุประสงค์ของการศึกษามานุษยวิทยาว่าด้วยร่างกาย
ควรที่จะให้ความสำคัญกับร่างกายที่สะท้อนให้เห็นกระบวนการและผลผลิตทางวัฒนธรรมที่สร้างความเป็นร่างกาย
ที่แสดงให้เห็นภาพสะท้อนหรือแผ่ขยายมโนทัศน์เกี่ยวกับร่างกายในบริบทที่หลากหลายภายใต้ปฎิสัมพันธ์ทางสังคม
(Blacking,
1977: 2)
ความคิดของเขาเป็นการอธิบายที่เชื่อมโยงมิติของมานุษยวิทยากายภาพและมานุษยวิทยาวัฒนธรรม
(the physical and cultural anthropology)
เขาพิจารณาร่างกายของมนุษย์กับผลผลิตของกระบวนวิวัฒนาการทางชีววิทยา
และร่างกายของมนุษย์มีการเคลื่อนไหว(move) มีการดำรงอยู่(survive)และการผลิตซ้ำ(reproduce)ตัวเองภายใต้บริบททางสังคมวัฒนธรรมที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ทุกหนแห่งทั่วโลก
พวกเขายังสามารถดัดแปลงปรับตัวกับบริบททางสังคมวัฒนธรรมโดยรูปแบบการจัดวางร่างกาย(body
dispositions)ที่หลากหลาย รวมถึงสถานะทางกายภาพ(physiological
states)และความสามารถในการรับรู้(cognitive abilities)
ตั้งแต่ช่วงค.ศ.1980
ความสนใจที่เพิ่มมากขึ้นของการศึกษามานุษยวิทยาของกระบวนการขัดเกลาและปลูกฝังทางสังคม(study
of embodiment in anthropology)ที่สามารถสังเกตและทำความเข้าใจปรากฏการณ์ทางได้
ร่างกายและกระบวนการของการปลูกฝังหล่อหลอมได้กลายเป็นศาสตร์หรือวิชาที่ได้รับความสนใจในนักมานุษยวิทยาวัฒนธรรมอเมริกัน(American
cultural anthropologist) อย่างเช่น Terence
Turner(1935–2015) ในงานที่มีชื่อเสียงของเขาเกี่ยวกับการศึกษาผิวหนังของสังคมในหนังสือ
The Social Skin (1980) ที่เขาได้ทำการวิเคราะห์วลีสำคัญของ ชอง
ชาร์ค รุสโซ ที่กล่าวว่า มนุษย์คือสิ่งที่เกิดมาอย่างเปล่าเปลือยแต่ในทุกๆที่ล้วนมีเสื้อผ้า
“Man is born naked but is everywhere in clothes” (Turner, 1980:
112) ความคิดดังกล่าวสัมพันธ์กับพื้นฐานของการศึกษาการปฏิบัติเกี่ยวกับการตกแต่งร่างกายของชนเผ่า
Kayapó ซึ่งเป็นชนเผ่าพื้นเมืองของบราซิลในอเมริกาใต้
Kayapo
tribe in Brazil
เทอเรน์ เทอร์เนอร์ (Terence
Turner) กลับมาสู่ข้อสรุปที่ว่ากระบวนการขัดเกลาทางสังคม(socialization) ร่างกายจำเป็นต้องควบคุมตัวเอง(Self-subordinate)กับโครงสร้างหรือกฏเกณฑ์ทางสังคม(social
order) เขามองว่า ร่างกายทางผิวหนัง(the body skin) มันคือขั้นตอนที่ซึ่งการแสดงของกระบวนการขัดเกลาทางสังคม(drama
of socialization)ได้เกิดขึ้น เขามองว่าผิวหนังคือพรมแดน(border)ที่ซึ่งสังคม(society) ตัวตนทางสังคม(social
self)และกระบวนการทางจิตวิทยาส่วนบุคคล(psychobiological
individual)สามารถแทรกซึมเข้าไปสัมผัสหรืออยู่ในผิวหนังของมนุษย์ได้
เทอร์เนอร์ พัฒนาแนวคิดเกี่ยวกับ ผิวหนังทางสังคม (social skin) กับการแสดงภาพประทับหรือวาดภาพ(the imprinting)เกี่ยวกับการจัดประเภททางสังคม(social
categories)บนร่างกายของตัวเอง
สำหรับเทอร์เนอร์พื้นผิวของร่างกายแสดงประเภทหรือลักษณะขอบเขตที่มีร่วมกันทางสังคมที่กลายมาเป็นกระบวนการทางสัญลักษณ์ที่สัมพันธ์กับการแสดงออกเกี่ยวกับการขัดเกลาทางสังคมที่ปรากฏออกมา(1980:112)
ในงานของ Csordas (1952)ชื่อ Embodiment as a Paradigm for
Anthropology เขาบรรยายเกี่ยวกับกระบวนทัศน์ของการบ่มเพาะปลูกฝัง (paradigm
of embodiment)
เขามีความเห็นว่านักมานุษยวิทยาควรที่จะศึกษาร่างกายของมนุษย์เช่นเดียวกับอัตวิสัยของวัฒนธรรม(subject of culture) ร่างกายของมนุษย์ไม่ใช่วัตถุ(object) (Thomas Csordas, 1952) โดยเขาได้ทดสอบแนวคิดดังกล่าวในการศึกษาเกี่ยวกับพิธีกรรมการรักษา(healing
ritual)และแนวคิดทางวัฒนธรรมเกี่ยวกับตัวตนในกลุ่มสมาชิกของคาทอลิกที่ต้องการฟื้นฟูคริสจักรคาทอลิก(the
Catholic Charismatic Renewal Movement) (สามารถอ่านได้ใน
Csordas, 1990)
ซึ่งปรากฏอยู่ในการศึกษาทางมานุษยวิทยาเกี่ยวการบ่มเพาะปลูกฝังในหนังสือชื่อ Embodiment
and Experience’ (1994) และตอกย้ำว่า
วัฒนธรรมสามารถเป็นสิ่งที่ถูกบ่มเพาะแฝงฝังอยู่ในร่างกายของมนุษย์ได้ (Csordas,
1994: 6)
แนวคิดเกี่ยวกับมานุษยวิทยาว่าด้วยร่างกายศึกษาอะไร
เมื่อเรากลับมาทบทวนงานวรรณกรรมทางมานุษยวิทยาที่เน้นอยู่บนเรื่องราวของร่างกายและการบ่มเพาะปลูกฝัง
(the body and embodiment) แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า
การศึกษาส่วนใหญ่จะเน้นไปที่4หัวข้อหลักสำคัญคือ 1.ลักษณะการให้ความหมายกับร่างกายของมนุษย์(body meaning) 2.การศึกษาเกี่ยวกับกระบวนการของร่างกาย (body
processes) 3.ภาพแสดงแทนของร่างกายภายในบริบททางวัฒนธรรมที่เฉพาะ(representation
of the body) 4. การศึกษาทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับผัสสะ(anthropological
study of senses) ดังเช่น David Howes and Paul Stoller เป็นผู้ที่นำไปสู่การศึกษาในสนามของมานุษยวิทยาว่าด้วยผัสสะ(
anthropology of senses) ตัวอย่างเช่น งานของ พอล สตอลเลอร์
ที่มีชื่อเสียงเรื่อง รสชาติของงานชาติพันธุ์วัฒนธรรมว่าด้วยสิ่งต่างๆ The
Taste of Ethnographic Things (1989)
เขาได้วิจารณ์ว่ารูปแบบการเขียนทางชาติพันธุ์วรรณาที่ซึ่งเน้นเสนอตามข้อเท็จจริง(in
fact) เป็นสิ่งที่ไร้รสชาติจืดชืด(tasteless) เพราะว่านักมานุษยวิทยาโดยทั่วไปมักจะไม่เขียนเกี่ยวกับ
กลิ่น(the smells)
รสชาติ(the tastes) เสียง(the noises)ที่ซึ่งพวกเขามีประสบการณ์ในสนาม(Classen, 1993; Stoller, 1989;
Synnott, 1993)
ตัวอย่างงานของผู้เขียนเองที่ศึกษาเกี่ยวกับผู้หญิงขายบริการทางเพศข้ามพรมแดนชาวลาวหรือสาวคาราโอเกะลาวเป็นตัวอย่างหนึ่งที่พยายามเขียนผ่านเรื่องเล่า
ที่สะท้อนให้เห็นอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองและผู้คนที่ตัวเองศึกษา
กระบวนการต้อนรับแขกที่ต้องจัดการกับร่างกาย
กลิ่นน้ำหอมที่ลอยมาปะทะจมูกที่สร้างความรู้สึกกระตุ้นเร้าให้อยากเข้าไปนั่งใกล้
พูดคุย
การได้เงี่ยหูฟังเรื่องราวที่สาวคาราโอเกะจับกลุ่มคุยกันถึงความนุ่มนิ่มของผิว
การกระฉับของหน้าอกที่เกิดจากการใช้สินค้าความงาม
จุดยืนสำคัญทางมานุษยวิทยาในความพยายามที่จะศึกษาร่างกายเช่นเดียวกับปรากฏการณ์ทางสังคมและวัฒนธรรม(social
and cultural phenomenon) ซึ่งสามารถทำงานภายในมิติของ 3 ระดับโครงสร้างที่มีความหลากหลาย คือร่างกายเป็นเช่นเดียวกับสิ่งประดิษฐ์
(artefact) ที่สามารถเปลี่ยนแปลงแก้ไข(modification) ร่างกายเป็นเหมือนปทัสถานหรือบรรทัดฐาน (norm)
ที่เป็นเสมือนระเบียบวินัยในการควบคุม(disciplination) ร่างกายเป็นเช่นเดียวกับความคิด(idea)ที่เป็นเสมือนกับกระบวนการเชิงสัญญะ(semiotization)
ความสอดคล้องกับทฤษฎีทางมานุษยวิทยาเกี่ยวกับวัฒนธรรม
ที่สามารถพิจารณาร่างกายของมนุษย์ที่มีลักษณะการสร้างสรรค์ (artefact) ร่างกายแตกต่างกัน
เช่นเดียวกับวัตถุที่ถูกสร้างขึ้นอย่างมีทิศทางของเป้าหมายในกิจกรรมของมนุษย์
ลักษณะสองด้านของร่างกายและจิตใจ
(The
bipolarity of body and Soul )
ได้รับการสนับสนุนและตอกย้ำมาอย่างยาวนานภายใต้คุณค่าของการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์
การศึกษาทางสังคมวัฒนธรรมในมิติของร่างกาย ดังเช่นในตัวอย่างของการศึกษาวิจัยที่วิธีการศึกษาของผู้วิจัยส่วนใหญ่มองร่างกายเช่นเดียวกับส่วนหนึ่งของธรรมชาติ(the
body as a part of nature)และมองว่าร่างกายเป็นลักษณะที่แยกออกจากกระบวนการถ่ายทอดทางวัฒนธรรม
ซึ่งสะท้อนให้เห็นกระบวนทัศน์แบบเดการ์ต(Cartesianism)ที่สร้างความแตกต่างในพรมแดนระหว่างร่างกายและความคิดและสร้างการรับรู้ว่าร่างกายมนุษย์เป็นเช่นเดียวกับเครื่องจักร(the
human body as a machine. ในช่วงศตวรรษที่20 ผู้ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับร่างกายเริ่มต้นที่จะพัฒนางานศึกษาเกี่ยวกับร่างกายว่าร่างกายเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสังคมและวัฒนธรรม
ซึ่งสัมพันธ์กับการพัฒนาและเติบโตของทฤษฎีและแนวคิดทางสังคมและวัฒนธรรม
ที่มีอิทธิพลอย่างมากในการศึกษาทางสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์
ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาได้ช่วยยกระดับของการศึกษาร่างกายในทางสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
จากวิชาที่มีลักษณะชายขอบหรือค่อยได้รับความสนใจในการศึกษา
รวมทั้งการอธิบายความรู้เกี่ยวกับร่างกายที่ไปไกลมากกว่าลักษณะทางกายภาพแต่มองว่าร่างกายคือผลกระทบของโครงสร้างทางสังคมและวัฒนธรรมที่เกี่ยวข้องกับร่างกาย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น