ร่างกายสมัยใหม่(MODERN
BODIES)
กรอบคิดในการมองและการอธิบายร่างกายในสังคมสมัยใหม่อยู่ภายใต้จุดยืนทางทฤษฎีที่มีความแตกต่างกันซึ่งสามารถจำแนกได้เป็น3ลักษณะคือ 1. การวิเคราะห์แนวการประกอบสร้างทางสังคม(Social
Construction analysis)ภายใต้วิธีคิดแบบโครงสร้างนิยม(Structuralism)ที่สร้างให้เกิดลักษณะของร่างกายที่ถูกกำหนดหรือวางกฏเกณฑ์บางอย่าง(Ordered
Body) 2.การวิเคราะห์เชิงการกระทำ(Active)และการปรับตัวเชิงปรากฏการณ์วิทยา(Phenomenological)
ที่นำไปสู่ร่างกายที่มีชีวิต(live body) 3.แนวคิดร่างกายแบบStructuration theoryที่มองความสัมพันธ์ของโครงสร้าง(Structure)และความเป็นผู้กระทำการ(Agency) ซึ่งสะท้อนให้เห็นความแตกต่างของสนามในการศึกษาเกี่ยวกับร่างกายและความสำคัญของร่างกายในฐานะที่เป็นศูนย์กลางไปสู่ทฤษฎีทางสังคม
การแสดงออกของการครอบงำในสังคมสมัยใหม่เป็นสิ่งที่ถูกจัดการโดยวาทกรรมทางการแพทย์แบบชีวะ(biomedical
discourse)ที่ซึ่งกลายเป็นสิ่งที่มีอิทธิพลกับร่างกายของมนุย์อย่างมากในศตวรรษที่19
ภายใต้กระบวนการที่ร่างกายถูกทำให้เป็นความรู้ที่สากล
กระบวนการทำให้เป็นร่างกายทางการแพทย์(Medicalized bodies) ในขณะเดียวกัยการแพทย์แบบชีวะก็เป็นวิกฤตการณ์ของมาตรฐานและทางเลือกที่จำกัดมากกว่าที่จะเป็นแนวคิดแบบองค์รวมของการแพทย์และการบ่มเพาะปลุกฝังที่เป็นสิ่งที่ท้าทายและวิพากษ์การครอบงำ(hegemony)
ร่างกายของผู้บริโภค
(Consumer
bodies) โดย Liz Jagger (2010 )ได้ให้แนวทางและทัศนะส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงใหญ่ทางสังคมของยุคทันสมัย
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในเชิงของการทำงานการจัดการและเทตโลโลยี
ภายใต้การเสื่อมสลายของอุตสาหกรรมหนัก
ความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นของอุตสากรรมบริการและการใช้เวลาว่าง
รวมถึงการเพิ่มขึ้นของสื่อและการโฆษณา(the media and advertising)ที่ได้สร้างรากฐานของวัฒนธรรมผู้บริโภค(Featherstone 1991a) ในช่วงทุนนิยมตอนปลาย[1]
ที่ได้สร้างแรงขับเคลื่อนของการบริโภค (consumption driven)
เศรษฐกิจที่มีพื้นฐานอยู่ที่การบริการ (service based)
การเพิ่มขึ้นของการขายปฏิสัมพันธ์ของมนุษย์ (Sell human interactions) และการแลกเปลี่ยนทางด้านอารมณ์ (Emotional exchanges) ทำให้เกิด 2 กระแสสำคัญจากอิทธิพลดังกล่าว (Brabara
G.Brents and Kathryn Hausbeck,2010;9)
สำหรับปิแอร์
บูดิเยอร์ นักสังคมวิทยาชาวฝรั่งเศส มองว่าทางเลือกของผู้บริโภคเป็นสิ่งที่ถูกสลักไว้ในร่างกายและสร้างพื้นที่ของสังคม(Site
of Social )และชนชั้น(Class)ที่แตกต่างกันเฉพาะ
ดังนั้นพวกเราจึงบริโภคให้สอดคล้องกับสิ่งที่เราเป็น(we consume according
to who we are) สอดคล้องกับนักทฤษฎีแนวโพสต์โมเดิร์นที่มองว่าเรากลายเป็นสิ่งที่เราบริโภค(we
become what we consume) มนุษย์ถูกทำให้เต็มไปด้วยสัญญะทางวัฒนธรรม(cultural
signs)ที่ไม่ได้ถูกจำกัดกับการอ้างอิงกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพียงกลุ่มเดียว(no
fixed referents) เช่นเดียวกับคุณลักษณะที่ได้รับมา(consequence) ความหลากหลายที่ถูกผลิต(produces multiple)และการข้ามผ่านของอัตลักษณ์(shifting
identities)ที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา(Jameson 1985; Baudrillard
1988b)
ร่างกายของการทำงาน (WORKING
BODIES) ในงานของ Philip Hancock and Melissa Tyler(2002)
ได้เปิดการบรรยบายเกี่ยวกับการพัฒนาและความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ของการพัฒนาทางเศรษฐกิจกับการจัดการร่างกายในการทำงาน(the
management of the body at work)
โดยการยำเอามิติมุมมองทางประวัติศาสตร์(historical perspective)ที่ครอบคลุมกว้างขวางที่เกี่ยวข้องกับการจัดการ(management)และการทำให้เป็นเหตุผล(rationalization)
มาตรฐานของการทำงาน(Standardization)ของร่างกายในการทำงาน
พร้อมกับการอ้างอิงเฉพาะกับการพัฒนาเกี่ยวกับค่าจ้างแรงงาน(wage labour)ในสังคมทุนนิยมตะวันตก(western capitalist societies)
โดยเฉพาะการใช้ประโยชน์อย่างมีประสิทธิภาพของความสามารถของร่างกายที่นำไปสู่การเป็นแรงงาน(labour) ร่างกายของความขัดแย้ง(Body Conflict)
ร่างกายเป็นสิ่งที่สร้างเกี่ยวกับความมั่นคง(firm)และความแข็งแรง(strong) ได้ถูกทำให้กลายเป็นในสังคมสมัยใหม่ สัญญะของคุณค่าทางศีลธรรม(a
sign of moral worth)และการบูชาหรือให้ความสำคัญของวัยรุ่น(the
worship of youth)และความสวยงานได้สร้างความแตกต่างของคนที่มีอายุ
แนวคิดเรื่องร่างกายชรา(Old
bodies) ของ Emmanuelle Tulle-Winton บรรยายเร่งกายว่าเป็นเสมือนกับพื้นที่ของการแข่งขัน(contested
site)สำหรับการประกอบสร้างของความมีอายุมาก(old age) และคนแก่(old people) การปรากฏขึ้นของคนที่อายุมากเช่นเดียวกับวัตถุของการศึกษาของผู้เชี่ยวชาญ(object
of professional study) และการปฏิบัติในปลายศตวรรษที่18 ได้ให้การดำรงอยู่ของคำบอกเล่าหรือเรื่องเล่าที่เป็นไปได้เกี่ยวกับประสบการณ์ของผู้มีอายุหรือผู้สูงวัย
ตัวแปรที่เน้นย้ำอยู่บนการอธิบายเกี่ยวกับอำนาจที่กำหนดการผลิตร่างกาย(the
bodily manifestations)ของการกลายเป็น การเป็นผู้มีอายุ
ความชราภาพและศักยภาพของพวกเขาที่จะปลดปล่อยตัวเอง
ที่ถูกกำหนดภายใต้คำอธิบายเหล่านี้ ดังเช่น
วาทกรรมของความสมัยใหม่ของความเป็นผู้สูงวัย เช่นเดียวกับความเสื่อมถอยของชีววิทยา(biological
decline) และความอ่อนแอทางกายภาพและทางจิตใจ(physiological
and mental decrepitude)รวมถึงความสูญเสีย(loss) การประกอบสร้างจองการมีอายุหรือความเป็นผู้สูงอายุ
การประกอบสร้างของความเป็นผู้สูงอายุ(old
age)เช่นเดียวกับสภาวะหรือเหตุการณ์ทงาชีววิทยา(biological
event)ที่กำหนดอยู่เหนือประสบการณ์ที่แท้จริงของชีวิตในช่วงเวลาที่เหลือ(later
life)เป็นสิ่งที่ได้รับการเสริมให้เพิ่มขึ้นโดยการปรากฏขึ้นของวิชาเกี่ยวกับชราภาพหรือชราวิทยา(gerontology) การศึกษาเกี่ยวกับผู้สูงอายุที่ซึ่งถูกสะท้อน(reflected) ถูกตัดสิน(justified)และถูกประกอบสร้าง(constructed) ทางวัฒนธรรม
เศรษฐกิจ และสัญลักษณ์ของความล้าสมัย(symbolic obsolescence)ของคนสูงวัย(Lynott
and Lynott 1996)
มันคือเป้าหมายที่เป็นการสร้างยุทธศาสตร์สำหรับการปรับตัว(daptation)ที่พร้อมกับการสูญเสีย(loss)ที่นำไปสู่ร่างกายที่ถูกกำกับด้วยจิต(The
mindful Bodies)ความคิดเกี่ยวกับความชราภาพที่นำไปสู่การปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
บรรณานุกรม
Bakhtin, M.M. (1968) Rabelais and His World. Trans.
Hélène Iswolsky. Cambridge, MA: MIT Press.
Douglas, Mary.
Purity and Danger: An Analysis of the Concepts of Pollution and Taboo. New
York: Praeger, 1966.
—————. Natural Symbols: Explorations in
Cosmology. 1970; New York: Routledge, 1996.
Featherstone, Mike,
Mike Hepworth, and Bryan S. Turner, eds. The Body: Social Process and Cultural
Theory. Newbury Park: Sage, 1991.
Foucault, Michel.
The History of Sexuality: Volume 1: An Introduction. New York: Vintage, 1978.
—————. Discipline & Punish: The Birth of
the Prison.New York: Vintage, 1975.
Goffman, Erving.
Stigma: Notes on the Management of Spoiled Identity. New York: Simon &
Schuster, 1963.
Turner, Bryan S. The
Body and Society: Explorations in Social Theory. 2nd ed. London: Sage, 1996.
Turner, Terrence
1980 The Social Skin. In Not Work Alone. J. Cherfas and R. Lewin, eds. Pp. 112-
140. London: Temple Smith.
Scheper-Hughes,
Nancy, and Margaret Lock 1986 Speaking Truth to Illness: Metaphors,
Reification, and a Pedagogy for Patients. Medical Anthropology Quarterly
17(5):137-140.
Shilling, Chris. The
Body and Social Theory. London: Sage, 1993.
[1]
Anthony
Giddens ใช้คำว่า late capital หรือทุนนิยมช่วงปลาย
ว่าเป็นยุคที่เกิดขึ้นหลังจากยุคสมัยใหม่นิยม (modernism)
โดยที่เขามองว่าคำคำนี้เหมาะจะใช้เรียกยุคสมัยปัจจุบันมากกว่าคำว่า postmodernism
ซึ่งเป็นยุคของการเปลี่ยนแปลงทั้งในแง่ของอุตสาหกรรม
การเติบโตของกระบวนกลายเป็นเมือง
และวิธีคิดของการบริหารจัดการภายใต้พื้นฐานของกฎหมายและเหตุผล
ทำให้สังคมยุคสมัยใหม่แตกต่างจากยุคก่อนหน้า
รวมทั้งการเติบโตของเทคโนโลยีการสื่อสารที่สร้างผลกระทบต่อวิถีชีวิต
และความสัมพันธ์ทางสังคมของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงดังกล่าวที่รวดเร็วและเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ทำให้เกิดข้อถกเถียงว่าสังคมรูปแบบใหม่แตกต่างจากสังคมแบบเดิมก่อนหน้ามากน้อยแค่ไหน
ทุนนิยมและความทันสมัยแบบเดิมก็ยังคงดำรงอยู่
ดังนั้น
Giddens จึงมองว่าน่าจะเหมาะสมกว่าถ้าจะใช้ทุนนิยมตอนปลายในการอธิบายสังคมยุคปัจจุบัน
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น