ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ความจริงของชนเผ่า ความจริงของนักมานุษยวิทยา โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เรื่องน่าอับอายของชนเผ่าในอูกันดา  ที่ถูกเข้าใจผิดมามากกว่า 40 ปี ...จนถูกศึกษาและทำให้เห็นความจริงในอีกแง่มุมหนึ่ง เขียนโดย Carly Cassella ชื่อ Uganda is infamous ‘selfish’ tribe has been misunderstood for almost 40 year . 

ชนเผ่า IK ในอูกันด้าเป็นชนเผ่าที่ตั้งถิ่นฐานอยู่บนหุบเขาเล็กๆ ชื่อ KIDEPO ชื่อเสียงของเมืองนี้เป็นที่รู้กันดีของประเทศว่ามีข้อจำกัดของการเข้าถึงโอกาสในการพัฒนาด้านต่างๆและความแห้งแล้ง

ในปี 1960 นักมานุษยวิทยา ชื่อ Colin Turnbull ได้ตีพิมพ์หนังสือที่บรรยายเกี่ยวกับชนพื้นเมืองIK และเน้นย้ำ ประทับตราหรือชี้ให้เห็นลักษณะพิเศษของชนพื้นเมืองนี้คือ ความไม่เป็นมิตร ความไม่รู้จักแบ่งปัน ความเห็นแก่ตัว และชนพื้นเมืองนี้ถูกตั้งฉายาว่า the loveless people หรือชนเผ่าที่ไร้หัวใจ 

ในความจริงชนเผ่านี้ ต้องช่วยเหลือตัวเองอย่างมาก ภายใต้ภาวะของการดิ้นรนต่อสู้ต่อความอดอยากและความแห้งแล้ง ที่มากกว่าชุมชนอื่นๆข้างเคียง

Turnbull ได้เข้ามาวิจัยชุมชนในช่วงปี 1960-1967 และเสนอสมมติฐานว่า ชนเผ่า IK บ่มเพาะความเป็นปัจเจนชนนิยมตั้งแต่เด็กจนถึงบั้นปลายชีวิต พวกเขาละทิ้งเด็ก และขโมยอาหารของคนแก่ที่กลายเป็นเรื่องปกติธรรมดาในชุมชน  อันที่จริง คำตอบของ Turnbull ที่อยู่ภายใต้การสังเกตการณ์ของเขาในสนาม และสิ่งที่เขาอ้างว่าชนเผ่า IK มีวัฒนธรรมของการเห็นแก่ตัวที่มากกว่าสังคมอื่นๆ เป็นข้อเสนอที่ถูกปฎิเสธในการศึกษาต่อๆมา แท้ที่จริงแล้วสภาวะความเห็นแก่ตัวมันคือผลผลิตของความอดอยากขาดแคลน (productive of famine) และการปรับตัวทางวัฒนธรรมต่อความอดอยาก (Cultural adaptation to scarcity ) 

นักวิจัยหลากสาขาได้เข้าไปสำรวจและศึกษาชนเผ่า IK ดังเช่น นักมานุษยวิทยาชื่อ Lee Cronk จากมหาวิทยาลัย Rutgers university New-Brunswickได้ทำการทดลองพฤติกรรมของชนเผ่าเกี่ยวกับความเห็นแก่ตัว โดยการออกแบบเกมส์เพื่อวัดพฤติกรรมดังกล่าว เปรียบเทียบกับสังคมต่างๆทั่วโลก พบว่าใน 100 คน ของกลุ่มตัวอย่าง ผลการทดสอบไม่แตกต่างจากคนในสังคมอื่นๆ ดังนั้นพฤติกรรมการเห็นแก่ตัวก็มีในมนุษย์ทุกสังคมไม่ใช่เพียงชนเผ่า IK เท่านั้น

ต่อมานักมานุษยวิทยาอย่าง Cathryn Townsend ได้ทุนไปทำวิจัยและไปอาศัยอยู่กับชุมชนพิ้นเมือง IKในช่วงปี 2016  งานภาคสนามของเขาได้ทำให้เขาค้นพบพฤติกรรมของความเอื้ออาทรของชนพื้นเมือง IK ที่เรียกว่า ‘Tomora marang ‘ หรือความหมายคือ มันคือสิ่งดีที่เราได้แบ่งปัน (it’a good to share) รวมทั้งในข่วงฤดูที่แห้งแล้ง ขาดแคลน ไม่มีผลผลิตในไร่นา ฝนไม่ตก แห้งแล้ง หรือโรคระบาด แต่ชาว IK กลับแบ่งปันผลผลิตที่เขาเก็บไว้หรืออาหารป่าที่หามาได้แก่กันในชุมชน 

ดังนั้นสิ่งที่เรามองเห็นได้จากข้อเขียนชิ้นนี้คือ ภาวะเงื่อนไขของพฤติกรรมของมนุษย์ที่ลื่นไหล ในบางภาวะที่ความเอื้ออาทรเสื่อมสลายลง พร้อมกับการเกิดขึ้นของภาวะความเห็นแก่ตัวอย่างที่สุด ที่เกิดขึ้นภายใต้ข้อจำกัด ความเสี่ยงและภาวะตึงเครียดทางสังคม  ในขณะเดียวกันพวกเขาก็พร้อมจะเอื้ออาทรเพื่อให้ภาวะความมั่นคงของชุมชนดำรงอยู่ได้

****นักมานุษยวิทยาต้องพยายามทำความเข้าใจความหมายจากมุมของคนที่เราศึกษา ไม่สร้างภาพตัวแทนให้กับกลุ่มที่ศึกษาเพียงด้านใดด้านหนึ่ง และต้องทำความเข้าใจผ่านการให้ความหมายต่อพฤติกรรมที่พวกเขาแสดงออกอย่างแท้จริง... การไม่มีอคติทางชาติพันธุ์ ที่สร้างความเหนือกว่าด้อยกว่าทางวัฒนธรรม และยอมรับว่าพฤติกรรมแบบนี้ก็พบได้ในมนุษย์ในทุกสังคมแม้ในสภาวะปัจจุบัน

ไม่มีสังคมชุมชนใด มนุษย์หรือกลุ่มคนใด เหนือกว่าคนอื่น พวกเขามีเหตุผลในการกระทำ ซึงเป็นเหตุผลเช่นเดียวกับคนกลุ่มอื่น เพียงแค่เป็นเหตุผลคนละชุดกันเท่านั้นเอง...



ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง