ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

ฮาราเวย์และลากอง โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 

จริงๆแล้วความปรารถนาและจินตนาการของมนุษย์มันมีมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ถ้ำ หรือ มนุษย์ที่มีอารยธรรม ก็ล้วนเอาสิ่งที่เห็น หรือเรียนรู้มาถ่ายทอดเป็นภาพหรืองานศิลปะในลักษณะ Visualized หรือการทำให้สิ่งต่างๆกลายเป็นภาพ...สิ่งที่ผมสนใจคือจินตนาการที่ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพนั้นมันเทียบเคียงกับของจริงหรือเกินเลยไปจากของจริง เป็นจินตนาการที่ควรจะกว้างไกลและไร้ขอบเขต...

ในอดีตเมื่อสังคมมนุษย์พัฒนาไปสู่ยุคประวัติศาสตร์ การใช้ภาษาเขียนในการบันทึกเรื่องราว บอกเล่าจินตนาการ สิ่งที่ได้พบเห็นในชีวิตประจำวันได้เข้ามาแทนที่ภาพ เพราะภาษาสามารถนำเสนอและใส่ความคิดบางอย่างที่ต้องการชักนำได้มากกว่า การศึกษาในยุคหลัง การวาดภาพก็ถูกจัดเป็นการเรียนในแผนกวิชาศิลปะ ในขณะที่วิชาความรู้อื่นๆในสมัยต่อมา ก็มักจะเน้นตำราหรือแบบเรียน ถึงแม้บางสาขาวิชาเช่นแพทย์ศาสตร์ก็จะใช้ตำราที่เป็นตัวหนังสือ ควบคู่ไปกับภาพร่างอวัยวะในร่างกาย เพราะเป็นสิ่งที่อยู่ภายใน ใช้จินตนาการเข้าไปไม่ได้มากเพราะต้องเทียบเคียงกับภาพจริง(ดาวิชนชี่ ก็วาดภาพกายวิภาคในห้องผ่าตัด) เพื่อผลในการรักษาที่ถูกต้อง จนต่อมาเมื่อสังคมพัฒนามากขึ้น การจำลองภาพเหล่านี้ออกมาสมจริงก็มีมากขึ้น แต่บ่อยครั้งในความรู้ต่างๆสิ่งที่เขียนในตำราก็จำกัดจินตนาการที่หลากหลาย เช่นแบบเรียนเพศศึกษาที่เน้นความเป็นชายเป็นหญิงแค่สองด้านเท่านั้นตามที่เรียนเขียนอ่าน เป็นต้น...
Donna Haraway ได้ชี้ให้เห็นความสำคัญของเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทำให้รูปแบบของการสื่อสารมีความหลากหลายมากขึ้น ทั้ง การถ่ายรูป การสแกนวัตถุ การสร้างภาพจำลอง สร้างภาพที่ผ่านฟิล์มเอ๊กซเรย์ เป็นต้น
จินตนาการของผู้คนในยุคปัจจุบันจึงเคลื่อนตัวจาก จินตนาการผ่านตัวบท (text image) มาสู่ จินตนาการทางด้านภาพเสมือนจริง(visual image) เพราะทุกอย่างต้องอาศัยจินตนาการผ่านภาพ แม้ว่าจะอ่านหนังสือก็ตาม เราอ่านนิยาย หนังสือแนวอิโรติก ก็ต้องจินตนาการหรือมีภาพในหัวเกี่ยวกับสิ่งที่อ่าน
การเติบโตและแพร่กระจายของvisualize ทำให้คนกลุ่มต่างๆสามารถสะสมเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับชัวิตมนุษย์ทั้งในแง่ของการควบคุมและการค้นหาคำตอบบางอย่าง การสแกนกระเป๋าในสนามบิน การสแกนใบหน้า การสร้างภาพจำลองเสมือนจริงของมนุษย์ยุคโบราณจากโครงกระดูก เป็นต้น...
Haraway วิพากษ์วิธีคิดของฟรอยด์ที่บอกว่ามนุษย์ในข่วงวัยทารกที่ยังไม่เข้าสู่สังคม ยังไม่รู้และมีข้อจำกัดเกี่ยวกับระบบสัญลักษณ์ แต่เมื่อเหยียบเท้าก้าวเข้าไปในพรมแดนของระบบสัญลักษณ์ สิ่งต่างๆในชีวิตก็จะถูกจัดระเบียบด้วยระบบสัญลักษณ์และภาษา เข่นเดียวกับความเป็นผู้หญิงผู้ชายก็ถูกจัดการด้วยระบบสัญลักษณ์เรื่องเพศ เสื้อผ้า หน้าผม สีที่ชอบ ของเล่นที่ใช่ ล้วนเป็นที่สังคมได้ขัดเกลาผ่านการเรียนรู้ทางภาษาทั้งสิ้น....
Haraway ท้าทายว่ามนุษย์ต้องสลายหรือสลัดแก่นแกนบางอย่างของตัวเองออกไป เช่นสลายความเป็นแก่นแกนแบบธรรมชาติ ที่สร้างความคิดว่าด้วยความปกติ ไม่ปกติ เป็นมนุษย์ ไม่ใช่มนุษย์ ภายใต้การสร้างพรมแดนของการปะทะกันในเส้นแบ่ง มนุษย์กับสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ มนุษย์กับเครื่องจักร สิ่งที่เป็นกายภาพ กับไร้กายภาพ ที่เขาเรียกสิ่งนี้ว่า cybog คุณูปการสำคัญของแนวคิดนี้คือ ความไม่ยึดติดกับอัตลักษณ์ใดอัตลักษณ์หนึ่งที่ตายตัว แต่สามารถแตกตัวออกไปได้อย่างมากมาย ภายใต้ความแตกต่างของเชื้อชาติ เพศ ศาสนา สีผิวและอื่นๆ สิ่งต่างๆจะสามารถดำรงอยู่ได้เมื่อเชื่อมโยงหรือประกอบกับส่วนอื่นๆ..ความรู้เกี่ยวกับมนุษย์ในปัจจุบันมันจึงขยายขอบเขตไปมากกว่าความรู้เดิมที่เราเคยมีเสียอีก...
ย้อนกลับมาที่เรื่องของระบบสัญลักษ์และภาษา ที่กลายมาเป็นข้อจำกัดในการค้นพบศักยภาพและความจริงที่หลากหลายของความเป็นมนุษย์
เรื่องจากมนุษย์ถูกขุมขังภายใต้ภาษาและในตัวของภาษาก็ไม่สามารถอธิบายสิ่งต่างๆให้กับมนุษย์ได้ทุกอย่าง.. เมื่อภาษามีความไม่สมบูรณ์ ความรู้สึกขาดหรือความต้องการเติมเต็มจึงบังเกิดขึ้น และผลักดันไปสู่สิ่งที่เรียกว่าความปรารถนา(Desire)เพื่อสร้างรูปแบบของการสื่อสารในแบบของตัวเอง ภาวะดังกล่าวมนุษย์จึงต้องปลดปล่อยและทำตัวเองให้หลุดพ้นจากภาวะธรรมชาติเพื่อเข้าสู่โลกจินตนาการ หรือโลกแฟนตาซี เพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดของมนุษย์ การเติมเต็มสิ่งที่ขาดอันไม่สิ้นสุด ทำให้เกิดกระบวนการผลิตความปรารถนา(desire machine) การแปรความปรารถนาเพื่อผลิตความปรารถนานั้นให้มีรูปร่างปรากฏ...ภาวะของความขาด จึงเป็นเสมือนสิ่งที่ไม่สมบูรณ์เพื่อรอการเติมเต็ม หากสิ่งใดสมบูรณ์แล้วก็มักจะหยุดนิ่งและไม่เคลื่อนไหวต่อสิ่งใดๆ ...แต่ทว่ามนุษย์จะสร้างสัญญะใหม่ๆหรือภาษาใหม่ๆตลอดเวลาเพื่อหลุดจากกรอบทางสังคมและหลุดออกจากความเป็นมนุษย์ที่มีสารัตถะเพื่อแตกตัวหรืออวตารเป็นสิ่งใดก็ได้ตามแต่ใจปรารถนา... วิธีคิดแบบนี้ของ Lacan ก็สะท้อนให้เห็นการไม่แยกมนุษย์ธรรมชาติหรือสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ออกจากกัน อีกทั้งยังทำลายเส้นแบ่งของการจัดประเภท การแยกแยะสิ่งต่างๆ เพื่อนำไปสู่สิ่งใหม่ๆความรู้ใหม่ๆในสังคม
Reference
Donna J. Haraway, “A Cyborg Manifesto: Science, technology, and Socialist-Feminism in the Late Twentieth Century,” in Simians, Cyborgs, and Women: The Reinvention of Nature (New York: Routledge, 1991), 149-181
Horrocks R. (1997) Lacan: Lack and Desire. In: Campling J. (eds) An Introduction to the Study of Sexuality. Palgrave Macmillan, London. https://doi.org/10.1057/9780230390140_5

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง