ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วัว ผู้ชาย ศักดิ์ศรี และหัวขโมย โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 ชนเผ่าบาร่า (BARA) :การชิงวัวกับเส้นแบ่งบางๆของความเป็นลูกผู้ชายกับหัวขโมย  สะท้อนให้เห็นการปะทะกันระหว่างประเพณี กฏศีลธรรมและกฏหมาย ซึ่งเราอาจจะทำความเข้าใจผ่านมุมมองทางสังคมและศีลธรรมของเรา แต่ในทางตรงข้ามนั้น ชนเผ่าบาร่าในประเทศมาดากัสการ์นั้นอาจคิดหรือมีมุมมองที่แตกต่างจากเราก็ได้

.....ประวัติศาสตร์มาดากัสการ์.....

สาธารณรัฐมาดากัสการ์ (Republic of Madagascar) เป็นประเทศเกาะที่ตั้งอยู่บนมหาสมุทรแปซิฟิกที่อยู่นอกชายฝั่งของแอฟริกาใกล้กับประเทศโมแซมบิก เป็นเกาะที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับ 4 ของโลก ซึ่งทำให้พื้นที่บริเวณนี้มีความหลากหลายทางด้านทรัพยากรทางกายภาพและชีวภาพรวมถึงภาษาและวัฒนธรรมของชมเผ่าพื้นเมืองต่างๆ ประกอบด้วยชาวมาลากาซี ชาวบารา ชาวเมรินา ชาวเบตซิเลโอ ชาวซึมีเฮติและชาวสะลากาวะ จากหลักฐานทางด้านประวัติศาสตร์และโบราณคดีพบว่า หมู่เกาะมาดาร์กัสการ์มีคนมาอาศัยอยู่กว่า 200 ปีมาแล้ว เริ่มแรกเป็นคนพื้นเมืองดั้งเดิม ก่อนที่จะมีชนกลุ่มอื่นๆ กลุ่มแรกที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานตามมา คือ ชาวแอฟริกันและอินโดนีเซียในช่วงศตวรรษที่ 16 ภายใต้การนำของดิเอโก เดียซ์ นักเดินเรือและนักบุกเบิกชาวโปตุเกส

ในอดีตหมู่เกาะมาดากัสการ์รวมตัวกันภายใต้ระบบกษัตริย์ในช่วงปีพ.ศ. 2340-2404 ก่อนที่ฝรั่งเศสจะเข้ามาอ้างสิทธิ์ในการปกครองในปีพ.ศ.2483 จนกระทั่งในปีพ.ศ. 2439 ระบบกษัตริย์ถูกทำลายลงไป ประเทศมาดากัสการ์ก็ตกเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส กษัตริย์องค์สุดท้ายคือพระราชินีนาถรานาวาโลที่ 3 แห่งมาดากัสการ์และต่อมาปีพ.ศ. 2501 ได้มีการลงมติให้สาธารณรัฐมาลากาซีมีอำนาจปกครองตัวเองในประชาคมฝรั่งเศสและประเทศมาดากัสการ์ก็ได้รับเอกราชในวันที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2503 หลังจากนั้นก็ได้มีการอพยพย้ายถิ่นของชาวอาหรับ อินเดียและยุโรปเข้ามาในบริเวณแถบนี้เพิ่มมากขึ้น

ปัจจุบันภาษาท้องถิ่นของชาวบาร่าที่ใช้คือภาษาบาร่า ส่วนภาษาราชการคือ มาลากาซี่ (Malagasy)  ศาสนาที่พวกเขานับถือคือศาสนาดั้งเดิมที่นับถือสิ่งที่เหนือธรรมชาติ ภูตผี วิญญาณกว่าประมาณ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ ที่เหลือประมาณ 5 เปอร์เซ็นต์ นับถือศาสนาคริสต์ นิกายลูเธแลนและคาทอลิคซึ่งมีคนนับถือน้อยมาก เมืองบาร่ามีประชากรจากการสำรวจเมื่อปีค.ศ. 2000 ประมาณ 520,000 คน

......สภาพทั่วไปของสังคมชาวบาร่า(BARA)....

เมืองบาร่าอยู่ทางภาคใต้ตอนกลางของมาดากัสการ์ โดยมีส่วนที่ยื่นออกไปบรรจบกับภาคตะวันออกและภาคตะวันตกคือเมือง ไอบาร่า (Ibara) ประชากรส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเลี้ยงสัตว์เร่ร่อนและยึดถือประเพณีวัฒนธรรมที่สืบทอดจากบรรพบุรุษอย่างเคร่งครัดทำให้แนวความคิดของโลกสมัยใหม่ไม่สามารถแทรกซึมผ่านชาวบาร่าได้โดยง่าย ในขณะเดียวกันในปัจจุบัน การตั้งคำถามต่อประเพณีวัฒนธรรมบางอย่าง อาทิเช่น การขโมยวัวจากคอกปศุสัตว์ คือสิ่งที่นำไปสู่สภาวะที่ไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน รวมทั้งการถูกคุกคามจากหัวขโมยที่พวกเขาไม่สามารถจัดการได้และการต้องสูญเสียสัตว์เลี้ยงของตัวเองไป  ทำให้ชาวบ่าร่าในปัจจุบันที่ได้รับการศึกษาเปิดรับความคิดของตะวันตกมากขึ้น รวมทั้งมีทางเลือกในความคิดและวิถีชีวิตของตนเอง  ทำให้ชาวเผ่าบาร่าบางคนละทิ้งหมู่บ้านตัวเองและออกเดินทางไปเสาะแสวงหาวิถีชีวิตใหม่ที่แตกต่างจากเดิม 

....วิถีชีวิตทางสังคมและวัฒนธรรมของชาวบาร่า (BARA)...

สังคมของชาวบาร่าเป็นสังคมเลี้ยงสัตว์แบบเร่ร่อน (Pastoralism) มีการอพยพเคลื่อนย้ายไปตามฤดูกาลเพื่อให้สัตว์และคนมีอาหารหล่อเลี้ยงชีวิต วิถีชีวิตดังกล่าวสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ สังคมของชาวบาร่า ผู้ชายมักจะอ้างถึงตัวเองว่าเป็น “Baralahy” ซึ่งแปลว่ามนุษย์ผู้ชายบาร่าผู้มีร่างกายแข็งแรง (Bara Males meaning Strong man ) เด็กชาวบาร่า (Bara Boy) จะต้องผ่านพิธีเปลี่ยนผ่านสภาวะที่จะสร้างตัวเองให้กลายเป็นผู้ใหญ่และเป็นผู้ชายที่ทำหน้าที่ปกป้องดูแลกลุ่มต่อไป ดังนั้นเมื่อชายชาวบาร่ายังเป็นเด็ก จะถูกมองว่า พวกเขามีสถานภาพเช่นเดียวกับผู้หญิงชาวบาร่า (Bara Female) หากยังไม่เข้าพิธีเปลี่ยนผ่าน เขาจะยังไม่สามารถกลายเป็นผู้ชายที่สมบูรณ์ได้ โดยประเพณีพิธีกรรมของการเปลี่ยนผ่านสภาวะที่สำคัญไปสู่ความเป็นลูกผู้ชายของชาวบาร่าก็คือการเข้าร่วมในประเพณีที่เรียกว่า การขโมยวัว หรือสัตว์เลี้ยงของเพื่อนบ้าน ปรากฏการณ์ในพิธีกรรมดังกล่าวถือได้ว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สะท้อนให้เห็น ความแข็งแรงทางด้านกายภาพและความเป็นลูกผู้ชาย (Virility) ซึ่งอยู่ในพรมแดนของความรุนแรง และเป็นจริยธรรมสำคัญในชุมชนบารา ดังนั้นความเป็นชายในสังคมบาร่าไม่ได้จำกัดลักษณะเฉพาะทางกายภาพในความเป็นเพศชายหรือเพศหญิง แต่ความเป็นชาย ปรากฏผ่านความรุนแรงในการเข้าร่วมพิธีการขโมยวัวของเพื่อนบ้าน

ในการศึกษาของ Louis Paul  Randriamarolaza (1986) ในบทความเรื่อง Fokonolona et cognatisme à Madagascar ชี้ให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประเพณีนี้เป็นกิจกรรมที่ค่อนข้างขัดแย้งและมีลักษณะกลับหัวกลับหาง ในเรื่องของการละเมิดสิทธิของผู้อื่นที่สามารถทำได้ภายใต้ความเข้มแข็ง คนที่ไม่สามารถรักษาทรัพย์สินดังกล่าว ก็คือคนอ่อนแอที่ไม่สามารถปกป้องตัวเอง ครอบครัวและชุมชนได้เช่นกัน  ในขณะเดียวกันการลักขโมยวัวก็คือค่านิยมที่ยอมรับร่วมกันว่าเป็นความดีงาม ยอดเยี่ยมอย่างแท้จริงที่มีร่วมกัน โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า การเป็นลูกผู้ชายที่แท้จริง เป็นหลักการของความกล้าหาญ ในด้านของความมีเล่ห์เหลี่ยมและความแคล่วคล่องว่องไว (ในการขโมย) สำหรับคนที่ไม่มีเล่ห์เหลี่ยมหรือฉลาดหลักแหลมจะถูกเรียกว่า ตาโบอาร่า “taboara” ความฉลาดหลักแหลมของพวกเขา ทำให้พวกเขาดูมีเล่ห์เหลี่ยมและบุคลิกของพวกเขาไม่ไว้ใจคนแปลกหน้าอย่างง่ายๆ โดยพวกเขามีคติพจน์ประจำกลุ่มที่เป็นเครื่องบ่งชี้ถึงการระมัดระวังตัวเองอย่างสูงว่า “ฟานาลอทซี มาโอดี ทีซี่ อีลา เวโล” (“Fanalotsy maody tsy ela velo”) ที่แปลว่า นักรบผู้ซึ่งไม่ระมัดระวังตัวเองผู้นั้นจะมีอายุไม่ยืนยาว  และให้ความสำคัญกับพลังหรือคุณค่าของความกล้าหาญพอๆกับการเป็นคนที่เปิดเผยตรงไปตรงมา รวมทั้งในเรื่องของการลักขโมยด้วย ที่ปรากฏผ่านถ้อยคำที่เกี่ยวโยงกับประเพณีของการกระทำความรุนแรงที่เรียกว่า ฮาลัทซี ออมบี (“Halatsy aomby”) หรือ การลักขโมยวัว (Theft of Cattle)  อันเป็นประเพณีที่เคร่งครัดในสังคมบาร่าที่สืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ดังที่พวกเขาอ้างอิงคำพูดของบรรพบุรุษว่า” Ny halatsy tsindrokiny ny mahery” หมายถึง การขโมยวัวนั้นคือรูปแบบของการแสวงหาหรือการเก็บสะสมทรัพย์สินที่น่ายกย่องและควรค่าแก่การสรรเสริญ ที่มีความเกี่ยวข้องกับความแข็งแรงและความเป็นชายของชนเผ่าบาร่า

การตีความของนักมานุษวิทยาเพื่อความเข้าใจในพิธีกรรมการขโมยวัวของชาวบาร่า ในด้านหนึ่งมีความหมายถึงการแลกเปลี่ยน การหมุนเวียนทรัพย์สินและการกระจายผลผลิตในทางเศรษฐกิจ และการลดความตึงเครียดจากการสะสมความมั่งคั่งที่ไม่เท่าเทียมกัน (ดังเช่น นาย ก. ขโมยวัวจากนาย ข. ที่ซึ่งนาย ข.ขโมยมาจากนาย ค. และนายค.ขโมยมาจากนาย ง.และนาย ง.ขโมยมาจากนาย ก. อีกทีหนึ่ง) ตัวอย่างเช่นในเมือง Barabe ที่เป็นสถานที่ศึกษาของ Radriamarolaza การลักขโมยวัวนั้น เป็นแนวทางที่ถูกทำให้เป็นเรื่องของขนบธรรมเนียมอย่างแท้จริงที่ถูกรักษาไว้เช่นเดียวกับสิ่งที่มีคุณค่าในชุมชนที่เรียกว่า “Tany Fiarakandrova” หรือหมู่บ้านแห่งทุ่งหญ้าเลี้ยงสัตว์ หรือหมู่บ้านแห่งคอกปศุสัตว์ (Vala/Cattle-Pen) ดังนั้น คำที่ชาวบาร่าชอบพูดว่า “Tany Fiarakandrova” หรือ  “Vala”  แสดงให้เห็นถึงสิ่งที่เรียกว่า พื้นที่สาธารณะที่ใครก็สามารถเข้าไปใช้ ครอบครองหรือเป็นเจ้าของได้ ในขณะเดียวกันคำว่า “Tanin aomby” ก็เป็นสัญลักษณ์ของความเป็นเจ้าของร่วมและอัตลักษณ์ที่มีร่วมกันของสายตระกูล (Foko/Clan) ดังนั้นเมื่อวัวอยู่ในพื้นที่สาธารณะ และเป็นทรัพย์สินที่มีลักษณะของความเป็นเจ้าของร่วมหรือการเป็นคนเชื้อสายเดียวกัน คนในชุมชนจึงมีสิทธิ์หรือความสามารถที่จะเข้ามาเป็นเจ้าของวัวที่อยู่ในพื้นที่ตรงนี้ก็ได้ (ระบบประเพณีมีมาก่อนกฏหมาย ระบบกรรมสิทธิ์ร่วมมีมาก่อนการครอบครองแบบปัจเจก)

ชุมชนบาร่าและชาวบาร่าก็เช่นเดียวกับกลุ่มชาติพันธุ์และชุมชนอื่นๆทั่วโลก ที่กำลังเผชิญหน้ากับการเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมในปัจจุบัน  ที่เกิดจากระบบทุนนิยมและกระแสโลกาภิวัตน์ ที่สร้างผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรมและการเมืองอย่างรวดเร็ว รวมทั้งเข้ามาของคนภายนอกพื้นที่หรือคนภายนอกกลุ่ม 

ในปัจจุบันการขโมยวัวจึงมีลักษณะทับซ้อนระหว่างการขโมยวัวในประเพณีของผู้ชายชาวบาร่าที่แข็งแรง (Baralahy) คนกลุ่มนี้จะไม่ดูหมิ่นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของตัวเอง และถือว่าพฤติกรรมดังกล่าว เป็นอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมของชุมชนชนเผ่าเลี้ยงสัตว์กึ่งเร่ร่อนดั้งเดิมที่สังคมยอมรับ ถือเป็นการแสดงความกล้าหาญที่สร้างศักดิ์ศรีให้กับตัวเองและมีคุณค่าสำหรับผู้หญิงที่จะเลือกเขาแต่งงานด้วยในอนาคต 

ในขณะเดียวกันก็ปฎิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน เยาวชนในชนบทบางแห่งของมาดากัสการ์ ถูกแรงกระตุ้นทางการเมืองและเศรษฐกิจ ได้รวมตัวกันทำให้เกิดกลุ่มแก๊งของหัวขโมยวัวที่อยู่นอกเหนือธรรมเนียมปฎิบัติและไม่มีศักดิ์ศรี หรือพวกหัวขโมยภายนอกที่เรียกว่า “Malaso”  ที่มีลักษณะเป็นหัวขโมยในทางเลว พวกเขาจะไม่เคารพนับถือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และสามารถขโมยวัวได้ในทุกหนแห่งไม่ว่าชุมชนไหนก็ตาม แม้กระทั่งการฆ่าเจ้าของวัว ซึ่งถือเป็นความรุนแรงอย่สงมาก. ด้วยพฤติกรรมการขโมยวัวแบบนี้ ทำให้ประเพณีการขโมยวัวของชาวบาร่าถูกมองแบบเหมารวมว่าเป็นสิ่งเลวร้าย และได้กลายเป็นพฤติกรรมเบี่ยงเบนขัดต่อกฏหมายและความสบเรียบร้อยของบ้านเมือง ในมุมมองของรัฐและเจ้าหน้าที่ จึงได้มีการควบคุมและให้ยกเลิกพิธีกรรมดังกล่าวในปัจจุบันโดยใช้กฏหมายเข้ามาควบคุมและจัดการในเรื่องนี้ ทั้งที่ในความเป็นจริงในหมู่ชนชาวบาร่ามองว่า พฤติกรรมดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมการเปลี่ยนผ่านและเป็นเครื่องมือของการก้าวไปสู่ความเป็นลูกผู้ชายที่สมบูรณ์ หาใช่ความหมายในเชิงของอาชญากร การลักขโมยแต่อย่างใด และถือเป็นคุณธรรมและค่านิยมร่วมที่ยอมรับกันได้ในกลุ่ม  โดยทั่วไปชาวบาร่าไม่นิยมฆ่าวัวหรือสัตว์เลี้ยงของตัวเอง ยกเว้นในพิธีกรรมความตาย (Funeral) และการเซ่นสรวงสังเวยในพิธีกรรม อาหารสำคัญของชาวบาร่าคือ ข้าว นม ผักและมันสำปะหลัง เท่านั้น

ปัจจุบันสิ่งที่น่าสนใจอย่างหนึ่งของการเปลี่ยนพิธีกรรมดังกล่าว คือความแตกต่างทางชนชั้นที่มากขึ้น ผ่านการสะสมความมั่งคั่ง ไม่ใช่การกระจายทรัพยากรจากคนที่มีมากกว่า ไปให้กับคนที่น้อยกว่า หรือนัยของความเข้มแข็งและความเป็นชาย รวมทั้งไม่ได้มีนัยสำคัญทางวัฒนธรรม  ปัจจุบันการยอมรับความมั่งคั่งทางเศรษฐกิจ การเน้นวัตถุเงินตราต่างหากที่มีความสำคัญ และได้นำไปสู่รูปแบบการขโมยวัวที่อยู่นอกเหนือประเพณีและอยู่นอกเหนือจากที่กฏหมายกำหนดมากขึ้นในปัจจุบัน...







ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง