ในช่วงเตรียมการสอน การเปลี่ยนแปลงทางสังคมวัฒนธรรมกับการพัฒนา... เห็นข่าวจากสื่อ เพื่อนแวดวงการพัฒนาเกี่ยวกับโครงการเรื่องน้ำและเขื่อน มีประเด็นที่น่าสนใจพานักศึกษาได้เรียนรู้และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในประเด็นเรื่องการพัฒนา...
HIDDEN COST OF HYDROELECTRIC POWER DAM: ต้นทุนที่ซ่อนเร้นของเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ
ต้นทุนที่ซ่อนเร้นของโครงการสร้างเขื่อนกักเก็บน้ำเพื่อนำมาผลิตกระแสไฟฟ้า (HYDROELECTRIC POWER DAM) ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่เราควรพิจาณาถึงแผนของการสร้างเขื่อนที่ผุดขึ้นทั่วโลกว่าคุ้มค่าหรือไม่
จำนวนแผนการสร้างเขื่อนที่มากกว่า 1,000 แห่งทั่วโลกที่มีลักษณะเป็น Hydroelectric power dam บ่งชี้ยุทธศาสตร์หรือแผนงานของการจัดสร้างเขื่อนลักษณะแบบนี้ในที่ต่างๆทั่วโลก รวมทั้งแผนการสร้างเขื่อน 147 แห่งในพื้นที่ลุ่มน้ำอะเมซอน ของทวีปอเมริกาใต้
การศึกษาใหม่ๆเกี่ยวกับเรื่องของเขื่อน ได้ทำให้เราได้พบความจริงเกี่ยวกับต้นทุนทางสังคม วัฒนธรรม เศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม อันเป็นสิ่งที่ประเมินค่าได้ยากมากก่อนการก่อสร้างเขื่อน รวมถึงปัจจัยอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับต้นทุน ทั้งในช่วงเวลา หรืออายุขัยของเขื่อน (The Lifetime cost of dam) ค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเขื่อนและการทำลายเขื่อนหลังสิ้นสุดโครงการ ผลกระทบที่เกี่ยวโยงกับเรื่องของระบบนิเวศ ระบบอุทกศาสตร์ การไหลเวียนของน้ำ เกิดการชะลอและการต้านทานการไหลของน้ำที่ส่งผลต่อระบบนิเวศพันธุ์พืช พันธุ์ปลาที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น รวมทั้งผลกระทบในเรื่องของการใช้น้ำเพื่อสร้างผลิตผลภาคการเกษตรที่เกิดจากการควบคุมและการจัดการทรัพยากรน้ำของผู้มีอำนาจ ทั้งนี้ยังไม่นับถึงเรื่องของความโปร่งใส การทุจริตและการคอรัปชั่น ระหว่างรัฐบาลกับบริษัทที่ดำเนินการสร้างเขื่อนซึ่งมักจะเกิดขึ้นอยู่เป็นประจำในประเทศกำลังพัฒนาหรือแม้แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วก็ตาม
ดังนั้นการประเมินผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (Environment impact assessments, EIAs) และการประเมินผลกระทบทางด้านสังคม (Social impact assessments, SIAs) รวมถึงการประเมินผลกระทบทางด้านสุขภาพ (Health Impact assessments, HIAs) จะต้องมีน้ำหนักและข้อมูลที่มากเพียงพอสำหรับการบ่งชี้ถึงผลกระทบทางด้านลบของการสร้างเขื่อนหรือสามารถนำข้อมูลมาชี้ให้เห็นผลกระทบและความสำคัญของมิติทางสังคมและวัฒนธรรมที่ต้องรักษาไว้ ที่สามารถจะใช้ต่อต้านต่อรองกับการพัฒนาหรือโครงการสร้างเขื่อน ที่สำคัญกระบวนการเหล่านี้ ควรที่จะต้องรับฟังความคิดเห็นอย่างรอบด้าน โดยเฉพาะคนที่อยู่ในพื้นที่และชุมชนที่มีวิถีชีวิตทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมที่ผูกพันกับแหล่งทรัพยากรน้ำเหล่านี้เป็นผู้ตัดสินและกำหนดชะตากรรมด้วยตัวเอง
มีการคาดคะเนว่าจำนวน 3,700 เขื่อนที่ถูกสร้างไปแล้ว หรือกำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้าง ในประเทศกำลังพัฒนาทั่วโลก รวมถึงเขตลุ่มน้ำอะเมซอนที่กำลังจะมีการสร้างเขื่อนถึง 147 เขื่อน มักจะถูกโปรโมตในแง่ของความเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม การไม่สร้างผลกระทบกับสังคมและชุมชน และเป็นพลังงานสะอาดที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ได้
ในงานทบทวนการวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ใน Proceeding of the National Academy of Sciences of the United States of America (PNAS) นักวิจัยได้โต้แย้งความจริงในเรื่องของต้นทุนในโครงการสร้างเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำ ซึ่งผลที่ได้จากการคำนวณต้นทุนที่เสียไป ต่ำกว่าความเป็นจริงอย่างมาก ทั้งในแง่ความเสี่ยงหรือภัยคุกคามในทางเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมที่เป็นผลกระทบที่ต่อเนื่องตามมาภายหลังของการสร้างเขื่อน ที่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งที่เรียกว่าต้นทุนที่ซ่อนเร้น
จากข้อมูลที่สำรวจ มีการประมาณการว่าทั่วโลก ประชากรมากกว่า 472 ล้านคน ได้รับผลกระทบทางด้านลบต่อการสร้างเขื่อนมานานหลายทศวรรษ ทั้งในแง่ของทิศทางการไหลของกระแสน้ำ (Downstream) การพึ่งพาแม่น้ำที่หล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของผู้คนชุมชน เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก ทั้งเรื่องของการกีดกัน การลิดรอนและการลดทอนในเรื่องของความมั่นคงและความยั่งยืนในชีวิตและอาหาร รวมทั้งการได้รับความทุกข์ทรมานจากการสูญเสียทางวัฒนธรรมที่มิอาจประเมินค่าได้ ตัวอย่างเช่น การสร้างเขื่อนที่ชื่อว่า Tucurui Dam ในเขตลุ่มน้ำอะเมซอนของประเทศบราซิล ส่งผลให้ปริมาณปลาที่จับได้ในแม่น้ำลดลงถึง 60 เปอร์เซ็นต์ ผู้คนกว่า 100,000 คน ที่อาศัยตามลำน้ำได้รับผลกระทบจากการสูญเสียอาชีพประมง พื้นที่ทางการเกษตรถูกน้ำท่วมอันเนื่องมาจากการสร้างเขื่อน รวมทั้งสูญเสียแหล่งทรัพยากรอื่นๆทั้งพันธุ์พืช พันธุ์สัตว์และความหลากหลายทางนิเวศวิทยาที่อยู่บริเวณแม่น้ำ
ในทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป มีจำนวนเขื่อนที่สร้างข้นเป็นจำนวนมาก เฉพาะประเทศสหรัฐอเมริกามีการสร้างเขื่อนจำนวนมากที่สุด และมีจำนวนเขื่อมมากกว่า 60 เขื่อนในแต่ละปีที่ถูกทำลายทิ้งตั้งแต่ช่วงปี ค.ศ. 2006 เป็นต้นมา เนื่องจากค่าใช้จ่ายในการซ่อมแซมเขื่อนในแต่ละครั้ง ต้องใช้ค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงมาก งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่า The lifespan of dam หรือช่วงเวลาของเขื่อนมีการจำกัดอย่างมาก อย่างเช่นเขื่อนที่กำลังจะสร้างในประเทศบราซิล เป้าหมายของการดำเนินโครงการมีระยะเวลาเพียง 30 ปีเท่านั้น เนื่องจากวัสดุที่ใช้สร้างเขื่อนมีอายุและความเสื่อมสภาพของตัวเอง ซึ่งอายุของเขื่อนหรือของโครงการ มีระยะเวลาน้อยมากเมื่อเทียบกับอายุของชุมชนที่ดำรงอยู่มานานนับเป็นร้อยเป็นพันปี
การสร้างเขื่อนยังนำสู่ความสูญเสียอย่างมหาศาลในชีวิตและทรัพย์สิน ในปีค.ศ. 1976 เขื่อนเทลตัน (The Telton Dam ) ในรัฐ Idaho ประเทศสหรัฐอเมริกา รัฐต้องสูญเสียเงินมากกว่า 2 พันล้านบาทจากการซ่อมแซมความเสียหาย จากกรณีเขื่อนแตก และกรณีดังกล่าวมีผู้เสียชีวิต 4 คน หรือในปีค.ศ. 2018 ประชาชนกว่า 40 คนเสียชีวิต และ 6,000 กว่าคน กลายเป็นคนไร้ที่อยู่อาศัยโดยการถล่มจากอุทกภัยครั้งใหญ่ ของเขื่อนเซเปียน เซน้ำน้อย (XE-PIAN XE-NAMNOY) ที่เป็นเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำในเขตลุ่มน้ำโขงของประเทศลาว
ดังนั้นต้นทุนที่ซ่อนเร้น(Hidden Cost) มักไม่ถูกนำมาคิดในกระบวนการของการพัฒนาและการให้บริการต่างๆที่มีผลกระทบต่อวิถีชีวิตของผู้คน ตัวอย่างเช่น โรงพยาบาลที่ออกแบบการให้บริการทางสุขภาพมาให้กับประชาชนเพื่อให้มีความทันสมัยและใช้เทคโนโลยีชั้นสูงในการรักษาโรค รวมทั้งมีแพทย์และพยาบาลที่เชี่ยวชาญ ที่นำต้นทุนเหล่านี้มาใช้คำนวณอัตราค่าบริการต่างๆของโรงพยาบาล ในขณะเดียวกันต้นทุนของผู้เข้ารับบริการ แต่ละคนมันย่อมไม่เท่ากันหรือเหมือนกัน เช่น ระยะทางที่ต้องเดินทางจากบ้านมายังโรงพยาบาล ค่าน้ำมันรถหรือค่าจ้างรถโดยสารที่ใช้เดินทางมาโรงพยาบาล ระยะเวลาในการรอคอย การเข้าคิวรอ หรือแม้แต่ศักยภาพในการเข้าถึงยาและเทคโนโลยีในการรักษา นี่คือทุนที่ชาวบ้านจะต้องจ่ายแต่ไม่ถูกนำมาคิดคำนวณอัตราค่าบริการทางสุขภาพ ภายใต้เงื่อนไขและข้อจำกัดของต้นทุนของผู้คนที่มีความแตกต่างกัน หากแต่ได้นำเอามาตรฐานเพียงด้านเดียว มาใช้ในการคิดคำนวณโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยเงื่อนไขอื่นๆประกอบ เช่นเดียวกับการสร้างเขื่อน ต้นทุนที่ซ่อนเร้นต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นวิถีชีวิต สิ่งแวดล้อม ระบบนิเวศดิน น้ำ ป่า และอื่นๆ สิ่งเหล่านี้ไม่เคยถูกนำมาคิดวิเคราะห์ ในกระบวนการพัฒนาหรือโครงการขนาดใหญ่ที่มีผลกระทบต่อชุมชนเลย ซึ่งควรจะทบทวนและชี้ให้เห็นการสูญเสียประโยชน์หรือต้นทุนที่แท้จริงที่เกิดจากกระบวนการพัฒนา บทเรียนจากการศึกษาและผลกระทบที่เกิดจากการสร้างเขื่อนควรที่จะถูกนำมาใช้เป็นกรณีศึกษา อย่างเร่งผลักดันโครงการเมกกะโปรเจคใหญ่ๆ เช่น โครงการโขง ชี มูล เลย แม่น้ำสงคราม ที่จะสร้างฝาย สร้างเขื่อนจำนวนมากขึ้นในปะเทศ รวมทั้งการมองการพัฒนาที่เชื่อมโยงกันในระดับประเทศ การเป็นคนที่ใช้ลำน้ำร่วมกัน การพัฒนาอย่างใดอย่างหนึ่งในพื้นที่หนึ่ง ย่อมมีผลกระทบกับพื้นที่อื่นๆด้วย เช่น การสร้างเขื่อนในจีน กับระดับน้ำแลกระแสน้ำในแม่น้ำโขงที่เปลี่ยนแปลงและส่งผลกระทบต่อผู้คนในภูมิภาคลุ่มน้ำโขงที่ใช้ทรัพยากรร่วมกัน การแก้ปัญหาจึงควรจะแก้ปัญหาในระดับภูมิภาค ไม่ใช่การแก้ปัญหาเพียงพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งที่เฉพาะเท่านั้น รวมทั้งการทำให้เห็นต้นทุนซ่อนเร้น ต้นทุนที่ใช้ร่วมจึงเป็นเรื่องสำคัญและควรนำมาใช้พิจารณาอย่างรอบด้าน
@ ที่มาของข้อมูลประกอบการเขียน: The hidden costs of hydro: We need to reconsider world’s dam plans by Liz Kimbrough on 5 March 2019
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น