ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์จาก กุมภาพันธ์, 2025

การดูแลจากระยะไกล บนความใกล้ชิดของเทคโนโลยี… โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

เรื่องการดูแลจากระยะไกล บนความใกล้ชิดของเทคโนโลยี… หนังสือ Care at a Distance: On the Closeness of Technology (2012) โดย Jeannette Pols เป็นงานศึกษาทางสังคมศาสตร์และปรัชญาที่สำรวจบทบาทของเทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในกรณีของการดูแลจากระยะไกล (telecare หรือ remote care ) หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการในบริบทของการใช้เทคโนโลยีในการดูแล และเสนอว่าการดูแลผ่านเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงการสร้างระยะห่างทางกายภาพ แต่ยังสามารถสร้างความใกล้ชิดในรูปแบบใหม่ได้ด้วย โดย Jeannette Pols ตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติของ “การดูแล” (care) ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแพทย์และการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง เธอเสนอว่าแม้เทคโนโลยีจะดูเหมือนสร้าง “ระยะห่าง” (distance ) ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ แต่ในความเป็นจริง เทคโนโลยีกลับสามารถสร้างรูปแบบใหม่ของ “ความใกล้ชิด” (closeness ) ได้ แนวคิดสำคัญของเธอในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย 1. Reconceptualizing Care( ทบทวนแนวคิดเรื่องการดูแล) Pols เสนอว่าการดูแลไม่ได้หมายถึงเ...

การแพทย์กับเทคโนโลยี โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือTechnological Medicine: The Changing World of Doctors and Patients (2009) โดย Stanley Joel Reiser เป็นหนังสือที่วิเคราะห์บทบาทของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วย รวมถึงผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขในวงกว้าง Joel Reiser สำรวจว่าเทคโนโลยีช่วยให้การแพทย์ก้าวหน้าขึ้นอย่างไร แต่ขณะเดียวกันก็อาจทำให้เกิดปัญหาด้านจริยธรรมและความสัมพันธ์ทางมนุษย์ที่ลดลง แนวคิดสำคัญที่เขาใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์ที่น่าสนใจคือ 1. เทคโนโลยีกับการเปลี่ยนแปลงบทบาทของแพทย์และผู้ป่วย โดยในอดีต การวินิจฉัยโรคอาศัยการตรวจร่างกายโดยตรงและการซักประวัติอย่างละเอียดจากแพทย์ แต่เทคโนโลยีใหม่ อาทิเช่น MRI, CT Scan และการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ทำให้แพทย์พึ่งพาผลตรวจทางเทคนิคมากกว่าการสังเกตทางคลินิกแบบดั้งเดิม การเพิ่มขึ้นของ “เครื่องมือแพทย์เป็นศูนย์กลาง” (Technology-Centered Medicine) Reiser อธิบายว่าในอดีต แพทย์ต้องใช้ทักษะการตรวจร่างกายและการสัมผัสเพื่อวินิจฉัยโรค แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยี เช่น EKG (electrocardiogram), X-ray, MRI, และ CT Scan ทำให้การแพทย์พึ่งพาข้อมูลที...

ชีวิตทางสังคมของยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ชีวิตทางสังคมของยา …(The Social Lives of Medicines) หนังสือที่ชื่อว่า Social Lives of Medicines (2012) เขียนโดย Whyte, Susan Reynolds และคณะ หนังสือเล่มนี้มีความน่าสนใจ ในการศึกษาและวิเคราะห์ว่า ยาถูกใช้งานและได้รับความหมายทางสังคมอย่างไร ในบริบทที่แตกต่างกัน โดยผู้เขียนใช้แนวทางมานุษยวิทยาเพื่อสำรวจว่า ยาเป็นมากกว่าสารเคมีทางชีวภาพ แต่เป็นสิ่งที่มีบทบาทในโครงสร้างสังคมและเศรษฐกิจ อีกทั้งผู้เขียนนำเสนอมุมมองทางมานุษยวิทยาต่อ “ยา” ว่าไม่ได้เป็นเพียงสารเคมีที่มีผลต่อร่างกายเท่านั้น แต่เป็นวัตถุที่มีชีวิตทางสังคม (social lives) ซึ่งถูกสร้างความหมาย ปรับเปลี่ยน และใช้ในบริบทที่แตกต่างกันทั่วโลก แนวคิดสำคัญที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ มีหลายแนวคิดเช่น 1. ยามี “ชีวิตทางสังคม” (Social Lives) หรือเรียกว่าชีวิตทางสังคมของยา (The Social Lives of Medicines)แนวคิดนี้ได้รับอิทธิพลจากแนวคิด The Social Life of Things ของ Arjun Appadurai (1986) ซึ่งอธิบายว่าวัตถุทางวัตถุวิสัยไม่ได้มีความหมายคงที่ แต่ได้รับการให้ความหมายใหม่เมื่อถูกใช้ในบริบทที่แตกต่างกัน ดังนั้นยาไม่ได้เป็นเพียง “เครื่อง...

ความรักแบบโรแมนติกกับมุมมองทางมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

มานุษยวิทยาโรแมนติก…ก่อนวาเลนไทม์ อยากเขียน..วัฒนธรรมกับความรัก ก็ลองค้นหาวัตถุดิบและข้อมูลที่จะนำมาเขียน ปรุงรสตามสไตล์…รวมทั้งใช้จดหมายที่ผมกับแฟนเคยเขียนส่งถึงกัน การ์ดที่ทำส่งให้กัน ตั๋วรถไฟที่ไปเที่ยวด้วยกันครั้งแรก ผ้าพันคอที่ถักให้กันตอนไปเรียน หรือภาพพรีเวดดิ้ง ของชำร่วย เพื่อย้อนวันวานยังหวานอยู่ ไม่ว่าวันไหน.. ผมนึกถึงหนังสือเล่มหนึ่งที่ขื่อ Romantic Passion: A Universal Experience? เป็นหนังสือที่ได้รับการแก้ไขและรวบรวมโดย William Jankowiak ซึ่งเป็นนักมานุษยวิทยาที่ศึกษาความรักและความสัมพันธ์ในบริบททางวัฒนธรรมที่หลากหลาย หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามว่าความรักแบบโรแมนติกเป็นปรากฏการณ์สากลที่มีอยู่ในทุกวัฒนธรรมหรือไม่ และมีการนำเสนองานวิจัยเชิงเปรียบเทียบจากสังคมต่างๆ ทั่วโลก Jankowiak และนักวิชาการคนอื่นๆ นำเสนอหลักฐานจากหลากหลายวัฒนธรรมเพื่อสนับสนุนว่าความรักโรแมนติกพบได้ทั่วไป แต่ลักษณะการแสดงออกและความหมายของมันถูกกำหนดโดยบริบททางวัฒนธรรมดังนั้นแม้ว่าความรักโรแมนติกจะมีอยู่ในหลายสังคม แต่ลักษณะของมันแตกต่างกันไป เช่น บางสังคมให้ความสำคัญกับความรักในการแต่งงาน ในขณะที่บ...

จากความรู้ท้องถิ่นสู่ประเด็นสาธารณะ: การขยายกรอบงานมานุษยวิทยาเพื่อการเปลี่ยนแปลงทางสังคม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

งานศึกษาทางมานุษยวิทยามักให้ความสำคัญกับ ความรู้และวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยศึกษาความหมาย แนวปฏิบัติ และการดำรงอยู่ของกลุ่มต่าง ๆ ในบริบทที่เฉพาะเจาะจง แต่หากต้องการแปลงองค์ความรู้นี้ไปสู่ประเด็นสาธารณะที่ต้องการแนวทางแก้ไขปัญหาในระดับที่กว้างขวางขึ้น นักมานุษยวิทยาจำเป็นต้องใช้ เครื่องมือ แนวคิด และกระบวนการแปลงงานวิจัย เพื่อสร้างอิทธิพลต่อสังคมวงกว้าง 1. การแปลความรู้ท้องถิ่นหรือความรู้เฉพาะบริบทให้เชื่อมโยงกับโครงสร้างทางสังคมที่กว้างขึ้น นักมานุษยวิทยาต้องช่วยทำให้ความรู้ท้องถิ่นไม่ถูกมองว่าเป็นเพียงเรื่องของชุมชนเล็ก ๆ แต่เป็น “ตัวอย่าง” หรือ “กรณีศึกษา” ที่สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างที่ใหญ่กว่า ตัวอย่างเช่น งานของ Anna Tsing (The Mushroom at the End of the World) ที่ศึกษาเศรษฐกิจของเห็ดมัตสึทาเกะ ทำให้เห็นว่าเศรษฐกิจของกลุ่มชนพื้นเมืองเชื่อมโยงกับ ตลาดโลกและการเปลี่ยนแปลงทางนิเวศวิทยา หรืองานของ James C. Scott (Weapons of the Weak) ที่ศึกษาการต่อต้านของชาวนาในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถนำไปใช้ทำความเข้าใจ ขบวนการต่อต้านทางการเมือง ในหลายประเทศ การนำไปใช้เช่น ขยายกรอบงานวิ...

แนวคิด zomia และ Anarchist กับความท้าทาย โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือเรื่อง The Art of Not Being Governed: An Anarchist History of Upland Southeast Asia (2009)ของ James C. Scott มานุษยวิทยาและนักรัฐศาสตร์ ผู้ซึ่งเสนอว่ากลุ่มชนที่อาศัยอยู่ใน Zomia มักเป็นกลุ่มที่ หลีกเลี่ยงรัฐและการควบคุมของรัฐ ผ่านวิถีชีวิตแบบเร่ร่อน การเพาะปลูกแบบไร่หมุนเวียน และโครงสร้างสังคมที่กระจายอำนาจ เมื่อเชื่อมโยงกับแนวคิเ Zomia เป็นแนวคิดทางภูมิรัฐศาสตร์และมานุษยวิทยาที่ใช้เรียกพื้นที่ภูเขาสูงในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งครอบคลุมบางส่วนของ เวียดนาม ลาว กัมพูชา ไทย เมียนมา จีน และบางส่วนในอินเดีย และบังกลาเทศ ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยของกลุ่มชาติพันธุ์จำนวนมากที่ จงใจหลีกเลี่ยงการถูกควบคุมโดยรัฐ แนวคิดนี้ได้รับความสนใจจากนัก แนวคิดหลักของ Zomia โดยสรุป เน้นเรื่อง 1. การหลีกหนีรัฐ โดยพื้นที่ที่เรียกว่า Zomia ถูกมองว่าเป็น “ภูมิประเทศแห่งเสรีภาพ” ที่กลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ใช้เพื่อหลีกเลี่ยงอำนาจของรัฐที่อยู่ในที่ราบ Zomia จึงเป็นพื้นที่ต่อต้านรัฐ โดยผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ภูเขาเลือกที่จะใช้ชีวิตในแบบที่ทำให้รัฐควบคุมได้ยาก เช่น เคลื่อนย้ายที่อยู่บ่อย ๆ ปลูกพืชท...

พรมแดนของความรู้และความไม่รู้ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

พรมแดนของความรู้และไม่รู้ หมายถึงขอบเขตที่แบ่งแยกระหว่างสิ่งที่มนุษย์สามารถเข้าใจหรืออธิบายได้ (ความรู้) กับสิ่งที่ยังไม่สามารถเข้าใจหรืออธิบายได้ในขณะนั้น (ไม่รู้) โดยพรมแดนนี้เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะ “ยืดหยุ่น” และ “เปลี่ยนแปลงได้” ตามการค้นพบใหม่ ๆ และการขยายตัวของความรู้ ลักษณะสำคัญของพรมแดนความรู้และไม่รู้ 1. ความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พรมแดนความรู้นี้ไม่คงที่ เพราะความรู้ใหม่ ๆ มักเกิดขึ้นจากการตั้งคำถามกับสิ่งที่ยังไม่รู้ ตัวอย่างเช่น ความรู้เกี่ยวกับโรคเช่น COVID-19 มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงแรกของการระบาด พรมแดนของ “ไม่รู้” (เช่น วิธีการรักษา) ค่อย ๆ ถูกผลักออกไปเมื่อมีการวิจัยเพิ่มขึ้น 2. การคงอยู่ของ “ไม่รู้” แม้ความรู้จะเพิ่มขึ้น แต่ความไม่รู้ไม่ได้ลดลงเสมอไป เพราะการค้นพบใหม่มักนำไปสู่คำถามใหม่ ๆ ที่ท้าทายความเข้าใจเดิมตัวอย่างเช่น ขณะที่เราสร้าง AI เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อน แต่คำถามเกี่ยวกับ “จิตสำนึก” ของ AI ยังอยู่ในขอบเขตของความไม่รู้ของพวกเรา หรือแม้เรารู้จักดาวเคราะห์จำนวนมาก แต่เราก็ยังไม่เข้าใจเรื่องพลังงานมืดหรือความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตในดาว...

แนวคิด Multispecies หลากสายพันธุ์ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

มโนทัศน์เรื่อง Multispecies ผมอยากเริ่มต้นจากแนวคิด Animism, Totemism, Analogism, และ Naturalism เป็น 4 ระบบออนโทโลยีหลักที่ Philippe Descola นำเสนอในงาน Beyond Nature and Culture (2013) เพื่ออธิบายว่า วัฒนธรรมต่าง ๆ รับรู้และสร้างความสัมพันธ์กับสัตว์และธรรมชาติอย่างไร โดยแต่ละระบบมีมุมมองต่อ มนุษย์และสัตว์ในฐานะผู้กระทำ (agent) หรือผู้ถูกกระทำ (acted upon) ที่แตกต่างกัน โดยสามารถแยกอธิบายได้ดังนี้ 1. Animism (วิญญาณนิยม) มนุษย์และสัตว์เป็น “บุคคล” ที่มีจิตวิญญาณ ภายใต้มุมมองว่ามนุษย์และสัตว์มี จิตวิญญาณเหมือนกัน แต่มีร่างกายที่ต่างกัน สัตว์สามารถเป็น ผู้กระทำ ได้ เช่น พวกมันอาจเข้าใจมนุษย์ พูดคุย หรือมีเจตจำนงของตนเอง ในขณะที่มนุษย์ต้องสร้างความสัมพันธ์กับสัตว์ผ่านพิธีกรรมและการแลกเปลี่ยน รวมถึงการล่าสัตว์ไม่ใช่แค่การฆ่า แต่เป็น ข้อตกลงทางจิตวิญญาณ ตัวอย่างเช่น ชนพื้นเมืองอเมซอน (Achuar, Yanomami) เชื่อว่าสัตว์ เช่น เสือจากัวร์ หรือปลามีจิตวิญญาณของตัวเอง และสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ พิธีกรรมขอขมาต่อสัตว์ หลังการล่า เช่น ในชนเผ่าอินูอิต ที่เชื่อว่าการฆ่าต้องได้รับ “อนุญาต”...