ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การดูแลจากระยะไกล บนความใกล้ชิดของเทคโนโลยี… โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

เรื่องการดูแลจากระยะไกล บนความใกล้ชิดของเทคโนโลยี… หนังสือ Care at a Distance: On the Closeness of Technology (2012) โดย Jeannette Pols เป็นงานศึกษาทางสังคมศาสตร์และปรัชญาที่สำรวจบทบาทของเทคโนโลยีในการดูแลสุขภาพ โดยเฉพาะในกรณีของการดูแลจากระยะไกล (telecare หรือ remote care ) หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการในบริบทของการใช้เทคโนโลยีในการดูแล และเสนอว่าการดูแลผ่านเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงการสร้างระยะห่างทางกายภาพ แต่ยังสามารถสร้างความใกล้ชิดในรูปแบบใหม่ได้ด้วย โดย Jeannette Pols ตั้งคำถามเกี่ยวกับธรรมชาติของ “การดูแล” (care) ในยุคที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทสำคัญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการแพทย์และการดูแลผู้ป่วยเรื้อรัง เธอเสนอว่าแม้เทคโนโลยีจะดูเหมือนสร้าง “ระยะห่าง” (distance ) ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ แต่ในความเป็นจริง เทคโนโลยีกลับสามารถสร้างรูปแบบใหม่ของ “ความใกล้ชิด” (closeness ) ได้ แนวคิดสำคัญของเธอในหนังสือเล่มนี้ประกอบด้วย 1. Reconceptualizing Care( ทบทวนแนวคิดเรื่องการดูแล) Pols เสนอว่าการดูแลไม่ได้หมายถึงเพียงแค่การตอบสนองความต้องการทางกายภาพของผู้ป่วย แต่รวมถึงการสร้างความสัมพันธ์ (relational care) และการมีปฏิสัมพันธ์ผ่านเทคโนโลยี เธอวิพากษ์มุมมองแบบดั้งเดิมที่มองว่าการดูแลต้องเกิดขึ้นในที่เดียวกันทางกายภาพ และเสนอว่าการใช้เทคโนโลยีสามารถช่วยให้เกิดการดูแลที่มีคุณภาพ แม้ว่าผู้ดูแลและผู้รับการดูแลจะไม่ได้อยู่ร่วมกัน 2. Technology as a Mediator เทคโนโลยีไม่ใช่เพียงเครื่องมือในการส่งผ่านข้อมูลหรือคำสั่ง แต่เป็น “ตัวกลาง” ที่กำหนดรูปแบบของความสัมพันธ์ระหว่างผู้ให้บริการและผู้รับบริการ ตัวอย่างที่สำคัญคือการใช้กล้องวิดีโอหรือระบบสื่อสารทางไกลในการเฝ้าติดตามสุขภาพของผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยเรื้อรัง เทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถดูแลผู้ป่วยได้โดยไม่ต้องอยู่ในสถานที่เดียวกัน 3. Forms of Closeness at a Distance (รูปแบบของความใกล้ชิดในระยะไกล อยู่ห่างๆแบบห่วงๆ) แม้ว่าเทคโนโลยีดูเหมือนจะสร้าง “ระยะห่าง” (distance ) แต่ Pols โต้แย้งว่าเทคโนโลยีก็สามารถสร้าง “ความใกล้ชิด” (closeness ) ได้ในแบบที่แตกต่างออกไป โดยเธออธิบายว่าการดูแลจากระยะไกลสามารถทำให้เกิดความใกล้ชิดทางอารมณ์และความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งขึ้นได้เช่นกัน ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยที่ได้รับการเฝ้าดูแลผ่านอุปกรณ์ทางไกลอาจรู้สึกมั่นใจและปลอดภัยมากขึ้น แม้จะไม่มีผู้ดูแลอยู่ใกล้ตัว แต่การใช้ระบบวิดีโอเพื่อดูแลผู้สูงอายุก็มีความสำคัญ โดย Pols ศึกษากรณีของผู้สูงอายุที่ใช้ระบบวิดีโอเพื่อติดต่อกับบุคลากรทางการแพทย์ การศึกษาชี้ให้เห็นว่าผู้สูงอายุไม่ได้มองวิดีโอเป็นเพียงเครื่องมือเฝ้าติดตาม แต่กลับมองว่าเป็นช่องทางในการสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายกับแพทย์และพยาบาล 4. การดูแลจากระยะไกลเป็นมากกว่าการเฝ้าติดตาม (Telecare as More Than Surveillance) Pols ตั้งข้อสังเกตว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ เช่น กล้องวิดีโอ เซ็นเซอร์ และอุปกรณ์ดิจิทัล มักถูกมองว่าเป็นเครื่องมือเฝ้าระวัง (surveillance) เพื่อให้บุคลากรทางการแพทย์สามารถติดตามอาการของผู้ป่วยได้จากระยะไกล อย่างไรก็ตาม เธอชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีเหล่านี้ไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือในการควบคุมหรือเก็บข้อมูลทางการแพทย์ แต่ยังเป็นช่องทางในการสร้างความสัมพันธ์และความรู้สึกผูกพันระหว่างผู้ดูแลและผู้ป่วย ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยบางรายที่ใช้ระบบกล้องวิดีโอเพื่อติดต่อกับพยาบาลหรือแพทย์ระบุว่าพวกเขารู้สึกเหมือนได้รับการเอาใจใส่ แม้ว่าผู้ดูแลจะไม่ได้อยู่ในสถานที่เดียวกัน พยาบาลสามารถให้คำแนะนำและปลอบโยนผู้ป่วยผ่านหน้าจอ ซึ่งช่วยสร้างความไว้วางใจและความรู้สึกมั่นใจ 5.การดูแลในฐานะ “ปฏิบัติการทางศีลธรรม” (Care as a Moral Practice) Pols ให้ความสำคัญกับแนวคิดที่ว่าการดูแลไม่ใช่แค่กิจกรรมที่มีเป้าหมายเพื่อรักษาสุขภาพของบุคคลเท่านั้น แต่ยังเป็น “ปฏิบัติการทางศีลธรรม” (moral practice) ที่เกี่ยวข้องกับคุณค่าทางสังคม เช่น ความเห็นอกเห็นใจ ความรับผิดชอบ และความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ในบางกรณีที่ครอบครัวใช้เทคโนโลยีเพื่อติดตามสุขภาพของผู้สูงอายุ พวกเขามักไม่เพียงแค่ใช้ระบบเฝ้าติดตามเพื่อเช็กอาการทางกายภาพของผู้ป่วย แต่ยังใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อกลางในการสื่อสาร อาทิ การพูดคุยผ่านวิดีโอคอล หรือแม้กระทั่งการใช้ AI เพื่อให้การดูแลที่เป็นส่วนตัวมากขึ้น รวมถึงการสร้าง “ชุมชน” ของผู้ดูแลผ่านเทคโนโลยี การดูแลผ่านเทคโนโลยีไม่ได้จำกัดอยู่แค่ผู้ป่วยและบุคลากรทางการแพทย์ แต่ยังรวมถึงเครือข่ายของผู้ดูแล เช่น ครอบครัว และอาสาสมัครที่สามารถมีส่วนร่วมในการดูแลผ่านแพลตฟอร์มดิจิทัลด้วย 6.เทคโนโลยีเปลี่ยนแปลงบทบาทของผู้ป่วย (Technology and the Changing Role of Patients) เทคโนโลยีไม่ได้ส่งผลต่อเฉพาะบุคลากรทางการแพทย์เท่านั้น แต่ยังเปลี่ยนบทบาทของผู้ป่วยด้วย จากเดิมที่ผู้ป่วยมักจะเป็นผู้รับการดูแลอย่างเฉยเมย (passive recipient) เทคโนโลยีช่วยให้พวกเขามีส่วนร่วมมากขึ้นในการดูแลสุขภาพของตนเอง (active participant) ตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีอย่างแอปพลิเคชันติดตามสุขภาพ (health tracking apps) หรืออุปกรณ์สวมใส่ (wearable devices) เช่น Fitbit หรือเครื่องวัดระดับน้ำตาลในเลือดแบบดิจิทัล ช่วยให้ผู้ป่วยสามารถติดตามอาการของตัวเองได้แบบเรียลไทม์ พวกเขาไม่จำเป็นต้องรอให้แพทย์มาวินิจฉัยเสมอไป แต่สามารถสังเกตและจัดการสุขภาพของตัวเองได้ล่วงหน้า 7. เทคโนโลยีสร้าง “พื้นที่ใหม่ของการดูแล” (Technology as a New Space for Care) Pols ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีทำให้การดูแลไม่ได้จำกัดอยู่แค่ในโรงพยาบาลหรือบ้านของผู้ป่วย แต่ยังขยายไปสู่ “พื้นที่ดิจิทัล” (digital space) ที่การดูแลสามารถเกิดขึ้นได้ในรูปแบบใหม่ ตัวอย่างเช่น ผู้ป่วยโรคเรื้อรังบางกลุ่มใช้ฟอรัมออนไลน์หรือโซเชียลมีเดียในการแลกเปลี่ยนประสบการณ์และให้คำแนะนำแก่กัน เทคโนโลยีช่วยให้พวกเขาสร้าง “ชุมชนของการดูแล” (care communities) ที่เกื้อกูลกัน แม้จะไม่เคยพบหน้ากันมาก่อน รวมทั้งการใช้เทคโนโลยีเพื่อการดูแลตนเอง หนังสือกล่าวถึงเทคโนโลยีที่ช่วยให้ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ หรือโรคเบาหวาน สามารถติดตามอาการของตัวเองผ่านอุปกรณ์ดิจิทัล ซึ่งช่วยให้พวกเขามีบทบาทมากขึ้นในการดูแลสุขภาพของตนเองมากขึ้น 8. เทคโนโลยีสามารถเสริมพลังหรือทำให้การดูแลด้อยค่าลงได้ (Technology Can Empower or Undermine Care) Pols เตือนว่าถึงแม้เทคโนโลยีจะสามารถสร้างความใกล้ชิดใหม่ ๆ ได้ แต่หากใช้โดยไม่มีความเข้าใจในมิติทางสังคม ก็อาจทำให้การดูแลกลายเป็นกระบวนการที่ไร้ชีวิตชีวา และลดทอนความเป็นมนุษย์ของทั้งผู้ดูแลและผู้ป่วย ตัวอย่างเช่น หากโรงพยาบาลใช้ AI หรือเครื่องจักรอัตโนมัติในการให้คำแนะนำทางการแพทย์โดยไม่มีการมีส่วนร่วมของมนุษย์เลย ผู้ป่วยอาจรู้สึกว่าไม่ได้รับการดูแลอย่างแท้จริง ซึ่งอาจทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจในระบบสุขภาพ ข้อสรุปจดงานของ Pols ชี้ให้เห็นว่าเทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้การดูแลเกิดขึ้นจากระยะไกล แต่ยังสามารถเปลี่ยนแปลงความหมายของ “การดูแล” และ “ความใกล้ชิด” ได้ เทคโนโลยีสามารถเป็นสะพานเชื่อมระหว่างผู้ดูแลและผู้ป่วย สร้างความสัมพันธ์ใหม่ ๆ ที่ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการอยู่ร่วมกันในเชิงกายภาพเพียงอย่างเดียว หนังสือ Care at a Distance ไม่ได้มองว่าเทคโนโลยีเป็นเพียง “เครื่องมือ” ในการดูแลผู้ป่วยเท่านั้น แต่ยังเป็นองค์ประกอบที่เปลี่ยนแปลงความหมายของ “การดูแล” ในสังคมสมัยใหม่ Pols ชี้ให้เห็นว่าแม้การดูแลผ่านเทคโนโลยีอาจสร้าง “ระยะห่าง” ในเชิงกายภาพ แต่ก็สามารถสร้าง “ความใกล้ชิด” ในรูปแบบใหม่ ๆ ที่ท้าทายแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างผู้ป่วยและผู้ดูแล

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...