ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การแพทย์กับเทคโนโลยี โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือTechnological Medicine: The Changing World of Doctors and Patients (2009) โดย Stanley Joel Reiser เป็นหนังสือที่วิเคราะห์บทบาทของเทคโนโลยีทางการแพทย์ที่เปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วย รวมถึงผลกระทบต่อระบบสาธารณสุขในวงกว้าง Joel Reiser สำรวจว่าเทคโนโลยีช่วยให้การแพทย์ก้าวหน้าขึ้นอย่างไร แต่ขณะเดียวกันก็อาจทำให้เกิดปัญหาด้านจริยธรรมและความสัมพันธ์ทางมนุษย์ที่ลดลง แนวคิดสำคัญที่เขาใช้เป็นกรอบในการวิเคราะห์ที่น่าสนใจคือ 1. เทคโนโลยีกับการเปลี่ยนแปลงบทบาทของแพทย์และผู้ป่วย โดยในอดีต การวินิจฉัยโรคอาศัยการตรวจร่างกายโดยตรงและการซักประวัติอย่างละเอียดจากแพทย์ แต่เทคโนโลยีใหม่ อาทิเช่น MRI, CT Scan และการวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการ ทำให้แพทย์พึ่งพาผลตรวจทางเทคนิคมากกว่าการสังเกตทางคลินิกแบบดั้งเดิม การเพิ่มขึ้นของ “เครื่องมือแพทย์เป็นศูนย์กลาง” (Technology-Centered Medicine) Reiser อธิบายว่าในอดีต แพทย์ต้องใช้ทักษะการตรวจร่างกายและการสัมผัสเพื่อวินิจฉัยโรค แต่ปัจจุบัน เทคโนโลยี เช่น EKG (electrocardiogram), X-ray, MRI, และ CT Scan ทำให้การแพทย์พึ่งพาข้อมูลที่มาจากเครื่องมือมากขึ้น แทนที่จะพึ่งพาความสามารถของแพทย์ ข้อดีคือช่วยให้วินิจฉัยได้แม่นยำขึ้น และลดข้อผิดพลาดจากการสังเกตของมนุษย์ แต่ข้อเสียคือแพทย์อาจมองข้ามมิติทางอารมณ์และสังคมของผู้ป่วย 2. ความสัมพันธ์ที่ห่างเหินระหว่างแพทย์กับผู้ป่วย โดย การแพทย์ที่เน้นเทคโนโลยีทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วยลดลง เนื่องจากแพทย์อาจใช้เวลากับอุปกรณ์มากกว่ากับตัวผู้ป่วย สิ่งที่เห็นได้ชัดก็คือ การตัดสินใจทางการแพทย์เริ่มอาศัยข้อมูลจากเครื่องมือมากกว่าการสื่อสารและประสบการณ์ของแพทย์ 3. ความเสี่ยงด้านจริยธรรมและผลกระทบต่อการรักษาการ ซึ่งการใช้เทคโนโลยีมากขึ้นอาจนำไปสู่การรักษาแบบกลไกที่ละเลยปัจจัยทางสังคมและอารมณ์ของผู้ป่วย รวมทั้งเทคโนโลยีที่ซับซ้อนอาจทำให้ค่าใช้จ่ายทางการแพทย์สูงขึ้น นำไปสู่ความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการทางการแพทย์ 4. การหาทางสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและมนุษยธรรม Reiser เสนอว่าการแพทย์ควรคำนึงถึงทั้งประโยชน์ของเทคโนโลยีและความสำคัญของปฏิสัมพันธ์ทางมนุษย์ในขณะที่การพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ควรคำนึงถึงความเป็นอยู่ของผู้ป่วยและไม่ลดบทบาทของแพทย์ในฐานะผู้ดูแลสุขภาพที่มีมนุษยธรรม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้เช่น 1. การแพทย์ดั้งเดิม vs. การแพทย์ที่ใช้เทคโนโลยี ตัวอย่างเเช่น อดีต แพทย์ใช้หูฟัง (stethoscope) และการตรวจร่างกายแบบสัมผัสเพื่อฟังเสียงหัวใจและปอดแต่ในปัจจุบัน เทคโนโลยีอย่าง MRI และเครื่องอัลตราซาวด์สามารถให้ภาพโครงสร้างภายในร่างกายได้อย่างละเอียด ทำให้แพทย์หลายคนพึ่งพาภาพจากเครื่องมือมากกว่าการฟังเสียงโดยตรง 2. การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) เทคโนโลยีช่วยให้แพทย์สามารถวินิจฉัยและให้คำปรึกษาผ่านวิดีโอคอล ลดข้อจำกัดด้านระยะทาง แต่ในขณะเดียวกัน การขาดปฏิสัมพันธ์ทางกายภาพอาจทำให้แพทย์พลาดรายละเอียดทางคลินิกที่สำคัญ ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงวิธีวินิจฉัยและรักษเช่น การตรวจเลือดแทนการสังเกตอาการ โดยเดิมที แพทย์ใช้การตรวจสีผิว ดวงตา และสภาพร่างกายของผู้ป่วยเพื่อวิเคราะห์อาการ แต่ในปัจจุบัน การเจาะเลือดและตรวจค่า biomarkers ช่วยให้สามารถบ่งชี้โรคได้โดยไม่ต้องพึ่งพาการสังเกตทางกายภาพ รวมถึงการใช้เทคโนโลยีแทนทักษะสัมผัส (Haptic Skill) การตรวจร่างกายโดยการสัมผัส เช่น การกดตรวจหน้าท้องเพื่อหาความผิดปกติ ลดลง เนื่องจากแพทย์นิยมใช้ อัลตราซาวด์ หรือ MRI หรือ การใช้หุ่นยนต์ในการผ่าตัด ระบบ da Vinci Surgical System ทำให้แพทย์สามารถทำการผ่าตัดผ่านจอภาพและควบคุมแขนกล แทนที่จะลงมือเอง ข้อดีคือลดความผิดพลาดจากมือของมนุษย์ และช่วยให้ผ่าตัดได้แม่นยำขึ้น แต่ก็มีข้อเสียคือ แพทย์ใหม่อาจพึ่งพาเทคโนโลยีมากจนขาดทักษะพื้นฐาน 3. AI และอัลกอริทึมทางการแพทย์ โดยระบบ AI เช่น IBM Watson Health สามารถวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมากเพื่อช่วยวินิจฉัยโรค แต่อย่างไรก็ตาม ความแม่นยำของ AI ขึ้นอยู่กับข้อมูลที่ป้อนเข้าไป และอาจไม่มีความสามารถในการเข้าใจอารมณ์หรือความกังวลของผู้ป่วย 4.ปัญหาด้านจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยี ในเรื่อง ความเหลื่อมล้ำทางการแพทย์ (Medical Inequality) เทคโนโลยีแพทย์สมัยใหม่มีราคาแพง ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึง เช่น เครื่อง MRI อาจมีเฉพาะในโรงพยาบาลขนาดใหญ่ รวมทั้งประเด็นข้อมูลผู้ป่วยและความเป็นส่วนตัว (Patient Privacy) ระบบ Electronic Health Records (EHRs) ช่วยให้แพทย์สามารถแชร์ข้อมูลผู้ป่วยได้สะดวกขึ้น แต่ก็ทำให้เกิดปัญหาการรั่วไหลของข้อมูล และการนำข้อมูลไปใช้เชิงพาณิชย์ การพึ่งพา AI และอัลกอริทึมในการวินิจฉัย โดยเฉพาะซอฟต์แวร์ AI เช่น IBM Watson Health สามารถวิเคราะห์ข้อมูลทางการแพทย์ได้อย่างรวดเร็วแต่หาก AI ผิดพลาด อาจนำไปสู่การรักษาที่ไม่เหมาะสม และยังขาดความสามารถในการเข้าใจอารมณ์ของผู้ป่วย Joel Reiser นำเสนอภาพรวมของวิวัฒนาการของเทคโนโลยีทางการแพทย์และผลกระทบต่อวงการแพทย์และสังคม แม้ว่าเทคโนโลยีจะช่วยพัฒนาการรักษาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่ก็จำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างนวัตกรรมและความเป็นมนุษย์ในการดูแลสุขภาพ Reiser เตือนว่าหากแพทย์และผู้ป่วยพึ่งพาเทคโนโลยีมากเกินไป อาจนำไปสู่การลดทอนบทบาทของความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลในกระบวนการรักษา นอกจากนี้ เขายังวิเคราะห์ว่าเทคโนโลยีทางการแพทย์ได้เปลี่ยนแปลงกระบวนการรักษาอย่างไร ตั้งแต่การตรวจวินิจฉัยไปจนถึงการดูแลผู้ป่วย โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาเช่น การพึ่งพาอุปกรณ์มากเกินไป การเปลี่ยนแปลงความสัมพันธ์ระหว่างแพทย์และผู้ป่วย และความท้าทายทางจริยธรรม ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจในหนังสือเล่มนี้ เช่น 1. การแพทย์เชิงป้องกันที่ใช้ Big Data การเก็บข้อมูลสุขภาพจาก Wearable Technology เช่น Apple Watch หรือ Fitbit ทำให้แพทย์สามารถตรวจจับความผิดปกติของหัวใจและสุขภาพได้ก่อนที่อาการจะแสดง แต่สิ่งนี้ทำให้เกิดคำถามทางจริยธรรม เช่น ใครเป็นเจ้าของข้อมูลสุขภาพของผู้ป่วย? และ บริษัทเทคโนโลยีควรมีสิทธิ์ใช้ข้อมูลเหล่านี้หรือไม่? 2. การรักษาโรคทางพันธุกรรมผ่าน CRISPR เช่นการใช้เทคโนโลยี CRISPR-Cas9 สามารถแก้ไขพันธุกรรมเพื่อรักษาโรค เช่น โรคเซลล์เม็ดเลือดแดงผิดปกติ (Sickle Cell Disease) อย่างไรก็ตาม การใช้เทคโนโลยีแก้ไขพันธุกรรมในมนุษย์ทำให้เกิดข้อถกเถียงด้านจริยธรรมต่างๆ เช่น เราควรมีสิทธิ์แก้ไข DNA ของตัวอ่อนมนุษย์หรือไม่? 3. การแพทย์ทางไกล (Telemedicine) กับโควิด-19 ภายใต้การแพร่ระบาดของ COVID-19 ทำให้การแพทย์ทางไกลเติบโตอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยสามารถวินิจฉัยโรคผ่านวิดีโอคอลกับแพทย์ โดยไม่ต้องเดินทางไปโรงพยาบาล ข้อเสียคือแพทย์อาจพลาดรายละเอียดบางอย่างที่มองไม่เห็นผ่านกล้อง เช่น อาการทางผิวหนัง หรือการสัมผัสร่างกายที่สำคัญต่อการวินิจฉัย ข้อเสนอของ Reiser เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเทคโนโลยีและมนุษยธรรม 1. “เทคโนโลยีต้องเสริม ไม่ใช่แทนที่แพทย์” โดยเทคโนโลยีควรเป็น “เครื่องมือช่วย” แพทย์ ไม่ใช่เป็นสิ่งที่ทำให้แพทย์ละเลยปฏิสัมพันธ์กับผู้ป่วย 2. “การสอนแพทย์ให้ใช้เทคโนโลยีควบคู่กับทักษะมนุษย์” ดังนั้นหลักสูตรแพทย์ควรสอน Medical Humanities ควบคู่กับวิทยาศาสตร์ เพื่อให้แพทย์เข้าใจมิติทางอารมณ์และสังคมของผู้ป่วย 3. “การออกแบบเทคโนโลยีที่มีมนุษยธรรม” โดยการออกแบบ AI และเครื่องมือแพทย์ควรคำนึงถึง จริยธรรม ความเป็นส่วนตัว และการเข้าถึงของผู้ป่วยทุกระดับ สรุปข้อคิดสำคัญของหนังสือเล่านี้คือ เทคโนโลยีช่วยให้การแพทย์ก้าวหน้าขึ้น แต่ไม่ควรทำให้แพทย์ละเลยความสัมพันธ์กับผู้ป่วย การแพทย์ยุคใหม่ต้องรักษาสมดุลระหว่าง “ความแม่นยำของเครื่องมือ” และ “ความเข้าอกเข้าใจของแพทย์” นวัตกรรมทางการแพทย์ควรถูกออกแบบให้ เข้าถึงได้ จริยธรรมดี และเสริมสร้างความเป็นมนุษย์ ไม่ใช่แค่การลดบทบาทของแพทย์ให้เป็นเพียงผู้ใช้เทคโนโลยี Reiser เตือนให้เราตระหนักถึงผลกระทบของเทคโนโลยีที่มากเกินไปในวงการแพทย์ และเสนอแนวทางให้เรานำเทคโนโลยีมาใช้เพื่อเสริมสร้างคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย แทนที่จะเป็นเพียงการพึ่งพานวัตกรรมอย่างไร้ขอบเขต

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...