ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

พรมแดนของความรู้และความไม่รู้ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

พรมแดนของความรู้และไม่รู้ หมายถึงขอบเขตที่แบ่งแยกระหว่างสิ่งที่มนุษย์สามารถเข้าใจหรืออธิบายได้ (ความรู้) กับสิ่งที่ยังไม่สามารถเข้าใจหรืออธิบายได้ในขณะนั้น (ไม่รู้) โดยพรมแดนนี้เป็นพื้นที่ที่มีลักษณะ “ยืดหยุ่น” และ “เปลี่ยนแปลงได้” ตามการค้นพบใหม่ ๆ และการขยายตัวของความรู้ ลักษณะสำคัญของพรมแดนความรู้และไม่รู้ 1. ความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พรมแดนความรู้นี้ไม่คงที่ เพราะความรู้ใหม่ ๆ มักเกิดขึ้นจากการตั้งคำถามกับสิ่งที่ยังไม่รู้ ตัวอย่างเช่น ความรู้เกี่ยวกับโรคเช่น COVID-19 มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงแรกของการระบาด พรมแดนของ “ไม่รู้” (เช่น วิธีการรักษา) ค่อย ๆ ถูกผลักออกไปเมื่อมีการวิจัยเพิ่มขึ้น 2. การคงอยู่ของ “ไม่รู้” แม้ความรู้จะเพิ่มขึ้น แต่ความไม่รู้ไม่ได้ลดลงเสมอไป เพราะการค้นพบใหม่มักนำไปสู่คำถามใหม่ ๆ ที่ท้าทายความเข้าใจเดิมตัวอย่างเช่น ขณะที่เราสร้าง AI เพื่อช่วยแก้ปัญหาที่ซับซ้อน แต่คำถามเกี่ยวกับ “จิตสำนึก” ของ AI ยังอยู่ในขอบเขตของความไม่รู้ของพวกเรา หรือแม้เรารู้จักดาวเคราะห์จำนวนมาก แต่เราก็ยังไม่เข้าใจเรื่องพลังงานมืดหรือความเป็นไปได้ของสิ่งมีชีวิตในดาวเคราะห์อื่นๆ 3. ขอบเขตที่เกี่ยวโยงกับวัฒนธรรมและสังคม พรมแดนนี้ไม่ได้ถูกกำหนดโดยวิทยาศาสตร์อย่างเดียว แต่ยังเกี่ยวข้องกับกรอบคิดทางวัฒนธรรม ความเชื่อ และศาสนา และอื่นๆ ตัวอย่างเช่น แนวคิดเกี่ยวกับจิตวิญญาณหรือชีวิตหลังความตายในวัฒนธรรมต่าง ๆ 4. พื้นที่แห่งการทดลองและสร้างสรรค์พรมแดนของความไม่รู้คือจุดเริ่มต้นของการทดลอง การตั้งคำถาม และการค้นคว้า ซึ่งนำไปสู่การสร้างความรู้ใหม่ ตัวอย่างเช่น การตั้งคำถามว่า “ชีวิตเริ่มต้นได้อย่างไร” นำไปสู่การวิจัยเกี่ยวกับกำเนิดของเซลล์สิ่งมีชีวิต แนวคิดเชิงปรัชญาและมานุษยวิทยา 1. แนวคิดของ Karl Popperเกี่ยวกับ ความรู้และความไม่รู้ โดย Popper เสนอว่า “ความรู้มนุษย์ทั้งหมดเป็นเพียงสมมติฐานชั่วคราว” ที่สามารถถูกพิสูจน์หรือปฏิเสธได้ในอนาคต ดังนั้นพรมแดนของความรู้และไม่รู้จึงเคลื่อนตัวอยู่เสมอ 2. Bruno Latour กับแนวคิด Actor-Network Theory (ANT) สะท้อนว่าพรมแดนของความรู้ไม่ได้ถูกกำหนดโดยมนุษย์เพียงอย่างเดียว แต่เกิดจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น เทคโนโลยี วัตถุ และธรรมชาติ 3. Michel Foucault ในเรื่องความรู้และอำนาจ โดย Foucault ชี้ให้เห็นว่าความรู้ถูกสร้างขึ้นโดยโครงสร้างทางสังคมและอำนาจ ดังนั้นพรมแดนของความรู้และไม่รู้จึงสะท้อนถึงระบบอำนาจในยุคนั้น ๆ 4. แนวคิดในมานุษยวิทยา นักมานุษยวิทยาสนใจว่า “ความรู้” และ “ความไม่รู้” ถูกสร้างและตีความในสังคมต่าง ๆ อย่างไร เช่น ความเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติในบางวัฒนธรรมอาจเป็นความรู้ในระบบหนึ่งแต่เป็นความไม่รู้ในอีกระบบหนึ่งก็ได้เช่นกัน ดังนั้นพรมแดนของความรู้และไม่รู้ไม่ใช่เพียงแค่การแบ่งขอบเขตระหว่างสิ่งที่เข้าใจได้และไม่ได้ แต่ยังเป็นพื้นที่ที่เปิดโอกาสให้เกิดการตั้งคำถาม การค้นคว้า และการสร้างความหมายใหม่ ๆ ในทั้งมิติทางวิทยาศาสตร์ มานุษยวิทยา และปรัชญา ขอบเขตนี้ย้ำเตือนว่าแม้มนุษย์จะรู้มากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ “สิ่งที่เราไม่รู้” ก็ยังคงไร้ขอบเขตในลักษณะเดียวกัน ความท้าทายคือทำอย่างไรที่เราจะทำความเข้าใจความไม่รู้เหล่านี้ และสร้างให้เกิดความรู้ใหม่ๆ Michel Foucault เสนอว่าความรู้ไม่ได้เป็นสิ่งที่เป็นกลาง แต่ถูกสร้างขึ้นโดยระบบอำนาจในสังคม ตัวอย่างเช่น ระบบการศึกษาในยุคอาณานิคมที่ใช้ความรู้เพื่อควบคุมและสร้างลำดับชั้นในสังคม หรือ การใช้วิทยาศาสตร์เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับอุดมการณ์ เช่น วิทยาศาสตร์เชื้อชาติในยุคอาณานิคม การปะทะกันระหว่าง “ความรู้พื้นถิ่น” (local knowledge) กับ “ความรู้ทางวิทยาศาสตร์” (scientific knowledge) หรือความรู้สมัยใหม่ ตัวอย่างเช่น ความเชื่อเรื่องสมุนไพรในชุมชนชนบทถูกมองว่าเป็น “ไม่รู้” ในสายตาวิทยาศาสตร์ แต่สำหรับชุมชนท้องถิ่นถือเป็น “ความรู้จริง” หรือกรณีการจัดการสิ่งแวดล้อมในชุมชนพื้นเมืองที่อิงกับความเชื่อทางจิตวิญญาณ เมื่อเทียบกับการจัดการป่าไม้ตามกรอบวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ผมสนใจตั้งคำถามเกี่ยวกับการสร้าง การผลิตความรู้ ให้ความรู้หนึ่งคงอยู่ ความรู้อื่นๆถูกกำจัดออกไปโดยเฉพาะวัฒนธรรมของความไม่รู้ (Cultures of Ignorance) เพราะบางครั้ง “ความไม่รู้” ถูกสร้างขึ้นเพื่อประโยชน์ของกลุ่มอำนาจ หรือเพื่อป้องกันการเปลี่ยนแปลง ที่เชื่อมโยงกับการผลิตและเผยแพร่ความรู้ในสังคม เนื่องจากความรู้มักถูกผลิตและเผยแพร่โดย สถาบัน เช่น โรงเรียน มหาวิทยาลัย และสื่อมวลชน ซึ่งมีบทบาทในการกำหนดสิ่งที่ “ควรรู้” และ “ไม่ควรรู้” รวมถึงใครที่รู้ด้วย ทั้งที่ชาวบ้านอาจจะรู้มากกว่านักวิชาการบางคนด้วยซ้ำไป สุดท้ายคือ การสรร้างความเป็นอื่นของความรู้ ที่เป็นการสร้างพรมแดนระหว่างมนุษย์และ “อื่น ๆ” โดย มนุษย์มักสร้าง “พรมแดน” ระหว่างสิ่งที่เป็นมนุษย์และสิ่งที่อยู่นอกเหนือมนุษย์ เช่น ธรรมชาติ เทคโนโลยี หรือสิ่งเหนือธรรมชาติ ตัวอย่างเช่น การมองว่า AI หรือปัญญาประดิษฐ์คือ “สิ่งที่เราไม่รู้” และมักถูกตีความว่าเป็นภัยคุกคาม หรือแนวคิดเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของมนุษย์ในบางวัฒนธรรม เป็นต้น วิทยาศาสตร์มักถูกนำเสนอในฐานะ “ผู้ตัดสินความจริง” (arbiter of truth) และทำให้รูปแบบความรู้อื่น ๆ ถูกลดทอนหรือถูกมองว่าเป็นสิ่งผิด เธอชี้ว่าความรู้วิทยาศาสตร์มักเชื่อมโยงกับอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้บางเสียง เช่น ชุมชนชนพื้นเมืองหรือวัฒนธรรมท้องถิ่น ถูกมองข้าม การปรับเปลี่ยนมุมมองความไม่รู้ (ignorance) และความไม่แน่นอน (uncertainty) ไม่ควรถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องกำจัด แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของการขยายพรมแดนของความรู้ ดังนั้นการเปิดรับความไม่รู้เป็นการเปิดพื้นที่สำหรับมุมมองใหม่ ๆ ที่อาจถูกปิดกั้นหรือละเลยในระบบความรู้ปัจจุบัน ดังเช่น Stengers ที่เสนอแนวคิด Cosmopolitics ชี้ให้เห็นว่า “ความไม่รู้” ไม่ควรถูกมองว่าเป็นศัตรูของวิทยาศาสตร์ แต่ควรเป็นพื้นที่สำหรับการค้นหาและการแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น การสำรวจอวกาศ ที่แม้ว่าจะยังมีความไม่รู้มากมายเกี่ยวกับจักรวาล แต่นั่นกลับสร้างแรงผลักดันในการพัฒนาความรู้ใหม่ ๆอยู่ตลอดเวลา กรณีเรื่องของการเมืองของความไม่รู้ (Politics of Ignorance) Stengers เปิดประเด็นว่าความไม่รู้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มักถูกสร้างขึ้นโดยอำนาจที่ครอบงำ เช่น บริษัทพลังงานที่ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจทตัวอย่างเช่นการปฏิเสธงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อมจากกลุ่มผู้ผลิต กรณีเรื่อง การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) Stengers ใช้ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อแสดงให้เห็นว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน ชนพื้นเมือง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ เธอชี้ให้เห็นว่าองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การวัดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ อาจไม่เพียงพอ หากไม่คำนึงถึงมุมมองทางสังคม วัฒนธรรม และจริยธรรม เช่น ความเชื่อดั้งเดิมของชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ แนวคิด Cosmopolitics สนับสนุนการให้ความสำคัญกับความรู้ท้องถิ่น ความรู้ของชนพื้นเมืองในการอนุรักษ์ เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนชนพื้นเมือง ซึ่งมักถูกมองข้ามเพราะไม่ได้สอดคล้องกับวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ตัวอย่างเช่น ระบบการจัดการน้ำของชนพื้นเมืองอเมริกันที่เน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แทนที่จะใช้เทคโนโลยีเชิงอุตสาหกรรมในการควบคุมระบบนิเวศ แนวคิดนี้สะท้อนการเปิดพื้นที่ให้ความรู้ที่หลากหลายช่วยขยายพรมแดนของความรู้ด้วยการตั้งคำถามต่อความเป็นสากลของวิทยาศาสตร์ (scientific universalism) และเปิดพื้นที่สำหรับความรู้ที่เคยถูกมองว่า “ด้อยค่า” ดังเช่น ความเชื่อท้องถิ่น ประสบการณ์ส่วนตัว หรือภูมิปัญญาชุมชน ตัวอย่างเช่น การผสานความรู้ท้องถิ่นกับวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน สุดท้ายผมสรุปด้วยงาน ของ Thomas Kuhn ในหนังสือ The Structure of Scientific Revolutions” ที่สะท้อนความสำคัญของการเชื่อมโยงกับการขยายพรมแดนของความรู้และความไม่รู้โดยชี้ว่า การปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ไม่ใช่การเพิ่มความรู้ในเส้นทางเดิม แต่เป็นการเปลี่ยนกรอบความคิดเพื่อสร้างพื้นที่ใหม่ ความไม่รู้จึงไม่ใช่ข้อจำกัด แต่เป็นโอกาสในการสำรวจและตั้งคำถามใหม่ที่นำไปสู่ความรู้ในอนาคต…และการขยายพรมแดนของความรู้โดยการเปิดพื้นที่สำหรับมุมมองที่หลากหลายและการยอมรับความไม่แน่นอนของความรู้ แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยลดความไม่รู้ แต่ยังสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่มนุษย์อยู่ร่วมกันและดูแลโลกใบนี้อย่างยั่งยืนและมั่นคง

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...