หนังสือ Cosmopolitics เล่ม 1 และ 2 เขียนโดย Isabelle Stengers ที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์ การเมือง และสังคม โดยเน้นไปที่การสร้างพื้นที่สำหรับการแลกเปลี่ยนและการอยู่ร่วมกันของความรู้ที่หลากหลาย และเปิดรับความไม่แน่นอน (uncertainty) ในการทำความเข้าใจโลก หนังสือเล่มนี้ท้าทายแนวคิดของวิทยาศาสตร์ในฐานะ “ความรู้สูงสุด” และเสนอกรอบแนวคิดที่เน้นความหลากหลายของมุมมองและความรู้ในฐานะกระบวนการที่มีการเมืองเกี่ยวข้อง
**สาระสำคัญและแนวคิดสำคัญในหนังสือ**
1. แนวคิด Cosmopolitics โดย Stengers นิยาม “Cosmopolitics” ว่าเป็นการสร้างพื้นที่ที่ทุกเสียง (voices) และรูปแบบความรู้ (knowledges) มีความสำคัญเท่าเทียมกัน โดยหลีกเลี่ยงการบังคับให้มุมมองใดมุมมองหนึ่งเป็นศูนย์กลางหรือ “ถูกต้อง” อย่างเบ็ดเสร็จ โดย Stengers เสนอว่า วิทยาศาสตร์ควรถูกมองว่าเป็น “หนึ่งในหลายรูปแบบของความรู้” ไม่ใช่ความจริงสูงสุด
แนวคิด Cosmopolitics เป็นการเชิญชวนให้เราพิจารณาว่าความรู้ทางวิทยาศาสตร์ การเมือง และจริยธรรมสามารถอยู่ร่วมกันได้อย่างไรโดยไม่ลดทอนมุมมองอื่น
2. การตั้งคำถามต่ออำนาจของวิทยาศาสตร์ Stengers วิจารณ์ว่า วิทยาศาสตร์มักถูกนำเสนอในฐานะ “ผู้ตัดสินความจริง” (arbiter of truth) และทำให้รูปแบบความรู้อื่น ๆ ถูกลดทอนหรือถูกมองว่าเป็นสิ่งผิด เธอชี้ว่าความรู้วิทยาศาสตร์มักเชื่อมโยงกับอำนาจและผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจ ทำให้บางเสียง เช่น ชุมชนชนพื้นเมืองหรือวัฒนธรรมท้องถิ่น ถูกมองข้าม
3. ความไม่แน่นอนและการอยู่ร่วมกัน โดย Stengers มองว่าความไม่รู้ (ignorance) และความไม่แน่นอน (uncertainty) ไม่ควรถูกมองว่าเป็นสิ่งที่ต้องกำจัด แต่ควรเป็นส่วนหนึ่งของการขยายพรมแดนของความรู้
ดังนั้นการเปิดรับความไม่รู้เป็นการเปิดพื้นที่สำหรับมุมมองใหม่ ๆ ที่อาจถูกปิดกั้นหรือละเลยในระบบความรู้ปัจจุบัน
4. ความไม่รู้ในฐานะจุดเริ่มต้นของความรู้โดย Stengers ชี้ให้เห็นว่า “ความไม่รู้” ไม่ควรถูกมองว่าเป็นศัตรูของวิทยาศาสตร์ แต่ควรเป็นพื้นที่สำหรับการค้นหาและการแลกเปลี่ยน ตัวอย่างเช่น การสำรวจอวกาศ ที่แม้ว่าจะยังมีความไม่รู้มากมายเกี่ยวกับจักรวาล แต่นั่นกลับสร้างแรงผลักดันในการพัฒนาความรู้ใหม่ ๆอยู่ตลอดเวลา
5. การเมืองของความไม่รู้ (Politics of Ignorance)
Cosmopolitics เปิดประเด็นว่าความไม่รู้ไม่ได้เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ แต่มักถูกสร้างขึ้นโดยอำนาจที่ครอบงำ เช่น บริษัทพลังงานที่ปกปิดข้อมูลเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อรักษาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจทตัวอย่างเช่นการปฏิเสธงานวิจัยเกี่ยวกับผลกระทบของพลาสติกต่อสิ่งแวดล้อมจากกลุ่มผู้ผลิตพลาสติก
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมจากงานชิ้นนี้ที่น่าสนใจ
1. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) Stengers ใช้ตัวอย่างการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศเพื่อแสดงให้เห็นว่าปัญหาสิ่งแวดล้อมไม่สามารถแก้ไขได้ด้วยวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว แต่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมของชุมชน ชนพื้นเมือง และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่น ๆ เธอชี้ให้เห็นว่าองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์ เช่น การวัดระดับคาร์บอนไดออกไซด์ในบรรยากาศ อาจไม่เพียงพอ หากไม่คำนึงถึงมุมมองทางสังคม วัฒนธรรม และจริยธรรม เช่น ความเชื่อดั้งเดิมของชนเผ่าที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ
2. ความรู้ของชนพื้นเมืองและการอนุรักษ์ โดยแนวคิด Cosmopolitics สนับสนุนการให้ความสำคัญกับความรู้ท้องถิ่น เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติในชุมชนชนพื้นเมือง ซึ่งมักถูกมองข้ามเพราะไม่ได้สอดคล้องกับวิธีการเชิงวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ ตัวอย่างเช่น ระบบการจัดการน้ำของชนพื้นเมืองอเมริกันที่เน้นการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ แทนที่จะใช้เทคโนโลยีเชิงอุตสาหกรรมในการควบคุมระบบนิเวศ
3. การปฏิบัติทางการแพทย์แบบพหุวัฒนธรรม โดย Stengers เสนอให้มองการแพทย์ในฐานะพื้นที่ที่เปิดกว้างสำหรับหลากหลายวิธีการรักษา เช่น การแพทย์แผนตะวันตก การแพทย์แผนจีน และการรักษาแบบพื้นบ้าน ตัวอย่างเช่น การใช้สมุนไพรในชุมชนชนบท ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีการยืนยันทางวิทยาศาสตร์ในบางแง่มุม แต่ก็มีคุณค่าทางวัฒนธรรมและจิตวิญญาณที่ช่วยสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้กับชุมชน
การเชื่อมโยงกับประเด็นของเรื่องความรู้ในมุมมมองของ Stengers
1. การเปิดพื้นที่ให้ความรู้ที่หลากหลาย
Cosmopolitics ช่วยขยายพรมแดนของความรู้ด้วยการตั้งคำถามต่อความเป็นสากลของวิทยาศาสตร์ (scientific universalism) และเปิดพื้นที่สำหรับความรู้ที่เคยถูกมองว่า “ด้อยค่า” ดังเช่น ความเชื่อท้องถิ่น ประสบการณ์ส่วนตัว หรือภูมิปัญญาชุมชน ตัวอย่างเช่น การผสานความรู้ท้องถิ่นกับวิทยาศาสตร์เพื่อพัฒนาการเกษตรแบบยั่งยืน
2. การยอมรับความไม่รู้และความไม่แน่นอน
การขยายพรมแดนของความรู้ไม่ได้หมายถึงการกำจัดความไม่รู้ทั้งหมด แต่คือการยอมรับว่าความรู้ทุกชนิดมีข้อจำกัดของมันเอง ตัวอย่างเช่นการวิจัยด้าน AI ที่ยังคงเปิดคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมและผลกระทบระยะยาวต่อสังคม โดยไม่เร่งรีบเพื่อเชิดชูความก้าวหน้าของเทคโนโลยีเพียงอย่างเดียว
โดยบทสรุป แนวคิด “Cosmopolitics” ชวนให้เรามองความรู้ในฐานะพื้นที่แห่งการเจรจา ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อหาความจริงหนึ่งเดียว มันเสนอวิธีการใหม่ในการขยายพรมแดนของความรู้โดยการเปิดพื้นที่สำหรับมุมมองที่หลากหลายและการยอมรับความไม่แน่นอน แนวคิดนี้ไม่เพียงช่วยลดความไม่รู้ แต่ยังสร้างความเข้าใจที่ลึกซึ้งขึ้นเกี่ยวกับวิธีที่มนุษย์อยู่ร่วมกันและดูแลโลกใบนี้อย่างยั่งยืนและมั่นคง
เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา... ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่ หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น.. การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร.. ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น