ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิด Multispecies หลากสายพันธุ์ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

มโนทัศน์เรื่อง Multispecies ผมอยากเริ่มต้นจากแนวคิด Animism, Totemism, Analogism, และ Naturalism เป็น 4 ระบบออนโทโลยีหลักที่ Philippe Descola นำเสนอในงาน Beyond Nature and Culture (2013) เพื่ออธิบายว่า วัฒนธรรมต่าง ๆ รับรู้และสร้างความสัมพันธ์กับสัตว์และธรรมชาติอย่างไร โดยแต่ละระบบมีมุมมองต่อ มนุษย์และสัตว์ในฐานะผู้กระทำ (agent) หรือผู้ถูกกระทำ (acted upon) ที่แตกต่างกัน โดยสามารถแยกอธิบายได้ดังนี้ 1. Animism (วิญญาณนิยม) มนุษย์และสัตว์เป็น “บุคคล” ที่มีจิตวิญญาณ ภายใต้มุมมองว่ามนุษย์และสัตว์มี จิตวิญญาณเหมือนกัน แต่มีร่างกายที่ต่างกัน สัตว์สามารถเป็น ผู้กระทำ ได้ เช่น พวกมันอาจเข้าใจมนุษย์ พูดคุย หรือมีเจตจำนงของตนเอง ในขณะที่มนุษย์ต้องสร้างความสัมพันธ์กับสัตว์ผ่านพิธีกรรมและการแลกเปลี่ยน รวมถึงการล่าสัตว์ไม่ใช่แค่การฆ่า แต่เป็น ข้อตกลงทางจิตวิญญาณ ตัวอย่างเช่น ชนพื้นเมืองอเมซอน (Achuar, Yanomami) เชื่อว่าสัตว์ เช่น เสือจากัวร์ หรือปลามีจิตวิญญาณของตัวเอง และสามารถแปลงร่างเป็นมนุษย์ได้ พิธีกรรมขอขมาต่อสัตว์ หลังการล่า เช่น ในชนเผ่าอินูอิต ที่เชื่อว่าการฆ่าต้องได้รับ “อนุญาต” จากสัตว์ มนุษย์เป็นผู้กระทำและถูกกระทำเพราะต้องเจรจากับสัตว์ และสัตว์เป็นผู้กระทำ และมี Agency 2. Totemism มนุษย์และสัตว์เป็นเครือญาติ ภายใต้มุมมองว่า มนุษย์และสัตว์มีบรรพบุรุษร่วมกัน และแบ่งออกเป็นกลุ่มเครือญาติ โดยแต่ละกลุ่มมี โทเทมสัตว์ ที่เป็นผู้ปกป้องและเชื่อมโยงสมาชิกในกลุ่ม ดังนั้นสัตว์ไม่ได้เป็น “อื่น” จากมนุษย์ แต่มันเป็น “เครือญาติ” ของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ชนเผ่าอะบอริจินในออสเตรเลีย มีความเชื่อว่ากลุ่มของพวกเขาสืบเชื้อสายจากสัตว์ เช่น จิงโจ้ หรืองู หรือชนเผ่า Blackfoot ในอเมริกาเหนือ เชื่อว่าวิญญาณของบรรพบุรุษสามารถอยู่ในร่างของสัตว์ มนุษย์เป็นผู้กระทำและถูกกระทำเพราะอยู่ในเครือญาติเดียวกับสัตว์ ในขณะสัตว์เป็นผู้กระทำเพราะเป็นบรรพบุรุษและมีอำนาจทางจิตวิญญาณ 3. Analogism มนุษย์และสัตว์แตกต่างกัน แต่เปรียบเทียบกันได้ โดยมีมุมมองว่า มนุษย์และสัตว์เป็นสิ่งที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่มีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกัน ดังนั้นการเปรียบเทียบ (analogy) ถูกใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์ เช่น มนุษย์อาจถูกเปรียบเทียบกับสัตว์ในแง่ของพลังหรือคุณธรรม สัตว์มีบทบาทในพิธีกรรมมากกว่าการมีตัวตนที่มีเจตจำนง ตัวอย่างเช่น ปรัชญาจีนโบราณ (Daoism, Yin-Yang) ใช้สัตว์เพื่ออธิบายพลังธรรมชาติ เช่น มังกรแทนพลังจักรพรรดิ หรือ พิธีกรรมในอารยธรรมมายาและแอซเท็ก เชื่อว่าสัตว์ เช่น เสือจากัวร์ เป็นสัญลักษณ์ของพลังเหนือธรรมชาติ มนุษย์เป็นผู้กระทำเพราะต้องทำพิธีกรรมเพื่อจัดระเบียบโลก ในขณะที่สัตว์ส่วนใหญ่เป็นผู้ถูกกระทำแต่มีอำนาจสัญลักษณ์ 4. Naturalism มนุษย์เหนือกว่าสัตว์ มีมุมมองว่ามนุษย์มี จิตสำนึก (mind) ขณะที่สัตว์เป็นเพียงสิ่งมีชีวิตทางชีววิทยา ในขณะที่สัตว์ไม่มี agency จริง ๆ พวกมันเป็นแค่ “ธรรมชาติ” ที่มนุษย์สามารถใช้ประโยชน์ได้ ระบบนี้เป็นรากฐานของ วิทยาศาสตร์สมัยใหม่และอุตสาหกรรม ตัวอย่างเช่น โลกตะวันตกสมัยใหม่ มองว่าสัตว์เป็นทรัพยากร เช่น อุตสาหกรรมปศุสัตว์ เช่นเดียวกับ Descartes มองว่าสัตว์เป็น “เครื่องจักรชีวภาพ” ที่ไม่มีความรู้สึก ดังนั้น มนุษย์เป็นผู้กระทำที่ควบคุมธรรมชาติ ในขณะที่สัตว์เป็นผู้ถูกกระทำ (ไม่มี agency) โดยสรุปภาวะวิทยาแบบ Animism และ Totemism ให้อำนาจกับสัตว์ในฐานะผู้กระทำ ในขณะที่ Analogism และ Naturalism ทำให้สัตว์กลายเป็นผู้ถูกกระทำมากขึ้น โดยเฉพาะ Naturalism เป็นระบบเดียวที่ลดทอนสัตว์ให้เป็นเพียงวัตถุ
ในหนังสือ When Species Meet (2008) เป็นหนังสือสำคัญของ Donna J. Haraway ที่สำรวจความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสัตว์ในแง่มุมที่ลึกซึ้งกว่าแนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับ “มนุษย์เหนือสัตว์” หรือ “สัตว์เป็นเครื่องมือของมนุษย์” หนังสือเล่มนี้ตั้งคำถามถึงวิธีที่มนุษย์และสัตว์สร้างอัตลักษณ์ร่วมกันผ่านปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อน Haraway ใช้กรอบแนวคิดของ feminist theory, science studies และ posthumanism เพื่อแสดงให้เห็นว่า “การพบกันของสปีชีส์” (species encounter) ไม่ได้เป็นเพียงแค่ความสัมพันธ์เชิงชีววิทยาหรือเศรษฐกิจ แต่เป็นพื้นที่ของ “การร่วมสร้างกันและกัน” (co-constitution) ที่มีผลต่อความหมายของการเป็นมนุษย์และสัตว์ เธอใช้เรื่องราวส่วนตัวเกี่ยวกับสุนัขสายพันธุ์ Australian Shepherd ของเธอ (Cayenne และ Roland) เพื่ออธิบายแนวคิดที่ใหญ่กว่าเกี่ยวกับ ethics, agency, และ relationality ระหว่างมนุษย์และสัตว์ แนวคิดสำคัญในหนังสือเล่มนี้คือ 1. Companion Species (สายพันธุ์เพื่อนร่วมทาง) โดย Haraway เสนอแนวคิด companion species ซึ่งแตกต่างจากแนวคิด “สัตว์เลี้ยง” (pets) แบบเดิม ๆ มนุษย์และสัตว์ไม่ได้มีความสัมพันธ์แบบเจ้าของ-ลูกน้อง แต่เป็น co-evolution ที่ส่งผลต่อกันและกัน ตัวอย่างเช่น สุนัขไม่ได้เป็นแค่สัตว์ที่มนุษย์เลี้ยง แต่พวกมันมี agency และมีอิทธิพลต่อการกระทำของมนุษย์เช่นกัน 2. Becoming-With (การกลายเป็นร่วมกัน) โดย Haraway ได้แรงบันดาลใจจากแนวคิด Becoming ของ Gilles Deleuze & Félix Guattari แนวคิดนี้ Haraway เสนอว่ามนุษย์ไม่ได้ “เป็น” (being) อย่างตายตัว แต่เป็นกระบวนการ “กลายเป็น” (becoming-with) สิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ตัวอย่างเช่น การฝึกสุนัข การแข่งขันกีฬา agility หรือแม้แต่การใช้สัตว์ในห้องทดลองเป็นตัวอย่างของการที่มนุษย์-สัตว์ต้องสร้างความเข้าใจกันใหม่ 3. Critique of Anthropocentrism (การวิพากษ์ศูนย์กลางมนุษย์) โดย Haraway ตั้งคำถามกับแนวคิดที่ว่ามนุษย์เป็นศูนย์กลางของโลก(anthropocentrism) และเสนอให้มองโลกในมุมมองของสัตว์ด้วย เธอเสนอว่าเราควรฟังเสียงของสัตว์ และไม่มองพวกมันเป็นเพียง “วัตถุ” ที่ถูกควบคุมโดยมนุษย์ 4. The Politics of Multispecies Relations มองว่าความสัมพันธ์ข้ามสปีชีส์เกี่ยวข้องกับอำนาจและการเมือง เช่น อุตสาหกรรมสัตว์เลี้ยง การทดลองสัตว์ การเพาะพันธุ์ หรือแม้แต่การใช้แรงงานสัตว์ในฟาร์ม ตัวอย่างเชิงรูปธรรม 1. ความสัมพันธ์ของเธอกับสุนัขของเธอ Haraway อธิบายถึงวิธีที่เธอฝึกสุนัขและมีปฏิสัมพันธ์กับมัน ไม่ใช่ในฐานะ “เจ้านาย” แต่เป็น “คู่สนทนา” (companion) เธอศึกษากีฬา dog agility ซึ่งเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยการสื่อสารที่ละเอียดอ่อนระหว่างมนุษย์และสุนัข 2. การทดลองสัตว์ในวิทยาศาสตร์ Haraway วิเคราะห์ว่าห้องทดลองวิทยาศาสตร์มองสัตว์เป็น “อุปกรณ์” ที่ใช้สร้างองค์ความรู้ แต่จริง ๆ แล้วสัตว์มีบทบาทที่สำคัญในกระบวนการสร้างความรู้เองด้วย 3. สัตว์ในเทคโนโลยีชีวภาพ เธอพูดถึงการดัดแปลงพันธุกรรมสัตว์และตั้งคำถามว่าเทคโนโลยีเหล่านี้เปลี่ยนความหมายของ “ชีวิต” อย่างไร ข้อถกเถียงที่น่าสนใจในแนวคิดของ Haraway 1. การวิพากษ์ความเป็นมนุษย์นิยม (Humanism) Haraway ตั้งคำถามกับแนวคิดที่มองมนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่สูงส่งกว่าสัตว์ แต่บางคนมองว่าสิ่งนี้อาจลดทอนความพิเศษของมนุษย์ลง ซึ่งนักวิชาการบางคนแย้งว่า มนุษย์และสัตว์มีความแตกต่างที่ปฏิเสธไม่ได้ โดยเฉพาะในเรื่อง จิตสำนึกและศีลธรรม 2. Ethics ของการปฏิสัมพันธ์ข้ามสปีชีส์ Haraway เชื่อว่าความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสัตว์เป็นเรื่อง reciprocal (ต่างตอบแทนกัน) แต่ในความเป็นจริง อุตสาหกรรมสัตว์ (เช่น ฟาร์มปศุสัตว์ หรือการทดลองสัตว์) มักเป็นความสัมพันธ์เชิงอำนาจฝ่ายเดียว 3. ข้อจำกัดของ Companion Species นักวิจารณ์บางคนแย้งว่าแนวคิด companion species ของ Haraway เน้นไปที่ความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสัตว์ที่ “เป็นมิตร” (เช่น สุนัข) มากกว่าสัตว์ประเภทอื่น ๆ เช่น วัว หมู หรือไก่ ซึ่งมนุษย์มักมองในเชิงเศรษฐกิจมากกว่าความสัมพันธ์เชิงจริยธรรม 4. การเชื่อมโยงกับ Posthumanism โดย Haraway นำเสนอแนวคิดที่ข้ามเส้นแบ่งของมนุษย์และสัตว์ ซึ่งมีความใกล้เคียงกับ Posthumanism แต่บางคนโต้แย้งว่าความสัมพันธ์มนุษย์-สัตว์ยังคงมีโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียมกัน ตัวอย่าง Multispecies ที่เป็นรูปธรรมที่น่าสนใจผ่านงานMultispecies Ethnography ซึ่งสนใจปฏิสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ (ทั้งสัตว์ พืช เชื้อโรค และสิ่งมีชีวิตระดับจุลินทรีย์) ที่ส่งผลกระทบต่อกันและกันอย่างซับซ้อน ตัวอย่างที่ชัดเจนของแนวคิดนี้ ได้แก่ 1. เห็ดมัตสึทาเกะและแรงงานมนุษย์ (The Mushroom at the End of the World – Anna Tsing) โดยมองว่าเห็ดมัตสึทาเกะ (Matsutake) เป็นเห็ดราคาแพงที่เติบโตในป่าที่เสื่อมโทรมหลังภัยพิบัติหรือการตัดไม้ทำลายป่า มันไม่ได้เติบโตด้วยตัวเอง แต่ต้องอาศัยความสัมพันธ์ทางชีววิทยากับรากต้นไม้และระบบนิเวศเฉพาะ ที่มีความเชื่อมโยงกับมนุษย์ โดยเฉพาะกลุ่มแรงงานอพยพชาวเอเชียและชนพื้นเมืองอเมริกันในสหรัฐฯ มีบทบาทในการเก็บเห็ดและทำให้มันกลายเป็นสินค้าระดับโลก ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์ มนุษย์-เห็ด-ต้นไม้-เศรษฐกิจโลก เชื่อมโยงกันจนไม่สามารถแยกขาดได้ 2. สุนัขเฝ้าฝูงแกะกับคนเลี้ยงสัตว์ (Companion Species – Donna Haraway)ในฟาร์มปศุสัตว์ สุนัขบางสายพันธุ์ (เช่น Border Collie หรือ Great Pyrenees) ถูกฝึกให้ทำงานร่วมกับคนเลี้ยงแกะ สุนัขไม่ได้เป็นแค่เครื่องมือของมนุษย์ แต่มันเองก็มี agency สามารถตัดสินใจได้ว่าควรขับไล่หมาป่าเมื่อไรหรือควรปกป้องฝูงแกะอย่างไร ดังนั้นสุนัขเรียนรู้จากมนุษย์ แต่มนุษย์ก็เรียนรู้จากสุนัขผ่านความร่วมมือในกิจกรรมนี้ นี่คือตัวอย่างของ “การกลายเป็นร่วมกัน” (becoming-with) ที่ Haraway พูดถึง 3. วัวศักดิ์สิทธิ์ในอินเดีย (Animal Intimacies – Radhika Govindrajan) ในบางพื้นที่ของอินเดีย วัวถูกมองว่าเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ และมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับชุมชนทางศาสนา ดังนั้นมนุษย์เลี้ยงวัว ไม่เพียงเพื่อเอาน้ำนมหรือแรงงาน แต่ยังมีความสัมพันธ์ทางอารมณ์และจิตวิญญาณ ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า สัตว์ไม่ได้เป็นแค่ทรัพยากร แต่เป็นส่วนหนึ่งของอัตลักษณ์และจิตวิญญาณของมนุษย์ 4. ค้างคาว ไวรัส และการแพร่ระบาดของโรค (Zoonotic Diseases) โรคระบาดหลายชนิด (เช่น SARS, COVID-19, Ebola) เกิดจากการแพร่เชื้อจากสัตว์สู่มนุษย์ ค้างคาวเป็นพาหะของไวรัสบางชนิดที่สามารถกลายพันธุ์และติดต่อสู่มนุษย์ได้ ดังนั้นปัจจัยทางเศรษฐกิจ เช่น การทำลายป่าหรือการค้าสัตว์ป่า ทำให้มนุษย์เข้าใกล้สัตว์ป่ามากขึ้น จนเกิดการแพร่เชื้อข้ามสปีชีส์ ตัวอย่างนี้ชี้ให้เห็นว่า สุขภาพของมนุษย์ สัตว์ และระบบนิเวศ เชื่อมโยงกันอย่างลึกซึ้ง (One Health Concept) 5. ม้าและมนุษย์ในวงการกีฬา (Equestrian Sports & War Horses) ม้าเป็นสัตว์ที่มีบทบาทสำคัญต่อมนุษย์ทั้งในประวัติศาสตร์สงคราม กีฬา และเกษตรกรรมโดย นักกีฬาขี่ม้าต้องสร้างความสัมพันธ์พิเศษกับม้า ทั้งการฝึกฝนและการสื่อสารที่ซับซ้อน ม้าตอบสนองต่ออารมณ์และพฤติกรรมของมนุษย์ เช่น นักกีฬาที่มีอารมณ์เครียดอาจส่งผลต่อประสิทธิภาพของม้าระหว่างการแข่งขันตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า มนุษย์และม้าไม่ได้เป็นเพียงแค่ “เจ้านาย-สัตว์รับใช้” แต่เป็นคู่หูที่เรียนรู้จากกันและกัน 6. แมลงผสมเกสรกับอุตสาหกรรมเกษตร (Bees and Pollination) ผึ้งมีบทบาทสำคัญในการผสมเกสรพืชที่มนุษย์ปลูกเพื่อการบริโภค การลดลงของจำนวนผึ้งจากการใช้สารเคมีในการเกษตรส่งผลกระทบต่อการผลิตอาหารของมนุษย์ ดังนั้นเกษตรกรบางคนจึงต้องเพาะพันธุ์ผึ้งเพื่อให้ระบบนิเวศสามารถดำรงอยู่ต่อได้ ตัวอย่างนี้แสดงให้เห็นว่า มนุษย์และผึ้งต่างต้องพึ่งพากันในระบบเกษตรกรรม 7. หุ่นยนต์กับสัตว์ทดลองในห้องแล็บ (Posthumanism & Technoscience) ปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์กำลังพัฒนาหุ่นยนต์ที่สามารถโต้ตอบกับสัตว์ เช่น หุ่นยนต์ที่ช่วยดูแลปลาหรือสุนัข บางห้องทดลองใช้หุ่นยนต์เพื่อจำลองพฤติกรรมสัตว์และลดการใช้สัตว์ทดลอง นี่เป็นตัวอย่างของการที่ “Multispecies” ไม่ได้จำกัดอยู่แค่สิ่งมีชีวิตตามธรรมชาติ แต่รวมถึงสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นด้วย สรุปแนวคิด Multispecies ช่วยให้เราเห็นว่าโลกนี้ไม่ได้ถูกขับเคลื่อนโดยมนุษย์เพียงฝ่ายเดียว แต่เกิดจาก การปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อนระหว่างสิ่งมีชีวิตหลากหลายชนิด ตัวอย่างเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ข้ามสปีชีส์ส่งผลต่อเศรษฐกิจ การเมือง วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ อย่างไร รวมทั้งในหนังสือ “When Species Meet” เป็นงานที่ขยายขอบเขตของมานุษยวิทยา วิทยาศาสตร์ และจริยศาสตร์ โดยแสดงให้เห็นว่า ความเป็นมนุษย์ถูกกำหนดร่วมกับสัตว์และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ ผ่านปฏิสัมพันธ์ที่ซับซ้อน หนังสือเล่มนี้กระตุ้นให้เราตั้งคำถามถึงวิธีที่เราปฏิบัติต่อสัตว์ และเสนอให้มองพวกมันในฐานะ companion species ที่มีความสามารถและ agency ของตัวเอง…เช่นเดียวกับมนุษย์

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...