ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดเรื่องเพศวิถี (Sexuality)ในกระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization)และการข้ามพรมแดน (Transnational) โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

แนวคิดเรื่องเพศวิถี (Sexuality)ในกระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization)และการข้ามพรมแดน (Transnational)
เพศวิถีมีความสัมพันธ์กับเพศสรีระ (Sex) และเพศสภาวะ (Gender)ในแง่ของการอธิบายความสัมพันธ์ระว่างลักษณะทางกายภาพชีวภาพ หรือลักษณะทางร่างกายที่เป็นธรรมชาติซึ่งปรากฏให้เห็นภายนอก สุชาดา (2550)อธิบายว่าความหมายของเพศวิถีที่ใช้กันในทางมานุษยวิทยามีนิยามกว้างขวางกว่าประเด็นเรื่องพฤติกรรมทางเพศและแรงขับทางเพศของคนในสังคม เพศวิถีเป็นเรื่องของวัฒนธรรมมากกว่าประเด็นเรื่องชีววิทยามีคุณสมบัติเหมือนเพศสภาวะกล่าวคือมีความหลากหลายและลื่นไหล เป็นผลผลิตของประวัติศาสตร์ สังคม เศรษฐกิจและการเมือง สอดคล้องกับพิมพวัลย์ (2551) ที่ให้ความหมายของเพศวิถีในการศึกษาทางมานุษยวิทยาหมายถึงการที่บุคคลให้ความหมายเรื่องเพศของตนเอง ระบบความเชื่อ ค่านิยมของบุคคลเกี่ยวกับเรื่องเพศ ความรู้สึกและความปรารถนาหรือแรงขับทางเพศ ความสุขหรือความพึงพอใจทางเพศ รสนิยมทางเพศ การแสดงออกซึ่งอัตลักษณ์ทางเพศ คู่ความสัมพันธ์ทางเพศและการให้ความหมายกับคู่ความสัมพันธ์ทางเพศต่างๆ พฤติกรรมทางเพศแบบแผนพฤติกรรมทางเพศสัมพันธ์ที่หลากหลาย ความสัมพันธ์หญิงชาย สิ่งที่น่าสนใจคือ เพศวิถีเป็นสิ่งที่เลื่อนไหลเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และเป็นเรื่องของการนิยามและให้ความหมายเกี่ยวกับเพศวิถีของตัวเองรวมทั้งเพศวิถีเป็นเรื่องของวัฒนธรรม
นิยามของเพศวิถีมีความหลากหลายและซับซ้อนซึ่งไม่สามารถระบุชัดเจนอย่างเด็ดขาดว่าเกี่ยวกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งที่เฉพาะ  โดยนิยามอย่างกว้างๆอาจกล่าวได้ว่าเพศวิถีสัมพันธ์กับการแสดงออกถึงลักษณะโดยภาพรวมของบุคคล  การระบุหรือบอกเล่าว่าตัวเองเป็นใคร มีความเชื่อและความรู้สึกอย่างไร และตอบสนองต่อสิ่งต่างๆอย่างไรทั้งในแง่ของคำพูด การแสดงกริยาท่าทาง การแต่งตัว การแสดงความรู้สึกรวมทั้งลักษณะของความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับบุคคลต่าง จากนิยามอย่างกว้างๆสะท้อนลักษณะของเพศวิถีใน 3 ประเด็นคือ  อัตลักษณ์ทางเพศ ความพึงพอใจทางเพศและพฤติกรรมทางเพศ
โดยเพศวิถีในปัจจุบันมีความซับซ้อนและเกี่ยวโยงกับมิติต่างๆของเพศวิถีในปัจจุบันที่มีความครอบคลุมลักษณะ 5 อย่างคือ 1.เพศวิถีกับความปรารถนาทางเพศ ที่สัมพันธ์กับการรับรู้และความรู้สึกเกี่ยวกับร่างกายของตัวเองและผู้อื่นที่นำไปสู่การปฏิบัติต่อร่างกายตัวเองและพฤติกรรมทางเพศของปัจเจกบุคคลและคู่สัมพันธ์ 2.ความผูกพันทางเพศ คือ ความรู้สึกของบุคคลว่าตัวเองมีความผูกพันใกล้ชิดกับคนอื่นได้ ซึ่งสัมพันธ์กับความจริงใจและการเปิดเผยต่อกันที่สะท้อนผ่าน การดูแลเอาใจใส่ การเข้าถึงความสุขและความทุกข์  3.อัตลักษณ์ทางเพศ คือ ความเข้าใจว่าตัวเองมีสภาพเป็นอย่างไร เป็นชายเป็นหญิงหรือไม่ใช่ทั้งสองอย่าง อาจเป็นเกย์ เสลเบี้ยนทอม กระเทยและอื่นๆ ซึ่งอัตลักษณ์ทางเพศไม่จำเป็นต้องสัมพันธ์กับเพศที่ปรากฏทางชีวภาพ แต่สิ่งที่สำคัญคืออัตลักษณ์ทางเพศจะเป็นสิ่งที่สะท้อนว่าคนนั้นมีบทบาทอย่างไร นอกจากนี้อัตลักษณ์ทางเพศยังแสดงให้เห็นทิศทางทางเพศของคนคนนั้นด้วย  4.อนามัยเจริญพันธุ์และอนามัยทางเพศ ที่สะท้อนความสัมพันธ์กับพฤติกรรม ทัศนคติและความสัมพันธ์ทางเพศ เช่น ความสุข ความปลอดภัย ในเรื่องเพศสมพันธ์และการเจริญพันธุ์ 5.การนำเรื่องเพศมาควบคุมความสัมพันธ์ ที่สะท้อนให้เห็นว่าเพศวิถีเป็นสถานการณ์ที่บุคคลแสดงออกทางเพศที่คุกคาม ควบคุมหรือสร้างอิทธิพลต่อคนอื่น ซึ่งการนำเรื่องเพศมาควบคุมความสัมพันธ์อาจนำไปสู่ทั้งความปลอดภัยและอันตราย เช่น การสร้างความเจ็บปวดและความรุนแรงทางเพศ เป็นต้นดังนั้นนิยามของเพศวิถีจึงไม่ได้แค่เพียงบอกว่าหมายถึงอะไรเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นว่ามันถูกสร้างได้อย่างไรและสะท้อนให้เห็นการจำแนกและจัดประเภทของเพศวิถีที่ทำให้สิ่งเหล่านี้กลายเป็นเรื่องปกติและผิดปกติ อันส่งผลต่อความพึงพอใจ ความสุขและคุณภาพชีวิตของคนต่อเรื่องเพศวิถีในสังคม
                ในสังคมสมัยใหม่เทคนิควิทยาการในการจัดแบ่งเพศวิถี มีความสัมพันธ์กับความเชื่อและความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่อยู่บนฐานของความรู้เชิงวัตถุวิสัยที่นำไปสู่การทำนาย อธิบายสิ่งต่างๆอย่างถูกต้องแม่นยำ และความรู้ดังกล่าวยึดโยงอยู่บนความรู้ความจริงที่เป็นสากลและใช้ได้ในทุกสถานการณ์ ความรู้ในเรื่องเพศศาสตร์ (Sexology) ก็เกิดขึ้นภายใต้การมองว่าเพศเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติและดำรงอยู่ในลักษณะทางชีภาพของมนุษย์ ที่อธิบายและทดสอบด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์ และการสร้างศัพท์เทคนิคในเรื่องเพศ การจัดโครงสร้างความรู้ในเรื่องเพศ การจัดแบ่งประเภท  ดังเช่นการจัดแบ่งเรื่องเพศออกเป็นเรื่องของชายและหญิงผ่านความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ที่เชื่อมโยงปัจจัยทางด้านชีววิทยา เช่น ฮอร์โมน โครโมโซม ยีนส์ แรงขับทางเพศ ที่แฝงฝังและติดยึดกับตัวบุคคลมาตั้งแต่กำเนิด สิ่งเหล่านี้ไม่เพียงกำหนดลักษณะของเพศเท่านั้นแต่ยังเป็นตัวกำหนดทิศทางเพศ (Sex Orientation) เพศจึงสัมพันธ์กับอวัยวะเพศ แรงขับทางเพศที่ยึดโยงกับเรื่องของการสืบพันธุ์ ความสัมพันธ์แบบสอดใส่ รุกและรับระหว่างชายกับหญิง รวมทั้งบทบาทของการตั้งครรภ์ความเป็นแม่และการเลี้ยงดูลูก ซึ่งการจัดแบ่งประเภทบุคคลให้เป็นชายหญิงตามเพศวิถีที่เป็นเรื่องของธรรมชาติและเชื่อมโยงกับสรีระทางเพศเป็นสิ่งที่เรียกว่าเพศสภาพ (Gender)ของความเป็นหญิงเป็นชายให้กับบุคคลและมีความคิดและพฤติกรรมไปตามเพศสภาพที่ถูกกำหนด
                ประเด็นดังกล่าว จึงนำไปสู่มุมมองที่ว่าเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช่ความสัมพันธ์ระหว่างชายกับหญิงและเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้ทำหน้าที่ของการสืบพันธุ์ การมีลูกและการผลิตสมาชิกให้กับสังคมเป็นสิ่งที่ผิดธรรมชาติเป็นเพศสัมพันธ์ที่ไม่ปกติ ซึ่งแตกต่างจากรักต่างเพศที่เป็นภาวะธรรมชาติและเป็นเรื่องปกติ  รวมทั้งกลุ่มคนที่มีเพศวิถีที่ไม่เป็นไปตามธรรมชาติเป็นคนกลุ่มน้อยที่เบี่ยงเบนและจะต้องถูกลงโทษ ถูกกีดกัน ถูกตีตรา เลือกปฏิบัติและถูกบขับออกจากสังคม
ดังนั้นเพศสัมพันธ์ที่ไม่ได้นำไปสู่การสืบพันธุ์ถือว่าเป็นสิ่งที่ผิดปกติ ผิดธรรมชาติ โดยเฉพาะการขายบริการทางเพศที่เป็นเรื่องของการซื้อขายบริการและเป็นเพศสัมพันธ์แบบพาณิชย์และใช้วิธีการควบคุมการเกิดจึงกลายเป็นเรื่องที่เบี่ยงเบนจากมาตรฐานของสังคม รวมทั้งการขายบริการทางเพศระหว่างชายกับชายเป็นสิ่งที่ถูกมองว่าผิดปติและเบี่ยงเบนมากที่สุด เพราะเป็นความสัมพันธ์ของการรักเพศเดียวกันและการมีเพศสัมพันธ์ที่ไม่ใช่สืบพันธุ์และถูกมองว่าผิดธรรมชาติ เทคนิคกล่าวจึงเป็นการแบ่งแยกและจัดแบ่งในเรื่องของเพศวิถี โดยการสร้างบรรทัดฐานและกรอบทางศีลธรรมทางสังคมมากำกับความถูกผิดและพฤติกรรมทางเพศที่เหมะสมเป็นไปตามความคาดหวังที่สังคมกำหนด เพศวิถีตามลักษณะดังกล่าวจึงถูกควบคุมผ่านกรอบความคิดหลักหรือวาทกรรมกระแสหลักที่ได้สร้างความรู้เกี่ยวกับเพศวิถีให้กับผู้คนในสังคม ในขณะเดียวกันผู้คนในสังคมบางกลุ่มก็พยายามต่อรองหรือต่อต้านวาทกรรมกระแสหลักโดยสร้างความรู้ย่อยๆ วาทกรรมรองขึ้นมาเพื่อตอบโต้หรือแสดงตัวตนอัตลักษณ์ของพวกเขาในพื้นที่ทางสังคม
ความคิดดังกล่าวสอดคล้องกับการเชื่อมโยงความคิดเรื่องของความรู้และอำนาจที่สัมพันธ์กับเรื่องเพศวิถี ดังที่มิเชล ฟูโกเสนอว่า การผลิตเพศวิถีก็สะท้อนให้เห็นบทบาทของอำนาจในแง่ที่ผู้คนต่างๆก็สามารถกำหนดเพศวิถีของตัวเองได้ แน่นอนว่าแนวความคิดดังกล่าวมีความสัมพันธ์โยงใยกับเรื่องของอำนาจ การผลิตและการประกอบสร้างความรู้ความจริงเกี่ยวกับเรื่องของเพศวิถี โดยเฉพาะเพศวิถีในสังคมสมัยใหม่ที่สัมพันธ์กับผลกระทบอันเนื่องมาจากระบบทุนนิยมและกระแสการบริโภคนิยม ที่ทำให้ความหมายหรือการนิยามความหมายเกี่ยวกับเพศและร่างกายของมนุษย์ในลักษณะที่เป็นสินค้าเพิ่มมากขึ้น (ยศ ,2548:22) โดยเฉพาะการทำร่างกายเป็นสินค้า การผลิตสินค้าเกี่ยวกับร่างกาย และการเติบโตของเพศพาณิชย์และเซ็กส์ทัวร์ การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างภายในระบบทุนนิยม ที่สัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงชีวิตทางสังคมของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงของระบบทุนนิยมคือ การเปลี่ยนแปลงจากการสะสมทุน มาสู่การกระจายทุนและจากการผลิตสู่การบริโภค (Week,1985:22)
วัฒนธรรมบริโภคในสังคมปัจจุบันสะท้อนผ่านสินค้าที่ไหลเวียนอยู่ในตลาดและในสังคม และการแลกเปลี่ยนอย่างเสรี ทำให้ปัจเจกบุคคลมีอำนาจในตัวเอง มีเหตุผลมีอิสระที่จะตัดสินใจและกระทำตามสิ่งที่ตัวเองปรารถนา  วัฒนธรรมบริโภคสะท้อนให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับสินค้า  ร่างกายของมนุษย์เป็นส่วนหนึ่งของสินค้า และสะท้อนให้เห็นความหมายทางวัฒนธรรม โครงสร้างของระบบสังคมที่มองร่างกายเป็นสินค้า ร่างกายผู้หญิงภายใต้ระบบทุนนิยมชายเป็นใหญ่ ที่สัมพันธ์กับภาพลักษณ์ทางเพศที่ถูกสร้างขึ้นผ่านโฆษณาและสื่อสารมวลชนต่างๆ  ร่างกายของผู้หญิงเป็นที่ปรารถนาหรือต้องการของผู้ชายที่สามารถแลกเปลี่ยนซื้อขายเป็นเงินและนำเงินนั้นกลับมาจับจ่ายซื้อสินค้าในกระแสบริโภคนิยมเพื่อความอยู่รอดในชีวิตประจำวัน ดังนั้นความมีอิสระในการเลือกเพศวิถีหรือเพศสถานะของผู้ขายบริการในส่วนหนึ่งสะท้อนให้เห็นทางเลือกและอิสระในเพศวิถีแบบที่ตัวเองเลือกแต่ในอีกด้านหนึ่งมันได้กลายวัตถุ สินค้าและความแปลกใหม่ของอารมณ์และความสุขความหฤหรรษ์ทางเพศ เช่น เซ็กส์ผ่านอินเตอร์เน็ต แคมฟร็อกซ์เซ็กส์โฟนเซ็กส์กับผู้ชาย หรือกระเทย  หรือธุรกิจทิฟฟานีโชว์ที่กระตุ้นให้ชาวต่างชาติและผู้ชายทั่วไปสนใจ Ladyboyหรือมีเซ็กส์กับผู้หญิงข้ามชาติ เป็นต้น และสิ่งเหล่านี้ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของระบบตลาดและระบบทุนนิยมที่สะท้อนผ่านธุรกิจเซ็กส์ทัวร์และเพศเชิงพาณิชย์ที่เพิ่มมากขึ้น
ดังนั้น การเปลี่ยนแปลงนิยามความหมายเกี่ยวกับเรื่องเพศวิถีมีความสัมพันธ์กับการเติบโตของระบบทุนนิยม เพศสัมพันธ์ที่เป็นหน้าที่ในแง่ของการสร้างครอบครัวและการผลิตสมาชิก กลายเป็นสินค้าที่สามารถซื้อขายได้ตามท้องตลาด ไม่ใช่แค่รูปแบบของการค้าประเวณี แต่ยังมีความหลากหลายของการสร้างจินตนาการละความฝัน ผ่านหนังสือ อินเตอร์เน็ตแคมฟร็อก ทีวี และภาพยนตร์ รวมถึงเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ทำให้เรื่องเพศมีความหฤหรรษ์และมีหน้าที่เพื่อการสร้างความบันเทิงมากกว่าการผลิตสมาชิก เพศสัมพันธ์ไม่จำเป็นต้องแต่งงาน  ภายใต้เทคนิคหรือรูปแบบการคุมกำเนิดต่างๆ ทำให้เรื่องของเพศสัมพันธ์ได้กลายเป็นสินค้าของความพึงพอใจทางเพศ ทำให้เพศวิถีเป็นมากกว่าพฤติกรรมตามธรรมชาติหรือสัญชาตญาณของมนุษย์แต่มีนัยของอำนาจ การควบคุม การต่อสู้ ต่อรอง การแสดงตัวตน ทั้งในระดับปัจเจกบุคคล ครอบครัว ชุมชน สังคมและประเทศชาติเป็นต้น
การมองเพศวิถีในลักษณะดังกล่าวข้างต้นจึงมีคุณูปการที่สำคัญจากแนวคิดของมิเชล ฟูโก ที่มองว่าเพศวิถีเป็นผลผลิตของการแบ่งประเภท การจัดระเบียบ การกำหนดกฏเกณฑ์ กติกา และการควบคุมกำกับเรื่องเพศ  ทั้งกระบวนการปกปิดและการไม่ถูกพูดถึงในเรื่องเพศต่างๆก็ล้วนแล้วแต่เป็นการควบคุมทางเพศ ซึ่งเป็นความสัมพันธ์ทางอำนาจรูปแบบหนึ่ง เพศสัมพันธ์หรือบทบาททางเพศแบบไหนที่เหมาะสมไม่เหมาะสม เพศวิถีแบบไหนถูกต้อง ปลอดภัย เพศสัมพันธ์แบบไหนเป็นความเสี่ยงเป็นสิ่งสกปรกไม่พึงปรารถนาของสังคม ทำให้เกิดการควบคุมร่างกายตัวเองให้สอดคล้องกับวาทกรรมที่กำหนดซึ่งสะท้อนให้เห็นกระบวนการของอำนาจในระดับจุลภาค (Micro-power)ที่เข้ามาจัดการกับร่างกายของมนุษย์
เพศวิถีของผู้หญิงแรงงานข้ามชาติ จึงมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กับเรื่องของความรู้และอำนาจ การต่อสู้ ต่อรอง ที่สร้างตัวตนและเพศวิถีของผู้หญิงลาวเหล่านี้ทั้งที่เข้ามาโดยสมัครใจหรือไม่สมัครใจ ภายใต้ความสัมพันธ์กับการเป็นส่วนหนึ่งของระบบตลาด ระบบทุนนิยม โลกาภิวัฒน์ที่เชื่อมโยง ท้องถิ่นกับโลกภายใต้อุตสาหกรรมทางเพศ (Sex industries)การเป็นเหยื่อของการพัฒนาทางเศรษฐกิจการเมืองภายในประเทศและระหว่างประเทศ การเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการค้ามนุษย์ ความต้องการโอกาสในการทำงาน การรับผิดชอบต่อครอบครัวหรือความต้องการมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น เป็นต้น
ดังนั้นเพศวิถีของผู้หญิงขายบริการข้ามชาติลาวจึงสัมพันธ์กับจินตนาการ ที่เชื่อมโยงร่างกายอัตลักษณ์ตัวตนของพวกพวกเธอเข้ากับระบบทุนนิยม ความทันสมัยและการบริโภคนิยมเพื่อเติมเต็มความปรารถนาและความพึงพอใจของตัวเอง ร่างกายของพวกเธอไม่เพียงแต่สัมพันธ์กับระบบโลก โลกาภิวัตน์  ระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมเท่านั้น แต่ยังซ้อนทับกับความเป็นรัฐชาติระหว่างแผ่นดินที่กำเนิดกับแผ่นดินใหม่ที่อพยพเข้าไปด้วย เช่น  ความมีอิสระเสรีในการตัดสินใจการใช้ชีวิตของตัวเอง การจินตนาการถึงความเจริญความทันสมัยที่อยู่ห่างไกลจากสังคมแบบจารีตที่ตัวเองเคยอยู่  หรือความสุขสบายที่ดีกว่าความยากจนแร้นแค้น รวมถึงเพศวิถีในแบบที่ตัวเองพึงพอใจ และทำหน้าที่หลากหลายไม่ผูกติดแค่การสืบพันธุ์หรือผลิตสมาชิกกับสังคม แต่เป็นทั้งความพึงพอใจ ความสุข เป็นสินค้าแลกเปลี่ยน เป็นการซื้อขาย เป็นต้น เพศวิถีดังกล่าวจึงเป็นปรากฏการณ์ที่สัมพันธ์กับกระแสโลกาภิวัตน์ที่ทำให้การข้ามพรมแดนของผู้หญิงเหล่านี้มีมากขึ้นและสะดวกรวดเร็วมากกว่าเดิม
โลกาภิวัตน์มีความสัมพันธ์กับพื้นที่และกระบวนการข้ามพรมแดน ในแง่ที่โลกาภิวัฒน์ลดทอนความสำคัญของพื้นที่และขยายความสัมพันธ์ทางสังคมในมติทางภูมิศาสตร์ ซึ่งพรมแดนของภูมิศาสตร์ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อความสัมพันธ์ทางสังคมโลกาภิวัตน์ ซึ่งพื้นที่ทางภูมิศาสตร์หรือพรมแดนหดแคบลงภายใต้ความสัมพันธ์ทางสังคมที่แผ่กว้างและรวดเร็ว ความสำนึกร่วมของผู้คนในการเป็นส่วนหนึ่งของโลก ผ่านการรับรู้เหตุการณ์อย่างรวดเร็วฉับพลันในทุกมุมโลกซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาเทคโนโลยีการสื่อสารและการคมนาคม  ดังนั้นโลกาภิวัตน์จึงสัมพันธ์กับ มิติของพื้นที่และเวลาที่หดแคบลงและรวดเร็วขึ้น ทั้งการเคลื่อนย้ายของทุน  คน เงินตรา อุดมการณ์ เทคโนโลยีและสื่อ รวมทั้งการขยายพื้นที่ของจินตนาการของผู้คน ที่เชื่อมโยง ท้องถิ่น รัฐชาติและโลกเข้าด้วยกัน ที่สำคัญก็คือจินตนาการเหล่านี้กลายเป็นความจริงและปฏิบัติการทางสังคม ที่สะท้อนผ่านประสบการณ์การใช้ชีวิตประจำวัน การต่อสู้ดิ้นรน ความทุกข์ทรมานโดยเฉพาะของผู้คนที่ข้ามพรมแดน
การอพยพข้ามแดน เป็นส่วนหนึ่งที่เกิดจากปรากฏการณ์ของการแผ่ขยายของกระแสโลกาภิวัตน์ การข้ามพรมแดนทำให้เกิดการสลายไปของพรมแดนและบทบาทของรัฐชาติและรัฐชาติถูกแปรสภาพให้กลายเป็นกลจักรหนึ่งของการค้าของโลกยุคโลกาภิวัฒน์ (Michael Burawoy ,2001:148)
สิ่งที่น่าสนใจคือพื้นที่ทางภูมิศาสตร์กลายเป็นสังคมข้ามพรมแดน(Transnationalism) เป็นพื้นที่ทางสังคมที่มีความหลากหลาย ทั้งตัวตนทางสังคม วัฒนธรรม การเมือง เศรษฐกิจและปฏิบัติการทางสังคมต่างๆ ในโลกยุคโลกาภิวัฒน์กระบวนการเหล่านี้อาจเรียกว่า เป็นปฏิบัติการข้ามพรมแดน  ที่สะท้อนให้เห็นการเคลื่อนย้าย อัตลักษณ์ตัวตน การเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างแผ่นดินแม่กับประเทศที่อพยพเข้าไป ประสบการณ์การข้ามพรมแดนของผู้อพยพ ผู้พลัดถิ่น แรงงานข้ามชาติ ดังนั้น ตามแนวทางของ Glick Schiller มองว่า สังคมข้ามแดนเกิดภายใต้เงื่อนไขของระบบทุนนิยมและต้องถูกวิเคราะห์ภายใต้เงื่อนไขบริบทความสัมพันธ์ระหว่างทุนกับแรงงานในระดับโลก รวมทั้งสังคมข้ามแดน เป็นกระบวนการที่ผู้อพยพสร้างสนามทางสังคมพาดผ่าน เชื่อมโยง หรือตัดข้ามพรมแดนรัฐ-ชาติ ทั้งกิจกรมในชีวิตประจำวัน กิจกรรมทางสังคม เศรษฐกิจและวัฒนธรรม ซึ่งจะต้องให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ของคนกับคน คนกับแนวคิด คนกับสิ่งของและคนกับทุนและเน้นความสำคัญของมนุษย์ในฐานะผู้กระทำการ
ผู้หญิงแรงงานข้ามชาติลาวจึงเป็นส่วนหนึ่งของกระแสโลกาภิวัตน์ ระบบทุนนิยม และกระแสบริโภคนิยมโดยการเดินทางข้ามพรมแดน ในฐานะของแรงงานที่เคลื่อนย้ายเข้ามาในประเทศไทย จากท้องถิ่นประเทศแม่ของตัวเอง พร้อมกับจินตนาการเกี่ยวกับความทันสมัย ความเจริญก้าวหน้า เพื่อสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นทั้งของตัวเองและครอบครัวที่อยู่เบื้องหลัง โดยผนวกตัวเองเข้ากับระบบทุนนิยม การเปลี่ยนร่างกายให้เป็นสินค้าในฐานะของทุน ที่เชื่อมโยงกับการเติบโตของธุรกิจเพศเชิงพาณิชย์และอุตสาหกรรมเซ็กส์ทัวร์ ในอีกด้านหนึ่งตัวตนของแม่หญิงแรงงานข้ามชาติลาวเหลานี้ยังผูกโยงกับอัตลักษณ์ของความเป็นชาติพันธุ์ สถานภาพในแผ่นดินเกิดที่จากมา ทั้งความเป็นแม่เป็นลูกสาวหรือเป็นภรรยาเข้ามาใช้ชีวิตอยู่ในพรมแดนของประเทศปลายทางที่เป็นพื้นที่ที่แตกต่าง และมีการซ้อนทับของอำนาจของรัฐชาติไทยที่เข้ามาจัดการและควบคุมแรงงานเหล่านี้ภายใต้กฏหมาย เป็นแรงงานที่ถูกกฎหมาย ผิดกฎหมาย เป็นผู้ลักลอบเข้าเมือง เป็นผู้ค้าประเวณี เป็นอาชญากร เป็นต้น พื้นที่พรมแดนเหล่านี้จึงเป็นพื้นที่ที่สะท้อนให้เห็นวิถีชีวิต ประสบการณ์การข้ามแดน ความเจ็บป่วยและความทุกข์ทรมาน ทั้งจากความขัดแย้งจากภาวะความทันสมัย ความไม่ลงรอยกันระหว่างอัตลักษณ์แบบจารีตกับอัตลักษณ์สมัยใหม่ การถูกควบคุมจากอำนาจทั้งอำนาจของจารีต กรอบศีลธรรมทางศาสนา อำนาจของกฎหมาย กับการมีอิสระในการเลือกใช้ชีวิตหรือเพศวิถีในแบบที่ตัวเองปรารถนาในการเข้ามาสู่อาชีพขายบริการ รวมทั้งการเปลี่ยนแปลงของพรมแดนทางภูมิศาสตร์ที่อยู่ในสภาวะของการไร้พรมแดนในกระแสโลกาภิวัตน์ ทำให้การเดินทางระหว่างแผ่นดินต้นทางกับแผ่นดินปลายทางทำได้สะดวกรวดเร็วและง่ายมากขึ้น ทั้งนโยบายของความเป็นอาเซียน การค้าเสรีทำให้การเคลื่อนย้ายของผู้คนและทุนมีมากขึ้น วิถีชีวิตของแม่ญิงลาวจึงไม่ได้ห่างไกลจากวิถีชีวิตแบบเดิมมากนัก พวกเขาสามารถกลับบ้านในช่วงเทศกาลสำคัญ สงกรานต์ปีใหม่ เพื่อใช้ชีวิตกับครอบครัว ชุมชนตามแบบจารีตในขณะเดียวกันพวกเขาก็สามารถกลับเข้ามาใช้ชีวิตตามแบบของความทันสมัย ความมีอิสระเสรีในการใช้ชีวิต การทำงานโดยใช้เนื้อตัวร่างกายแลกเปลี่ยนกับเงินตราโดยไม่ต้องติดกับกรอบทางศีลธรรมหรือจารีต

ดังนั้นในการศึกษาประเด็นผู้หญิงลาวอพยพขายบริการ ตัวตน ชีวิต ประสบการณ์ ในเรื่องเพศวิถี ความเจ็บป่วยและสุขภาพ ผู้ศึกษาจึงเลือกใช้มุมมองของโพสต์โมเดิร์น แนวคิดเรื่องตัวตน วาทกรรมและเพศวิถี (Sexuality)ของมิเชล ฟูโก ที่สัมพันธ์กับกระแสโลกาภิวัตน์ (Globalization)และการข้ามพรมแดน (Transnational)ของกลุ่มแรงงานข้ามชาติผู้หญิงลาวที่อพยพเคลื่อนย้ายมาขายบริการในประเทศไทยมาทำความเข้าใจปรากฏการณ์ที่ศึกษาภายใต้เงื่อนไขปัจจัยต่างๆของการกลายเป็นผู้หญิงขายบริการและการเข้ามาในประเทศไทย ทั้งอิทธิพลของระบบทุนนิยมและบริโภคนิยมที่แผ่ขยายข้ามพรมแดนอย่างกว้างขวางเพื่อสะท้อนให้เห็นประสบการณ์ การใช้ชีวิตและการต่อสู้รวมทั้งความเจ็บป่วยจากการขายบริการในพื้นที่ข้ามแดน รวมทั้งใช้แนวคิดของมิเชลฟูโก มาทำความเข้าใจความรู้และอำนาจที่ปรกอบสร้างตัวตนและร่างกายของแม่ญิงลาว ผ่านชุดความรู้ทางประวัติศาสตร์และยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง รวมถึงประเด็นเรื่องอัตตาและตัวตนที่มีอิสระในการเลือกและตัดสินใจในเพศวิถีของตัวเองที่สัมพันธ์กับการใช้ชีวิตและความเจ็บป่วยทางสุขภาพ

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง