ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

วิชาการแนวโพสต์กบัการศึกษาวัฒนธรรมยุคหลังทันสมัย โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

วิชาการแนวโพสต์โมเดิร์น (Post-Modern)
วิชาการแนวหลังสมัยใหม่ ไม่ใช่วิชาการที่มุ่งหมายจะเข้ามาแทนโมเดิร์น ในตอนนี้ แต่Post ที่แปลว่าหลัง ไม่ได้หมายความว่า Modern จบแล้ว  แต่โพสต์โมเดิร์น เข้ามาแข่งขัน วิพากษ์ ต่อล้อต่อเถียงกับโมเดิร์น โดยวิชาการแนวสมัยใหม่เป็นผลพวงของปรัชญาที่เรียกว่าความรู้แจ้ง (Enlightenment) ที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่18 พัฒนามาจากแนวความคิดมนุษยนิยม (`Humanism) ในยุคของการฟื้นฟูศิลปะและวิทยาการ (Renaissance) ที่มนุษย์มาถึงยุคของแสงสว่างด้วยพลังของเหตุผล(Reason) เจตจำนง (Will) เสรีภาพ (Freedom)และความฝักใฝ่ในความสงบสุข สิ่งที่มนุษย์ต้องการแสวงหาเหล่านี้ล้วนต้องแลกมาด้วยการต่อสู้ ดังเช่นกรณีของการปฏิวัติในฝรั่งเศสในปลายศตวรรษที่ 18 ที่ประชาชน คนชั้นกลางต้องการได้มาซึ่งเสรีภาพ อันนำไปสู่การสร้างสรรค์สังคมเพื่อให้เกิดความก้าวหน้าต่อไป สิ่งเหล่านี้ได้หล่อเลี้ยงระบบความคิดในยุคอุตสาหกรรม ทุนนิยม ให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะพลังของการปฏิวัติอุตสาหกรรม
สิ่งเหล่านี้มีลักษณะเป็นสากล ไม่ได้จำกัดเฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง แต่มันเป็นคุณสมบัติประจำมนุษยชาติ ตั้งแต่ที่พวกสารัตถะเพศชายในยุโรปค้นพบสิ่งเหล่านี้ และต้องนำสิ่งเหล่านี้ไปมอบให้กับคนทั้งโลก เกิดลัทธิล่าอาณานิคม ที่ชูวาทกรรมว่าด้วยแสงสว่างของคนผิวขาวที่คิดว่าตัวเองเหนือกว่าคนอื่น เราไปยึดครองหรือแย่งชิงทรัพยากรใด เราก็อ้างว่าเราไม่ได้เอาเปรียบหรือขูดรีด แต่เราเอาแสงสว่างของเราไปเผยแพร่ให้กับคนซีกโลกอื่น โดยตัวแทนของพระเจ้าคนขาว ซึ่งก็คือบรรดามิชชันนารี ในช่วงของการล่าอาณานิคม ที่เข้าทำลายความเชื่อในทางไสยศาสตร์ สิ่งที่เหนือธรรมชาติ ภูตผีของกลุ่มคนพื้นเมืองที่พวกเขาคิดว่างมงายไร้เหตุผลโดยสร้างผีตัวใหม่ที่เป็นผีของคนตะวันตกผิวขาว ซึ่งสะท้อนให้เห็นความเชื่อในเรื่องสารัตถะของเพศชายผิวขาวที่เหนียวแน่นมาจนถึงปัจจุบัน ในขณะที่ผู้หญิงถูกมองว่าใช้อารมณ์มากกว่าเรื่องของเหตุผล
วิชาการแนวหลังสมัยใหม่ พยายามวิพากษ์และตั้งคำถามกับวิธีคิดแบบโมเดิร์น  โดยเฉพาะความคิดที่ว่าด้วย Universalism  เพราะโมเดิร์นพยายามอ้างถึงแม่แบบที่เป็นสากลใช้ได้กับมนุษย์ทั้งโลกทุกเผ่าพันธุ์ มนุษย์ทุกชนิด ซึ่งมันเกินความจริงและทฤษฎีใหญ่ที่เป็นผลมาจาก Universalism ระบบใหญ่ๆที่โมเดิร์นคิดขึ้นมาจำเป็นต้องตรวจสอบและวิพากษ์ บนฐานของความหลากหลาย (Multiple) เพราะวิชาการแบบโมเดิร์น พยายามกดทับความหลากหลายเอาไว้  เพราะวิชาการแบบโมเดิร์น ต้องการตรึงบางอย่างใช้กับแม่แบบไว้กับแม่แบบที่หยุดนิ่งกับที่ ทั้งที่จริงสิ่งต่างๆหรือปรากฏการณ์ต่างๆล้วนมีพลวัตร มีการเลื่อนไหลซึ่งตรงกันข้ามกับวิธีคิดแบบโมเดิร์นที่มองอะไรที่เรียบเนียนแบบโมเดิร์นที่อ้างถึงความชัดเจน แจ่มแจ้ง มีเอกภาพ มีความเป็นหนึ่งเดียว โลกนี้เข้าใจง่าย เหมือนของตกเท่ากับ X=MN ซึ่งเป็นวิธีคิดที่ได้รับอิทธิพลมาจากวิทยาศาสตร์แบบนิวตันและเดการ์ต
แนวคิดแบบโพสต์โมเดิร์น บอกว่า ความสัมพันธ์ (Relation) ไม่ได้เป็นเอกภาพหรือหนึ่งเดียว แต่มีความยอกย้อน ย้อนแย้งกันอยู่ตลอดเวลา ตามความเลื่อนไหลหลากหลาย จุดสำคัญอยู่ตรงที่ว่า ตัววิชาการเองเที่ยวไปอธิบาย ตรวจสอบอะไรต่อมิอะไร แต่ควรที่จะหันมาตรวจสอบตัวเอง วิชาการแบบโพสต์โมเดิร์น จะตระหนักว่าวิชาการของตัวเองจะต้องถูกหรือต้องการ การตรวจสอบและตั้งคำถามอยู่ตลอดเวลา
แนวคิดแบบโพสต์โมเดิร์นเข้ามาประทะกับความคิดแบบเน้นความเป็นสากลของโมเดิร์น (Modern Universal)  ซึ่งต้องมาดูและให้ความสนใจกับความเลื่อนไหล ย้อนแย้ง หลากหลาย ซึ่งมันซับซ้อน สร้างความกระอักกระอ่วนใจตลอดเวลา วิธีคิดแบบโมเดิร์นชอบสร้างสิ่งที่เรียกว่า Grand-Theory ตั้งแต่ช่วงปี 1960 ซึ่งเริ่มเกิดปรากฏการณ์ที่เห็นได้ชัดเจนคือ ผู้คนเริ่มตั้งคำถามและไม่ยอมหลงเชื่อ และวิพากษ์ความคิดเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น เรื่องเล่าใหม่ๆหรือ Grand Narrative คือสิ่งที่นักวิชาการโมเดิร์นอ้างว่า เป็นความจริง (Truth) สัจจะ ทั้งที่เป็นแค่ชุดค่านิยมชุดหนึ่ง เช่นเดียวกับลัทธิที่เน้นความเป็นสากล( Universalism) ซึ่งพบได้ในวิธีคิดของพวก Enlightenment ที่เชื่อว่ามนุษย์เป็นนายของตัวเองและมีเหตุผล และในมาร์กซิสต์ (Marxism) ที่เชื่อว่ามนุษยชาติกำลังเดินทางไปสู่สังคมในอุดมคติ (Utopia) ดังนั้นทุกสิ่งมันไม่ใช่ความจริง(Truth) แต่โมเดิร์นนำไปเสนอเหมือนว่าเป็นความจริง ซึ่งทำให้เราสนใจวิเคราะห์แต่ในระดับใหญ่ (Macro Analysis) ก็จะวิเคราะห์จากอำนาจรัฐที่ใหญ่โตมโหฬาร และเป็นอำนาจแบบบนลงล่าง (Top –Down) วิเคราะห์การใช้สิทธิเสรีภาพของประชาชน เช่น อำนาจรัฐจะชอบธรรมอย่างไร อะไรทำให้อำนาจของรัฐชอบธรรม ซึ่งเป็นเรื่องที่ใหญ่มาก จนมองไม่เห็นวิถีชีวิตของผู้คนหรือเสียงของคนเล็กคนน้อย
มิเชล ฟูโก กลับไปสำรวจบนการกำเนิดของโมเดิร์นใหม่ โดยมองว่า ความเป็นสมัยใหม่เกิดขึ้นมาจากการแบ่งแยกและการกีดกัน ความเป็นสมัยใหม่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 17-18 ในตะวันตกมีการลุกขึ้นมาขีดเส้นแบ่งระหว่างคนจิตปกติกับคนจิตวิปลาส ซึ่งแต่เดิมอยู่ร่วมกันในสังคม พอมีเส้นแบ่งระหว่างคนจิตปกติกับคนจิตวิปลาส ก็กักกันคนวิปลาสไว้ในโรงพยาบาลบ้า เพื่อต้องการกีดกันเหลือแต่คนจิตปกติ ที่มีเหตุผล เพราะมองว่าจิตวิปลาสเป็นความเบี่ยงเบนที่ต้องแก้ไข ต้องรักษา ให้หายเป็นปกติ
มิเชล ฟูโกได้ชี้ให้เห็นการขีดเส้นแบ่งของพลเมืองดีกับอาชญากรและการลงโทษ เกิดสถาบันใหม่ทางสังคม ที่เปลี่ยนจากช่วง Pre-Modern เป็น Modern จนกระทั่งเกิดคุก เพื่อเอาไปฟื้นฟูให้เขากลับมาเป็นคนดี ขีดเส้นแบ่งวิถีเพศแบบปกติ และแบบเบี่ยงเบน ตรงนี้เริ่มทำให้เรามีมุมมองใหม่เกี่ยวกับสังคมโมเดิร์น ในหนังสือ Discipline and Punish การวินัยและการลงโทษ โดยชี้ให้เห็นการทำงานของอำนาจในระดับจุลภาค เป็นอำนาจที่ซึมซ่านไปทั่วอยู่ในองคาพยพของสังคม ในช่วงของกระบวนการเปลี่ยนผ่านสังคมเข้าไปสู่สมัยใหม่ อำนาจไปจับยึดมนุษย์ในปฏิบัติการของร่างกาย เข้ามาจับยึดในเรื่องของระเบียบวินัย บรรทัดฐานที่สังคมสมัยใหม่สถาปนาขึ้นมา เช่น ตารางเวลาของคน กฎระเบียบ ข้อบังคับ เป็นต้น
ฟูโก ชี้ต่อว่า อำนาจผูกพันกับสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าวาทกรรม (Discourse) ซึ่งเป็นเรื่องที่ซับซ้อน เป็นสิ่งที่คนพูดกัน เขียนกัน ในยุคใดยุคหนึ่ง สิ่งที่พูดหรือเขียน จำกัดด้วยกรอบความรู้ในประเด็นนั้น เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อม ความเป็นไทย โลกร้อน ความเป็นชาติ สิ่งที่พูดหรือเขียนถูกกำหนดด้วยสิ่งที่เรียกว่า กรอบความรู้ (Episteme)  กรอบความรู้ มีที่มาจากกลุ่มคนบางกลุ่มยกให้เป็นผู้สันทัดกรณีหรือผู้เชี่ยวชาญ และกรอบนั้นมันก็แพร่กระจายออกไป อะไรที่พูดออกมาเป็นที่ยอมรับได้ เช่น ในยุคหนึ่งเราอยู่ในกรอบความรู้ (Episteme) ที่บอกว่าประเทศต้องพัฒนา น้ำไหล ไฟสว่าง แต่ปัจจุบันกรอบความรู้ กับบอกเราว่า สิ่งเหล่านี้เป็นตัวทำลายสิ่งแวดล้อม ดังนั้นอำนาจจึงพ่วงไปกับกรอบความรู้ในสิ่งที่เรียกว่า วาทกรรมในแต่ละยุคหรือวาทกรรมแห่งยุคสมัย ดังนั้น การใช้อำนาจคือการใช้วาทกรรม ความรู้ ความเข้าใจ ของผู้คนยุคหนึ่งก็จะมาผูกกับผู้คนไว้ ตรงนี้มีผลสำคัญในเชิงวิชาการ ได้ภาพประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่มันเป็นห่วงโซ่ที่มนุษย์สร้างขึ้น มันมีความต่อเนื่อง
ในมิติเชิงสัญลักษณ์ (Symbolic Dimension) หมายถึงเรื่องของคุณค่าและความหมาย วิชาการแบบโมเดิร์นเห็นเรื่องนี้รองจาก เรื่องอรรถประโยชน์สูงสุด (Utility) หากจะวิเคราะห์แบบโมเดิร์น ก็จะมองว่า มนุษย์ทำสิ่งต่างๆเพื่อประโยชน์ต่อตัวเองหรือสังคม มนุษย์บริโภคเพื่อสนองความต้องการ(Want) หรือความจำเป็น(Need) ถ้าเราหันมาวิเคราะห์แบบมาร์กซิสต์ มีฐานะที่บางเบาและอยู่ปลายเหตุของกระบวนการทางสังคม ต้นเหตุสำคัญคือความสัมพันธ์ของชนชั้นในวิถีการผลิต
วิชาการแบบโพสต์โมเดิร์น (Post-Modern Scholarship) ให้ความสำคัญกับภาษา ภาพเสนอที่สร้างขึ้น ในความคิดแบบโมเดิร์นมองว่าเป็นปลายเหตุ แต่ความคิดแบบโพสต์โมเดิร์น มองว่า เป็นต้นเหตุที่ทำให้เกิดสถาบันทางสังคม ระบบการเมือง เป็นอย่างนี้ สิ่งที่คนพูดกัน วาทกรรมที่อ่านกัน เศรษฐกิจแบบโมเดิร์น เป็นเรื่องของอุปสงค์ อุปทาน ความจำเป็น(Need)และการสนองความต้องการ
การอธิบายของ Bataille ที่เกี่ยวกับโพสต์โมเดิร์น หรือเศรษฐศาสตร์แนวโพสต์โมเดิร์น ได้อ้างถึง ความสิ้นเปลือง ความสูญเปล่าอาจเป็นปัจจัยที่สำคัญที่สุดทางเศรษฐกิจ คนเราไม่ได้บริโภคเพื่ออิ่มท้องหรือบริโภคโดยเน้นประโยชน์ แต่บริโภคเพื่อหน้าตาหรือบริโภคเชิงสัญลักษณ์หรือสัญญะ
ปิแอร์ บูดิเยอร์ (Pierre Boudieu) เศรษฐกิจแบบทรัพย์สินเชิงสัญลักษณ์ การให้ของขวัญและการทำลายทรัพย์สินเพื่อแสดงถึงความมั่งคั่งที่มีมาตั้งแต่สังคมโบราณ (Potlac) ของชนเผ่าพื้นเมือง การให้ของขวัญกัน ต้องคาดดาราคากันเอง ว่าจะซื้อเท่าไหร่ ให้มันเพียงพอ เศรษฐกิจของการสักการะ บูชา การอุปถัมภ์ ของอย่างนี้เศรษฐศาสตร์กระแสหลักไม่สนใจ เช่น เศรษฐศาสตร์สำนักคลาสสิคหรือนีโอคลาสสิค แต่ในขณะเดียวกันลืมคิดไปว่า เศรษฐกิจใต้ดินหรือเศรษฐกิจนอกระบบครึ่งหนึ่งของประเทศไทย
มิติเชิงสัญลักษณ์ที่อยู่ในระบบเศรษฐกิจมันแสดงให้เราเห็นอย่างเข้มข้น ในสังคมหลังสมัยใหม่ เราเห็นทั้งในเรื่องทางเศรษฐกิจ การเมือง ชัดเจน นักวิชาการในเรื่องนี้อย่างโรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) หรือ ฌอง โบดิยาร์ด (Jean Baudrillard) การบริโภคในสังคมโพสต์โมเดิร์น ไม่ใช่การบริโภคเพื่อประโยชน์ใช้สอย แต่บริโภคเพื่อสื่อคุณค่าของตัวเองต่อผู้อื่น เช่นที่ปรากฏผ่านโฆษณา ศูนย์การค้า เป็นการบริโภคสัญญะ (Sign) ซึ่งไม่จำเป็นต้องจริงใจ ว่าเพื่อแสดงความเป็นไทย แต่เพื่อไม่ให้ตกยุค เราบริโภคโฆษณา เช่น ความสุขที่คุณดื่มได้ ไปๆมาๆท้ายที่สุดความเป็นสัญญะมันมีความสำคัญมากกว่าประโยชน์ใช้สอย ในสังคมสมัยใหม่ทุนนิยมขั้นล่าสุด ให้สิ่งที่เรียกว่าความหลากหลายในสังคม ไม่ใช่ความแตกต่างจริง เป็นความแตกต่างในลักษณะที่ฉาบฉวย เชิงสัญญะ มันเป็นความแตกต่างแบบจำลอง อย่างเช่นยาสีฟันที่ผลิตจากหลายบริษัท อาจมีความแตกต่างกันนิดหน่อยในด้านราคา คุณสมบัติและรูปลักษณ์ของผลิตภัณฑ์
มิเชล ฟูโก (Michel Foucault) มองว่าการสถาปนาสมัยใหม่เกิดจากการขีดเส้นแบ่งและจัดประเภทให้กับสิ่งต่างๆ เช่น การศึกษาเกี่ยวกับความบ้าที่แบ่งแยกระหว่างคนปกติกับคนบ้า หรือการแบ่งแยกระหว่างความมีอารยะธรรมกับไร้อารยะธรรม  ( ในงานข องมิเชลฟูโก เรื่อวง Madness and Civilization ) เป้าหมายในหนังสือของเขาคือ การให้เสียงของคน (Give the voice) โดยเฉพาะคนที่ถูกลิดรอนและถูกกดีกันกดทับ ดังเช่นเสียงคนที่จิตวิปลาส เพื่อให้พวกเขาได้สะท้อนเสียงของพวกเขาเองและให้คนอื่นได้ยินเสียงของพวกเขาด้วย
นักมานุษยวิทยา ที่ลงไปศึกษาชนเผ่าต่างๆนั้นก็เป็นการใช้อำนาจรูปแบบหนึ่ง หรือปฏิบัติการ (Practice) ของนักมานุษยวิทยาที่เราไปจ้องมองคนอื่นๆให้กลายเป็นผู้ถูกศึกษา เช่น การศึกษาวิถีชีวิตของชนเผ่าหนึ่ง ผู้วิจัยหรือผู้ศึกษาพยายามจัดแหน่งและวางอำนาจในการอยู่เหนือวัตถุที่ตัวเองศึกษา เอาวิถีชีวิตของชนเผ่าเป็นวัตถุในการศึกษา ในงาน Writing Culture ของ เจมส์ คลิฟฟอร์ด (James Clifford) ซึ่งเป็นบรรณาธิการ ที่เขาเอางานทางมานุษยวิทยามาวิเคราะห์ วิจารณ์ว่าเหมือนการเขียนนิยายต้องมีจริต มีความรู้สึก มีอารมณ์เยอะ เพราะเป็นเรื่องของมนุษย์ที่เลื่อนไหล เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
แนวความคิดแบบโพสต์โมเดิร์น หันไปทำความเข้าใจและดูภาวะสังคมว่ามันซ้อนทับ ย้อนแย้งกันอย่างไร และนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงอะไร ดังนั้นความรู้แบบโพสต์โมเดิร์น หลุดลอยจากกรอบความรู้โมเดิร์นไม่ได้ เพราะไม่อย่างนั้นมันก็จะไม่มีเหตุผล เพราะเราต้องไปวิพากษ์กับโมเดิร์น  ดังนั้นถึงเวลาที่เราต้องเรียนรู้ด้วยกันซึ่งกันและกัน โมเดิร์นต้องยอมรับโพสต์โมเดิร์นด้วย โพสต์โมเดิร์นก็ต้องเข้าไปเรียนรู้โมเดิร์น
การกระทำ (Action) ที่มีต่อสังคมของโพสต์โมเดิร์น จะไม่ค่อยไปต่อกรกับเรื่องใหญ่ แต่เป็นการทำเรื่องเล็กๆกับสิ่งที่ใกล้ตัวคน ในสิ่งที่คนทั่วไปมองไม่เห็นชัดเจนหรือจับต้องได้ เช่น จิตสำนึก จิตใต้สำนึก เพราะการสร้างของใหญ่ไปล้มของใหญ่มันก็เสมือนการสร้างของใหญ่ขึ้นมาแทนของเดิมซึ่งก็จะกลับไปสู่วงจรการกดทับสิ่งเล็กสิ่งน้อยเหมือนเดิม
โพสต์โมเดิร์น พยายามจะบอกว่า ตัวเองไม่ได้เข้าไปแทนโมเดิร์น เพราะถ้าเข้าไปยึดพื้นที่แทน มันจะเกิดความผูกขาด แต่ขอให้ตัวเองมีพื้นที่ร่วม เพื่อรักษาความหลากหลายนั้นเอาไว้ และควบคุมความฟุ้งเฟ้อและอวดอ้างตัวเองของแนวคิดแบบโมเดิร์นและนักคิดใหญ่ๆในกระแสความคิดนี้ โดยไม่ได้ต้องการเข้าไปเป็นกระแสหลักแต่ต้องการพื้นที่ในการต่อรอง โพสต์โมเดิร์น ไม่เชื่อในการทำให้มีอันเดียว เป็นแบบเดี่ยว(Mono) ซึ่งไม่ใช่หยุดอยู่แค่เรื่องของความสันติสุข สงบเงียบ ลอมชอม แต่ต้องอยู่ด้วยการวิพากษ์ ทะเลาะเพื่อบ่อนเซาะอำนาจให้ถึงที่สุด ที่สำคัญคือต้องตรวจสอบอำนาจ
แนวคิดอัตถิภาวะนิยม (Existentialism) คือ การพยายามดิ้นรนอยู่รอดครั้งสุดท้ายของโมเดิร์น ที่ปรากฏชัดในงานของ Jean-Paul Sartre ซึ่งพยายามพูดถึงการดำรงอยู่ของมนุษย์ มนุษย์คือภาพของมนุษย์ มนุษย์คือสิ่งที่พวกเขาสร้างตัวเองขึ้นมา ดังนั้นมนุษย์จึงต้องรับผิดชอบและถูกกำหนดให้เป็นอิสระมนุษย์เรียกร้องที่จะยืนยันในเจตจำนงของเรา เขาออกนิตยสารชื่อ Modern Times อิทธิพลของกระแสความคิดดังกล่าวก็เลยต้องการดึงเอา Existentialism มาอยู่ใน มนุษยนิยม (Humanism) อัตภาวะนิยมก็คือ มนุษยนิยมอย่างหนึ่งที่กลับมาเน้นและให้ความสำคัญกับตัวตนของมนุษย์
การศึกษาวัฒนธรรมในช่วงยุคหลังทันสมัยนิยม
ข้อขัดแย้งทางความคิดในยุคของโมเดิร์น คือความขัดแย้งในด้านวิถีชีวิต ที่มีรากฐานจากความแตกต่างทางชนชั้น โดยเฉพาะในช่วงหลังที่อำนาจของชนชั้นกลาง (Bourgeois) มีฐานะและบทบาทสำคัญทางการค้า การควบคุมทางเศรษฐกิจ เกิดการเติบโตของระบบทุนนิยม (Capitalism) ที่นำไปสู่แนวความคิดและค่านิยมที่เชิดชูความเป็นปัจเจก(Individualism) ที่ต้องการจะปลดปล่อยตัวเอง และตอบสนองความต้องการบริโภคที่ไม่มีสิ้นสุด  รวมทั้งการแสวงหาสิ่งที่จะเข้ามาตอบแทนความต้องการของตัวเอง โดยเฉพาะเงินตรา ที่จะนำมาซื้อวัตถุสิ่งของ ตัวตนของมนุษย์ถูกลดทอนเมื่อเข้าสู่ระบบทุนนิยม ไม่ว่าจะเป็นกระบวนการผลิต ในฐานะผู้ผลิต นายทุน แรงงาน รวมทั้งการผนวกตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของระบบบริโภค เมื่อต้องกลายมาเป็นผู้บริโภคภายใต้ห่วงโซ่ของวิถีการผลิต
สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นการเป็นองค์ประธาน(Subject) และเป็นกรรมหรือวัตถุ(Object) ของมนุษย์ในกระแสทุนนิยม กระบวนการลดทอนความเป็นมนุษย์ (Dehumanization) มนุษย์มีฐานะเป็นสินค้าในระบบทุนนิยม (Commodities) และแสวงหาเงินทองอย่างบ้าคลั่ง (Fetishism) ให้ความสำคัญกับวัตถุในฐานะสิ่งที่จะทำให้มนุษย์เข้าถึงคำว่าความสุข แต่ไม่คำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของตัวเองและคนอื่น

การพยายามแสวงหาตัวตนของมนุษย์ ที่ต้องการสร้างตัวตนให้แตกต่างหรือเหมือนกับคนอื่น ซึ่งนำไปสู่กระบวนการของการบริโภคสินค้าของมนุษย์ในสังคมซึ่งไม่ว่าจะบริโภคสินค้าอย่างไร แท้จริงแล้วไม่ได้แสดงถึงความเป็นตัวตนของตัวเองใดๆทั้งสิ้น แต่เป็นการแสดงออกซึ่งตัวตนของตัวเองในระบบทุนนิยม โดยการเทียบเคียงความเหมือนความต่างจากคนในสังคม การบริโภคสินค้าจึงตอกย้ำอัตลักษณ์ของตัวตนที่เหมือนหรือแตกต่างจากคนอื่น ภายใต้ตัวเลือกที่ถูกกำหนดจากผู้ผลิตในสังคม ความเป็นปัจเจกชนแท้ที่อ้างถึงจึงเป็นได้เพียงแค่ปัจเจกชนเทียม (Puedo-Individualism) เท่านั้น

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ เน้นอยู่ที่ปัจจัยทางชีววิทยาเพ

การนอน มานุษยวิทยาและนักมานุษยวิทยา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

 เข้านี้หลังจากตื่นนอน อยากเขียนการนอนในมิติทางมานุษยวิทยากับนักมานุษยวิทยา...    ผมเริ่มต้นกับการลองตั้งคำถามเพื่อหาความรู้เกี่ยวกับการนอนว่า อะไรคือการนอน ทำไมต้องนอน นอนที่ไหน นอนเมื่อไหร่ นอนอย่างไร นอนกับใคร นอนเพื่ออะไรและอื่นๆ..เพื่อจะได้รู้ความสัมพันธ์ของการนอนในมิติต่างๆ การนอนของสิ่งมีชีวิตชนิดอื่นๆแตกต่างจากมนุษย์หรือไม่    หากเปรียบเทียบการนอนของ มนุษย์กับสัตว์สปีชี่ส์อื่นมีการนอนต่างกันหรือเหมือนดันอย่างไร ตัวอย่างเช่น ยีราฟจะนอนครั้งละ 10 นาที รวมระยะเวลานอนทั้งหมด 4.6 ชั่วโมงต่อวัน สัตว์จำพวกค้างคาว และเม่นมีการนอนมากกว่าสัตว์อื่นๆเพราะใช้เวลานอน 17-20ชั่วโมงต่อวัน    สำหรับมนุษย์ การนอนคือส่วนสำคัญอย่างหนึ่งในประสบการณ์ของมนุษย์ การสำรวจการนอนข้ามวัฒนธรรมน่าจะทำให้เราเข้าใจความหมายและปฎิบัติการของการนอนที่มีความซับซ้อนมากขึ้น..     การนอนอาจจะเป็นเรื่องของทางเลือก แต่เป็นทางเลือกที่อาจถูกควบคุมบังคับ โดยโครงสร้างทางสังคมวัฒนธรรม นอนเมื่อไหร่ นอนเท่าไหร่ นอนที่ไหน นอนอย่างไร และนอนกับใคร..     ในสังคมตะวันตก อุดมคติเกี่ยวกับการนอนเป็นสิ่งที่ถูกทำให้เป็นเรื่องส่วนตัว(priv

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile Derkhiem ในหนัง