ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

นักมานุษยวิทยาหญิง การต่อสู้ในสนามในงาน Interpid woman : Adventures in Anthropoogy โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือภาคสนาม …เรื่องราวการต่อสู้ของนักมานุษยวิทยาหญิง ผมนึกถึงหนังสือชื่อ Intrepid Women: Adventures in Anthropology โดยบรรณาธิการคือ Julia Nicholson ผมสะดุดกับคำว่า Interpid woman ซึ่งมีความน่าสนใจ ความหมายของคำว่า Intrepid คือความกล้าหาญ, ความไม่เกรงกลัว, ความมุ่งมั่น และผู้บุกเบิก ดังนั้นเมื่อนำมาใช้กับผู้หญิง (Intrepid Women) จึงสื่อถึง ผู้หญิงที่กล้าลุยไปในพื้นที่และบทบาทที่สังคมไม่คาดว่าจะทำได้ ไม่ใช่แค่ไม่กลัวแต่เป็น ความกล้าที่ผสานกับความเพียรพยาม อดทน ความมุ่งมั่น และการฝ่าข้ามข้อจำกัดของเพศและสังคม ความหมายในบริบทหนังสือเล่มนี้ คำนี้เชื่อมโยงกับนักมานุษยวิทยาหญิง ที่ทำงานภาคสนามในที่กันดาร, ห่างไกลและค่อนข้างอันตราย ซึ่งพวกเธอต้องเผชิญทั้งความท้าทายจากธรรมชาติ อาทิ โรคภัย, อุบัติเหตุ, สภาพอากาศที่เลวร้าย และความท้าทายจากสังคม ภายใต้มุมมองของการกีดกันทางเพศ การไม่ยอมรับในวิชาชีพ ถูกคาดหวังให้เป็นแม่บ้านไม่ใช่นักวิชาการ แต่อย่างใด คำว่า “Intrepid” จึงไม่ใช่เพียงคำยกย่อง แต่เป็น คุณสมบัติที่ทำให้ผู้หญิงเหล่านี้สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ และขยายพรมแดนข...
โพสต์ล่าสุด

การเยียวยาบาดแผลหลังสงคราม : ภาษา ความทรงจำ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ผมชอบงานแนวมานุษยวิทยาการแพทย์ (เนื่องจากตัวเองก็เรียนตรงนี้มา) ที่อธิบายความรุนแรงที่มากกว่าความรุนแรงเชิงกายภาพ แต่ยังรวมถึง ความรุนแรงทางจิตใจ ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในช่วงหลังสงคราม ผมนึกถึงหนังสือของ Veena Das ชื่อ Life and Words: Violence and the Descent into the Ordinary (2006) ที่ใช้มุมมองทางมานุษยวิทยา แนวคิดเรื่องความรุนแรงทางการเมืองและการมองชีวิตประจำวันในบริบทของอินเดียและปากีสถาน โดยเฉพาะเหตุการณ์สงครามอินเดีย–ปากีสถานที่เรียกว่า Partition หรือการแบ่งแยกอินเดียกับปากีสถาน ในปีค.ศ. 1947 หรือการจลาจลซิกข์ในเดลี ในปีค.ศ. 1984 หลังการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี Indira Gandhi โดยเหตุการณ์ partitionหรือการแบ่งแยกดินแดนของอินเดีย หมายถึง การแยกตัวของอินเดียออกเป็นสองประเทศเอกราช คือ อินเดียและปากีสถานในปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) การแบ่งแยกนี้เกิดขึ้นหลังจากการสิ้นสุดการปกครองของอังกฤษในอินเดีย และส่งผลให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และความรุนแรงระหว่างชุมชนชาวฮินดูและมุสลิม Verna Das ใช้วิธีวิจัยที่เรียกว่า มานุษยวิทยาเชิงชาติพันธุ...

แนวคิดเรื่องความสกปรก ความสะอาด ในแนวคิดของ Mary Douglas โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ผมขอเริ่มด้วยคำกล่าวของแมรี่ ดักลาส (Mary Douglas) ที่ว่า “The human body is always treated as an image of society” “ร่างกายมนุษย์ถูกมองและปฏิบัติในฐานะภาพสะท้อนของสังคมเสมอมา” แมรี่ ดักลาสชี้ให้เห็นว่า ร่างกายมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับแนวคิดเรื่อง “ความสะอาด” และ “ความสกปรก” ซึ่งโยงไปถึงภาวะชายขอบ ความเสี่ยง อันตราย และความเจ็บป่วย ทั้งหมดนี้สะท้อนระบบความคิดและวิธีปฏิบัติของสังคมต่อเรื่องเหล่านี้ ดังที่เธอกล่าวว่า “Where there is dirt, there is system.” “ที่ใดมีสิ่งสกปรก ที่นั่นย่อมมีระบบ” สิ่งสกปรกจึงไม่ใช่เพียงคราบหรือความไม่สะอาดในเชิงกายภาพ แต่คือ “ผลพลอยได้” ของกระบวนการจัดระเบียบและจำแนกประเภทของสิ่งต่าง ๆ ในสังคม รวมถึงการสร้างกฎเกณฑ์เพื่อปฏิเสธหรือตัดทอนองค์ประกอบที่ไม่เหมาะสมออกจากระบบ เมื่อร่างกายถูกมองว่าเป็นภาพแทนของสังคมและวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงสังคมจึงต้องเริ่มจากการเปลี่ยนระบบความคิดและรูปแบบการจัดระเบียบ ดังที่ดักลาสกล่าวไว้ว่า “If you want to change the culture, you will have to start by changing the org...

เสาหิน พลังอำนาจ รัฐ และทุนนิยม โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ผมชอบอ่านแนวคิดทฤษฎี หรืองานวิเคราะห์ที่น่าสนใจ เพราะมันทำให้เรื่องธรรมดามีความลึกซึ้งมากขึ้น อย่างเช่นหนังสือ Stone Masters: Power Encounters in Mainland Southeast Asia บรรณาธิการโดย Holly High ( 2022) เป็นงานหลักที่ครอบคลุมแนวคิดเรื่อง “ผู้ทรงอำนาจหรือพลังอำนาจที่สถิตในหินและสิ่งต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฝั่งแผ่นดินใหญ่ (เช่น เมียนมาร์ ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม) แนวคิดสำคัญ (Key Concepts)ในหนังสือ Stone Masters คือวิญญาณหรือพลังลี้ลับที่ถือครองดินแดนผ่านองค์ประกอบหินต่าง ๆ เช่น เสาหินใหญ่ (megaliths), เมืองเสาหลัก (city pillars), เนินปลวก, ภูเขา หรือหินที่มีการเคลื่อนย้ายมาประดิษฐาน ดังนั้น หินเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ แต่เป็นตัวกลางสำหรับ ความสัมพันธ์กับพลังเหนือธรรมชาติ ที่นำมาซึ่งชีวิต อันตราย อุดมสมบูรณ์ และโชคชะตา แนวคิดเรื่องผู้ทรงอำนาจ (Masters) มีลักษณะทั้ง เมตตาโกรธเกรี้ยวและดื้อรั้น ทำให้เกิดเรื่องของพิธีกรรม มนุษย์ไม่ได้บูชาสิ่งเหล่านี้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเจรจา ระงับความไม่พอใจ และสร้างสัมพันธ์แบบสองฝ่าย นอกจากนี้ หนังสือยังมีการใช้กรณ...

วัฒนธรรม Furry : อัตลักษณ์ ตัวตน มนุษย์และสัตว์ ผ่านงานของ Joe Strike เรื่อง Furry Nation โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

หนังสือชื่อ Furry Nation: The True Story of America’s Most Misunderstood Subculture (2017) โดย Joe Strike ซึ่งเป็นสมาชิกแฟน Furry ตั้งแต่ยุค 1980s รวมทั้งเป็นนักเขียนที่มีผลงานเกี่ยวกับภาพยนตร์ งานแอนิเมชั่น และวัฒนธรรมป๊อป เขาเล่าเรื่องราวของชุมชน Furry ตั้งแต่รากฐานทางประวัติศาสตร์จนถึงวัฒนธรรมร่วมสมัย ผ่านบทสัมภาษณ์และประสบการณ์ตรงของผู้ก่อตั้งและผู้เข้าร่วม เช่น การสร้าง fursuit และความหมายที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังมัน เขาใช้วิธีการเล่าเรื่องด้วยสัมภาษณ์บุคคลจริง เชื่อมโยงกับประสบการณ์ของ Joe Strike ที่เป็นผู้เขียนเองด้วย โดยมีภาพถ่ายแฟนเก่า fanzine, โปสเตอร์จัดงาน Furry Party ยุค 1980s–1990s และรูปภาพงาน Anthrocon งานแฟนคอนที่ใหญ่ที่สุดของวงการFurry Joe Strike เล่าเส้นทาง Furry fandom ที่เริ่มจากกลุ่มเล็กในงาน sci-fi convention ในยุค 80s ไต่ระดับขยายตัวเมื่ออินเทอร์เน็ตเกิดขึ้นใน 90s และกลายเป็นกลุ่มวัฒนธรรมร่วมสมัย มีศิลปะ furry, fursuit, และงาน convention ที่เป็นพื้นที่สร้างสรรค์และยอมรับตัวตนของคนที่ชื่นชอบสิ่งเหล่านี้อย่างเปิดเผย Joe Strike ไม่ได้เน้นแค่ภาพด้านสว่าง ด้าน...

วาทกรรมสันติภาพ และการหลอกหลอนในกัมพูชา โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

คำพูดของฮุนมาเนตที่บอกว่า “คุณค่าที่แท้จริงของสันติภาพจะชัดเจนขึ้นเมื่อไม่มีสันติภาพ เราต้องปกป้องสันติภาพไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตา ” ฮุนมาเนตกล่าวถึงสันติภาพ ไม่ใช่ในฐานะสิ่งที่มีอยู่ แต่เป็นสิ่งที่ จะรู้คุณค่า ก็ต่อเมื่อมันหายไปแล้ว สิ่งนี้หากมองมันผ่านแนวคิด hauntology ของ Derrida ก็สะท้อนว่า สิ่งที่ไม่อยู่ตรงนี้ กลับเป็นสิ่งที่อยู่ดำรงอยู่โดยไม่ยอมไปไหน… ความหมายของสันติภาพในที่นี้จึงไม่ใช่สิ่งมั่นคง หากแต่คือ ผีหรือความหลอกหลอนของสันติภาพที่ปรากฏท่ามกลางเงาของสงคราม การพูดเช่นนี้เท่ากับเรียกผี ให้ประชาชน ระลึกถึงอดีตอันโหดร้าย เพื่อสร้างความกลัวต่อการสูญเสีย ตัวอย่างจากกัมพูชาที่เห็นได้ชัดคือผีของสงครามในยุคเขมรแดง, การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, การฆ่าล้างครอบครัวคนที่เห็นต่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น trauma ร่วมที่ยังคงหลอกหลอน ( haunt ) คนกัมพูชา การกล่าวแบบนี้จึงเป็นการใช้ ความทรงจำที่เจ็บปวด มาเป็นฐานอำนาจเชิงอารมณ์ สันติภาพที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในกัมพูชา หลังยุคเขมรแดง สันติภาพที่มีอยู่ในปัจจุบันจึงอาจเป็นแค่ ภาพจำลอง (simulation) หรือร่องรอยของบางสิ่งที่ค...

นิทาน อคติ และการทลายอคติ มองผ่านนิทาน พระโค พระแก้ว และพระเจ้าแตงหวาน โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

นิทานก่อนนอน…สำหรับลูกสาว นึกถึงตอนที่ผมสอนวิชา Folketale in Anthropological Perspective ที่ให้นักศึกษาวิเคราะห์ Motif หรืออนุภาคของนิทาน วิเคราะห์โครงสร้าง เนื้อหาของนิทาน หลาย ๆ เรื่องมาประกอบกันกัน ตามแนวของ Stith Thompson นักคติชนวิทยาชาวอังกฤษ และ Vladímir Propp นักภาษาศาสตร์ชาวรัสเซีย ตำนานหรือนิทานเป็นเครื่องมือของการปลูกฝังอคติแบบนุ่มนวล หรือสำนึกแบบไม่รู้ตัว ซึ่งตำนานหรือนิทานถูกใช้เป็นกลไกแห่งความทรงจำ(mechanism of memory) ที่หล่อเลี้ยงอคติผ่านภาพแทนเชิงอารมณ์ ดังเช่น เด็กกัมพูชาที่เติบโตมาพร้อมภาพจำว่าไทยคือผู้ปล้นสมบัติของชาติ แม้จะไม่มีประสบการณ์ตรงก็ตาม นิทานจึงเป็นทั้งเครื่องมือการศึกษาทางวัฒนธรรม และกลไกการผลิตอารมณ์การเมืองแบบไม่รู้ตัว ผมนึกถึงนิทานเรื่องพระโค พระแก้วและพระเจ้าแตงหวาน นิทานพื้นบ้านทั้งสองเรื่อง เป็นเหมือนเส้นเลือดฝอยของชาติพันธุ์นิยมเขมรที่ผูกโยงความทรงจำทางประวัติศาสตร์เข้ากับความรู้สึกพ่ายแพ้ เสียศักดิ์ศรี และการแย่งชิง ในขณะเดียวกัน เราลองคิดดูว่าหากเราลองตีความนิทานหรือตำนานใหม่โดยเน้นความสัมพันธ์แบบพี่น้อง และความสามัคคีกัน นิทานเหล...