เช้าวันเสาร์ หาวัตถุดิบลงBlog ..นึกถึงหนังเรื่องหนึ่งชื่อไทยว่าเปรตเดินดินกินเนื้อคน หรือชื่ออังกฤษว่า Cannibal Holocaust ในปี 1979-1980 เป็นหนังเกี่ยวกับนักมานุษยวิทยากลุ่มหนึ่งไปศึกษาชนเผ่ากินคนในอะเมซอน แล้วไม่เคารพวัฒนธรรม ไปละเมิด ไปทำร้ายคนท้องถิ่น สุดท้ายทุกคนถูกชนเผ่ากิน และหายสาปสูญไป
หนังสือ The Man-Eating Myth: Anthropology and Anthropophagy (1979) โดย William Arens เป็นผลงานสำคัญที่เขย่าวงการมานุษยวิทยา ด้วยการตั้งคำถามกับความเชื่อที่ฝังรากลึกเกี่ยวกับ การกินเนื้อมนุษย์ (cannibalism) ในหมู่ชนพื้นเมืองต่าง ๆ
แนวคิดที่น่าสนใจ และคำถามที่ชวนคิดในหนังสือนี้คือ
1.การกินเนื้อมนุษย์เป็น “ตำนาน” มากกว่าความจริงทางมานุษยวิทยา โดย Arens โต้แย้งว่า หลักฐานเกี่ยวกับชนเผ่ากินคน ที่แพร่หลายในตำราและงานวิจัยจำนวนมากนั้น ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ที่แน่นหนา และมักอาศัยคำบอกเล่า หรือมุมมองจากคนนอกที่มีอคติ
2. Cannibalism ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความเป็นอื่น (Othering) โดยแนวคิดนี้เชื่อมโยงกับ postcolonial studies: อารยธรรมตะวันตกมักสร้างภาพของผู้ป่าเถื่อน (savage) เพื่อสร้างความชอบธรรมในการล่าอาณานิคม หรือกดขี่
3. ข้อวิจารณ์ต่อมานุษยวิทยาแบบอาณานิคมหรือ โคโลเนี่ยล Arens กล่าวหาว่า นักมานุษยวิทยาในอดีตจำนวนมากไม่ได้ตั้งคำถามกับแหล่งข้อมูล และ รีไซเคิลคำกล่าวอ้างเดิม ๆ โดยไม่ตรวจสอบที่มาหรือบริบททางวัฒนธรรม
ภายใต้ข้อมูลจากการวิเคราะห์กรณีศึกษาจากแอฟริกา, โพลินีเซีย, อเมริกาใต้ และพื้นที่อื่น ๆ โดย Arens ชี้ให้เห็นว่า หลักฐานเกี่ยวกับการกินคนในทางพิธีกรรมหรือในชีวิตประจำวันนั้นเลือนลาง หรือไม่มีจริงเขาตรวจสอบอย่างเป็นระบบถึง ข้อเท็จจริงเบื้องหลังคำกล่าวหาการกินคน ทั้งในบันทึกนักสำรวจ, เอกสารของนักล่าอาณานิคม, และงานมานุษยวิทยาในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เพื่อเป็นข้อมูลในการยืนยันข้อเท็จจริง
กรณีตัวอย่างที่เขาใช้ในการศึกษาวิเคราะห์คือ
1.กรณีชนเผ่า Fore ในปาปัวนิวกินี ที่มักถูกกล่าวถึงว่ากินเนื้อคนในพิธีกรรม ซึ่ง Arens ชี้ว่าแหล่งข้อมูลมักอ้างอิงถึงคำบอกเล่าผ่านนักมิชชันนารี หรือนักวิจัยที่ไม่ได้เห็นเหตุการณ์โดยตรง
2. กรณี Aztec ในเม็กซิโก ที่ถูกกล่าวว่าทำพิธีกินหัวใจมนุษย์ Arens ชี้ว่าข้อมูลส่วนใหญ่มาจากนักบันทึกชาวสเปนซึ่งมีเป้าหมายทางศาสนาและการเมืองในการทำให้ Aztec ดูป่าเถื่อน
3. คำกล่าวอ้างของ James Cook และนักสำรวจยุคอาณานิคมอื่น ๆ ซึ่งมักจะรายงานว่าชนพื้นเมืองในหมู่เกาะแปซิฟิกเป็นพวกกินคน Arens วิเคราะห์ว่าคำบอกเล่าหลายอย่างมีวัตถุประสงค์เพื่อลดความเป็นมนุษย์ของผู้คนเหล่านั้น และสร้างความชอบธรรมให้กับการยึดครองหรือนำความทันสมัย หรือความศิวิไลซ์ไปให้
แม้ว่าหนังสือของ Arens ถูกวิจารณ์จากนักมานุษยวิทยาบางกลุ่มว่า “สุดโต่งเกินไป” เพราะปฏิเสธการกินคนอย่างเบ็ดเสร็จ หรือการมีอยู่จริงของการกินเนื้อมนุษย์ด้วยกัน และเป็นสิ่งที่ทำให้คนพื้นเมืองบางกลุ่มเจ็บป่วยล้มตายจากโรคที่มากับการกินเนื้อมนุษย์ในการศึกษาของนักวิชาการบางกลุ่ม เช่น นักมานุษยวิทยาบางคน เช่น Marvin Harris วิจารณ์ว่า Arens ตัดสินอย่างสุดขั้วเกินไป เพราะในบางวัฒนธรรมอาจมีการกินคน จริงในภาวะสงครามหรือความอดอยาก หรือพิธีกรรม
แต่อย่างไรก็ตาม ผมคิดว่าหนังสือเล่มนี้ได้จุดประกายการถกเถียงสำคัญเกี่ยวกับ การผลิตความรู้ อคติในงานมานุษยวิทยา และ พลังของวาทกรรม จุดแข็งในงานของ Arens คือ การเรียกร้องให้มีการตรวจสอบหลักฐานอย่างเข้มข้น ไม่ใช่เชื่ออย่างเลื่อนลอย
เนื่องจาก ก่อนปี 1979 มีความเชื่อฝังลึกทั้งในสังคมตะวันตกและงานวิชาการว่า ชนเผ่าต่าง ๆ ในโลกที่ไม่ใช่ตะวันตกมีพฤติกรรม ‘กินคน’ อย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะในแอฟริกา โพลินีเซีย และอเมริกาใต้
แต่ William Arens ซึ่งเป็นนักมานุษยวิทยา ตั้งคำถามอย่างเด็ดขาดต่อแนวคิดนี้ โดยเสนอว่า ไม่มีหลักฐานแน่นหนาและชัดเจนเลยว่า มีวัฒนธรรมใดในโลกที่มีการกินเนื้อมนุษย์อย่างเป็นระบบในทางพิธีกรรมหรือชีวิตประจำวัน
Arens มอง่วา การกินคน (Cannibalism) เป็น ตำนานทางวัฒนธรรมมากกว่าความจริง โดย Arens แยก ข่าวลือ ความเชื่อ และการสร้างภาพ ออกจาก หลักฐานทางโบราณคดีหรือมานุษยวิทยาโดยตรง สิ่งที่สังคมตะวันตกเชื่อว่าเป็นความจริงเกี่ยวกับคนกินคน แท้จริงอาจเป็น เรื่องแต่ง ตำนาน หรือการใส่ร้ายเพื่อสร้างความเหนือกว่า
นอกจากนี้ Arens มองว่า Cannibalism คือการทำให้ผู้อื่น (Others) เป็นป่าเถื่อน โดยการกล่าวหาว่าชนเผ่าอื่นนั้น กินคน เป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการ “Othering” ทำให้พวกเขาดูเป็นอื่น ต่ำกว่า ไร้อารยะ โหดร้ายเพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับ การรุกราน ล่าอาณานิคม หรือการนำศิวิไลซ์ ความทันสมัยไปให้ ข้อกล่าวหาว่ากินคน มักไม่สามารถตรวจสอบได้ และมักไม่มีพยานโดยตรง
Arens ตรวจสอบเอกสารจำนวนมากแล้วพบว่า ไม่มีหลักฐานทางกายภาพ (เช่น กระดูกมนุษย์ที่ถูกกิน) โดยคำบอกเล่าและงานบันทึก มักมาจากบุคคลภายนอกที่มีอคติหรือผลประโยชน์ ในท้ายที่สุดนักมานุษยวิทยาก็อาจมีส่วนร่วมในการผลิตซ้ำตำนาน ซึ่ง Arens วิจารณ์ว่านักวิชาการจำนวนมาก โดยไม่ได้ตรวจสอบแหล่งข้อมูลต้นทางอย่างจริงจัง บางคนอ้างงานของนักวิชาการก่อนหน้าโดยไม่มีหลักฐานใหม่ ถือเป็นการรีไซเคิลความเชื่อผิด ๆ ที่ส่งต่อกันตามความคิดของ Arens
ภาพของคนกินคนถูกใช้เพื่อสร้างวาทกรรมสนับสนุนจักรวรรดินิยม ลัทธิล่าอาณานิคม การเปรียบกับการที่ชาวยุโรปใช้ภาพของแม่มดหรือปีศาจในยุคกลาง เพื่อควบคุมสังคม
หลักฐานทางชาติพันธุ์ที่สนับสนุนการกินคนมีช่องโหว่มาก Arens อธิบายถึงปัญหาการใช้คำบอกเล่าเป็นหลักฐาน โดยไม่ได้ตรวจสอบความน่าเชื่อถือ กรณีชนพื้นเมืองในแอฟริกา, โพลินีเซีย, มลายู, อเมริกาใต้ พบว่าหลายกรณี ไม่มีพยานที่เห็นจริง หรือเป็นคำบอกเล่าผ่านๆ จากนักสำรวจและมิชชันนารี
ชนเผ่า Fore (ปาปัวนิวกินี) มักถูกอ้างว่ากินเนื้อคน เพื่อส่งวิญญาณไปยังบรรพบุรุษ โดย Arens ชี้ว่าเป็นการเข้าใจผิดของชาวตะวันตกที่ตีความพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับศพแบบผิด ๆ
เผ่า Fore ถูกกล่าวหาว่ามีพิธีกรรมกินเนื้อศพของญาติเพื่อส่งดวงวิญญาณไปยังโลกหน้า โดย Arens วิเคราะห์ว่า พิธีกรรมนี้ไม่ได้หมายถึงการกิน ในเชิงกายภาพเสมอไป แต่อาจเป็นการกล่าวถึงในเชิง สัญลักษณ์หรือมีการแปรรูปศพในรูปแบบอื่น เช่น การเผา ฝัง หรือลูบขี้เถ้า ก็ได้
Arens ย้ำว่าคำกล่าวอ้างมาจากนักวิจัยตะวันตกและมิชชันนารีในช่วงที่มีการควบคุมพื้นที่ด้วยวาทกรรม “อนารยชน”
ชนพื้นเมืองในหมู่เกาะโพลินีเซีย ที่เป็นภาพสะท้อนของนักสำรวจ เช่น Captain Cook บันทึกว่าชาวพื้นเมืองกินนักโทษหรือเชลย Arens ตรวจสอบบันทึกและข้อเท็จจริง แล้วพบว่า ไม่มีหลักฐานทางกายภาพ โดยข้อมูลมักจะมีความเลื่อนลอ เช่น “ได้ยินมาว่า…” หรือ “มีคนบอกว่า…”
นักสำรวจยุโรปอย่าง James Cook ระบุว่าชาวฟิจิกินนักโทษศึกหรือศัตรูที่พ่ายแพ้ Arens วิเคราะห์ว่า ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่าเคยเกิดขึ้นในเชิงระบบหลายกรณีอาจเป็นการใส่ร้าย โดยศัตรูภายในกลุ่ม หรือโดยนักสำรวจเพื่อให้ตนดูเป็นผู้ค้นพบโลกป่าเถื่อน
Arens ตั้งข้อสังเกตว่า แม้แต่คำว่า “Fiji cannibals” ยังถูกใช้เป็น ตราสัญลักษณ์ทางการท่องเที่ยว ในยุคหนึ่ง
Aztec มักถูกกล่าวหาว่ากินหัวใจของนักโทษบูชายัญ Arens แย้งว่า แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่มาจากนักบันทึกชาวสเปน ซึ่งมีเป้าหมายทางศาสนา โดยการทำลายล้างวัฒนธรรมของชาว Aztec รวมถึงต้องการการสร้างภาพลบให้ชนพื้นเมืองมากกว่า
ในเม็กซิโก อาณาจักร Aztec มีตำนานและความเชื่อว่า มีการฆ่าบูชายัญนักโทษสงคราม และกินหัวใจเพื่อสังเวยเทพเจ้าโดย Arens วิเคราะห์ว่า แหล่งข้อมูลส่วนใหญ่คือ นักบันทึกชาวสเปน ที่ต้องการสร้างภาพว่า ชาว Aztec ไร้อารยะ เพื่อสร้างความชอบธรรมในการทำลายและเผยแพร่ศาสนา
คำถามที่ Arens ตั้งไว้อย่างน่าสนใจคือ เราเคยเห็นภาพชาว Aztec กินหัวใจ จากชาว Aztec เองหรือไม่? หรือเป็นการตีความของผู้รุกรานกันแน่
หรือกรณีอื่น ๆ เช่น ชนเผ่าต่าง ๆ ในคองโก อูกันดาและไลบีเรีย ถูกกล่าวหาว่ากินคนเป็นประจำในพิธีกรรม ซึ่ง Arens วิเคราะห์ว่า หลักฐานมักเลื่อนลอย เช่น “ชาวบ้านบอกว่า…” หรือ “เคยได้ยิน…” นักล่าอาณานิคมอ้างคำพูดเหล่านี้เพื่อ ลดคุณค่าความเป็นมนุษย์ของชาวแอฟริกัน การกล่าวหาการกินคนมักถูกนำมาใช้เป็น ข้ออ้างในการใช้ความรุนแรงปราบปรามคนเหล่านี้
ในหมู่เกาะอินโดนีเซีย อย่างบอร์เนียว มีตำนานและความเชื่อ มีความเชื่อว่าชาวเผ่าดายัก (Dayak) ตัดหัวศัตรูและบางกรณีกินเนื้อ เพื่อรับพลัง Arens วิเคราะห์ว่า พิธีตัดหัวเป็นส่วนหนึ่งของพิธีกรรมชายผ่านวัยหรือความกล้าหาญ ไม่จำเป็นต้องกินจริง แต่นักล่าอาณานิคมยุโรปขยายความเป็นพิธีกรรมกินคนเพื่อเสริมภาพความป่าเถื่อน
ชนเผ่า Tupinambá ในบราซิล อเมริกาใต้ มีตำนานความเชื่อ ที่เกิดจากบันทึกของนักเดินเรือยุโรปเช่น Hans Staden กล่าวว่าชนเผ่า Tupinambá ฆ่าศัตรูและกินเนื้อของพวกเขา โดย Arens วิเคราะห์ว่าเรื่องราวของ Staden อาจถูกแต่งเติมเพื่อให้ “ขายได้” ในตลาดยุโรป งานของเขากลายเป็นหนังสือขายดีในเยอรมนีศตวรรษที่ 16 และเสริมภาพ ที่สะท้อนความเป็นโลกใหม่ที่ป่าเถื่อน
โครงสร้างทางอำนาจในการผลิตความรู้ โดยเฉพาะในมานุษยวิทยายุคอาณานิคม ชี้ให้เห็นว่า การยืนยันว่าชนเผ่ากินคน ทำให้นักมานุษยวิทยาดูเป็นผู้รู้หรือผู้เปิดเผย สิ่งแปลกใหม่
สระป คำว่า Cannibalism คือการกินเนื้อมนุษย์ ที่เป็น Myth ตำนาน, เรื่องเล่าเพื่อสนับสนุนโครงสร้างอำนาจ ที่เชื่อมโยงกับ Ethnocentrism การมองว่าวัฒนธรรมของตนเองเหนือกว่าผู้อื่น ที่สร้างให้เกิด Othering การทำให้ผู้อื่นกลายเป็น “คนอื่น” ที่ป่าเถื่อนและต่างจากเรา และสิ่งเหล่านี้พัฒนา กลายเป็น Colonial Discourse คือ วาทกรรมแบบจักรวรรดินิยมที่สร้างภาพของ ความป่าเถื่อน
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น