ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

การเยียวยาบาดแผลหลังสงคราม : ภาษา ความทรงจำ โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ผมชอบงานแนวมานุษยวิทยาการแพทย์ (เนื่องจากตัวเองก็เรียนตรงนี้มา) ที่อธิบายความรุนแรงที่มากกว่าความรุนแรงเชิงกายภาพ แต่ยังรวมถึง ความรุนแรงทางจิตใจ ความรุนแรงเชิงวัฒนธรรม ที่อยู่ในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะในช่วงหลังสงคราม ผมนึกถึงหนังสือของ Veena Das ชื่อ Life and Words: Violence and the Descent into the Ordinary (2006) ที่ใช้มุมมองทางมานุษยวิทยา แนวคิดเรื่องความรุนแรงทางการเมืองและการมองชีวิตประจำวันในบริบทของอินเดียและปากีสถาน โดยเฉพาะเหตุการณ์สงครามอินเดีย–ปากีสถานที่เรียกว่า Partition หรือการแบ่งแยกอินเดียกับปากีสถาน ในปีค.ศ. 1947 หรือการจลาจลซิกข์ในเดลี ในปีค.ศ. 1984 หลังการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี Indira Gandhi โดยเหตุการณ์ partitionหรือการแบ่งแยกดินแดนของอินเดีย หมายถึง การแยกตัวของอินเดียออกเป็นสองประเทศเอกราช คือ อินเดียและปากีสถานในปี พ.ศ. 2490 (ค.ศ. 1947) การแบ่งแยกนี้เกิดขึ้นหลังจากการสิ้นสุดการปกครองของอังกฤษในอินเดีย และส่งผลให้เกิดการอพยพครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และความรุนแรงระหว่างชุมชนชาวฮินดูและมุสลิม Verna Das ใช้วิธีวิจัยที่เรียกว่า มานุษยวิทยาเชิงชาติพันธุ์ (ethnography) ผ่านการสัมภาษณ์ผู้รอดชีวิตระยะยาว แนวคิดสำคัญ ที่Das ใช้คือ การส่งต่อไปยังการเป็นเรื่องปกติธรรมดา ( Descent into the Ordinary ) ความรุนแรงใหญ่หลวง (mass violence) ไม่ได้หยุดอยู่ที่เหตุการณ์ แต่ไหลลงและแทรกซึมเข้าสู่ชีวิตประจำวัน ภายหลังสงคราม ภาวะที่เรียกว่า ชีวิตปกติใหม่ (new ordinary) กลายเป็นสภาพที่ความรุนแรงฝังตัวอยู่ในกิจวัตร การพูดคุย และความสัมพันธ์ทางสังคม แนวคิด Descent into the Ordinary จึงหมายถึงกระบวนการที่ผู้คนพยายามนำประสบการณ์รุนแรงกลับมาเชื่อมเข้ากับชีวิตประจำวัน แม้จะยังคงมีบาดแผลทางร่างกายและจิตใจ แนวคิดเรื่อง Everyday as Site of Violence and Repair โดย ความรุนแรงทางการเมืองเปลี่ยนวิธีที่คนทำอาหาร เลี้ยงลูก ทำงานบ้าน หรือพูดคุยกับเพื่อนบ้าน แต่พื้นที่เดียวกันนี้ก็สามารถเป็นจุดเริ่มของการเยียวยาและสร้างความสัมพันธ์ใหม่ได้เช่นกัน แนวคิดเรื่อง Voice and Silence ดังเช่น บางประสบการณ์รุนแรง โดยเฉพาะความรุนแรงทางเพศ ไม่สามารถเล่าออกมาได้อย่างสมบูรณ์ ซึ่งความเงียบ (silence) อาจเป็นการปกป้องตนเอง หรือวิธีควบคุมความหมายของเหตุการณ์ แนวคิด State as Perpetrator and Arbiter ที่มองว่า รัฐไม่เพียงแต่ “รับมือ” กับความรุนแรง แต่บางครั้งเป็นผู้สร้างความรุนแรงเอง ตัวอย่างเช่น การเพิกเฉยต่อการสังหารหมู่ซิกข์ 1984 แนวคิด Witnessing คือการเป็นพยานต่อความรุนแรงไม่ใช่แค่การเล่าเหตุการณ์ แต่ต้องรับผิดชอบต่อการรักษาความจริงและเกียรติของผู้รอดชีวิต Das วิเคราะห์ว่าความรุนแรงทางการเมืองมีชีวิตอยู่อย่างไรในความทรงจำและชีวิตประจำวันของผู้รอดชีวิต โดบใช้กรณี Partition และการจลาจลซิกข์เป็นหลัก เพื่อสำรวจว่าผู้หญิง ครอบครัว และชุมชนปรับตัวอย่างไรหลังเผชิญการสูญเสีย เน้นมุมมองว่า trauma ไม่ได้เป็นเพียงเหตุการณ์ในอดีตแต่เป็น โครงสร้าง ของประสบการณ์ปัจจุบัน โดยเชื่อมโยงความรุนแรงระดับชาติ (macro) กับชีวิตครอบครัวและร่างกาย (micro) Das วิเคราะห์ภาษาที่ผู้รอดชีวิตใช้ เช่น การใช้คำอ้อม ๆ , เรื่องเล่าขาดตอน, หรือความเงียบ เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น ผู้หญิงในเหตุการณ์ Partition เกิดความสูญเสียสามีและถูกบังคับแต่งงานใหม่ ในการสัมภาษณ์ เธอเล่าด้วยน้ำเสียงราบเรียบเหมือนเรื่องชีวิตประจำวัน ทั้งที่เป็นเหตุการณ์โหดร้าย ซึ่งแสดงให้เห็นการทำให้ความรุนแรงกลายเป็นเรื่องปกติเพื่อให้อยู่รอดได้ ครอบครัวซิกข์หลังจลาจล 1984 ทำให้พ่อบ้านเสียชีวิตจากการถูกเผาโดยกลุ่มม็อบ แต่ครอบครัวต้องทำกิจกรรมปกติ เช่น ส่งลูกไปโรงเรียน ความกลัวฝังอยู่ในกิจวัตร ทุกครั้งที่เห็นคนสวมเสื้อผ้าสีบางสีจะกระตุ้นความทรงจำบางอย่าง หรือกณีความเงียบเกี่ยวกับความรุนแรงทางเพศ ดังเช่น ผู้หญิงหลายคนไม่เคยเล่าเหตุการณ์ข่มขืนช่วง Partition ให้ครอบครัวรู้ ที่สะท้อนว่าความเงียบกลายเป็นวิธีรักษาศักดิ์ศรีและความสัมพันธ์ในปัจจุบัน แม้ว่าจะเป็นภาระทางใจ ภาวะการปรุงอาหารถือเป็นการเยียวยา ดังเช่น แม่บ้านบางคนใช้การทำอาหารแบบบ้านเกิดเดิมเป็นวิธี เชื่อมกิจกรรมกับความทรงจำและชุมชนเดิม ถือเป็นการสร้างพื้นที่ปลอดภัยในโลกที่เปลี่ยนไป ความน่าสนใจคือ มุมมองที่สะท้อนว่า ความรุนแรง ไม่เคยหายไปแต่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวัน ซึ่งสามารถนำมาใช้วิเคราะห์ได้ทั้งในบริบทสงคราม ความขัดแย้งชาติพันธุ์ และความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ดังนั้นความรุนแรง (Violence) ไม่ได้จบลงพร้อมกับเหตุการณ์ แต่มัน ซึมลึก เข้าไปในชีวิตประจำวันของผู้คน ภาษาสัมพันธ์กับความทรงจำ เพราะคำพูดของผู้รอดชีวิตไม่ใช่แค่บันทึกเหตุการณ์ แต่เป็นการต่อสู้กับการนิยามความจริงและความหมายของชีวิตหลังความรุนแรง ความรุนแรงทำให้ เส้นแบ่งระหว่างชีวิตส่วนตัวและสังคม ถูกบิดเบือน เนื่องจาก ครอบครัว เพื่อนบ้าน รัฐ และชุมชน ล้วนมีบทบาททั้งในการเยียวยาและในบางครั้งก็ซ้ำเติม Veena Das เชื่อว่า การเข้าใจความรุนแรงหลังเหตุการณ์ ต้องฟังเสียงของคนที่อยู่ในนั้น มากกว่ามองจากกรอบมหภาคหรือทฤษฎีอย่างเดียว ปรากฏการณ์หลังสงคราม การใช้ชีวิตต่อในพื้นที่ที่บาดแผลยังอยู่ ทั้งในเชิงกายภาพ (บ้านพัง, ทรัพย์สินหาย) และในเชิงความสัมพันธ์ (ความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างเพื่อนบ้านหายไป) ชีวิตประจำวันที่ยังคงแฝงเงาของความรุนแรง ตลอดเวลา ความทรงจำที่ฝังอยู่ในร่างกาย เช่น สะดุ้งกับเสียงดัง, อาการ PTSD เป็นต้น กระบวนการกลายเป็นพยาน ทั้งในฐานะผู้เผชิญและผู้เล่า ผู้หญิงที่สูญเสียสามีและลูกชายในความรุนแรง ต้องอยู่ในบ้านที่เคยถูกเผา ทุกคืนได้ยินเสียงฝีเท้าก็รู้สึกเหมือนคนร้ายกลับมา เด็กที่รอดชีวิตจากเหตุการณ์จลาจลจะหวาดผวาเมื่อได้ยินเสียงพลุหรือเสียงเคาะประตูแรง ๆ ครอบครัวพยายามทำพิธีทางศาสนาเพื่อทำให้บ้านกลับมาเหมือนเดิม แม้ความรู้สึกปลอดภัยจะไม่กลับมาเต็มที่ก็ตาม หากลองเอากรอบแนวคิดข้างต้น เชื่อมโยงกับกรณีไทย–กัมพูชา เราจะพบว่าหลังสงครามชายแดนไทย–กัมพูชา (เช่น เหตุการณ์ทหารปะทะ, การกวาดล้างกับระเบิด, ผู้ลี้ภัย) เราจะเห็นลักษณะคล้ายกับงานของ Veena Das คือ ชีวิตประจำวันยังไม่ปกติ แม้ไม่มีเสียงปืนแล้ว แต่ชาวบ้านฝั่งไทยที่เคยอยู่ใกล้ชายแดนยังรู้สึกหวาดกลัวเมื่อได้ยินเสียงประทัด เสียงรถไถ หรือเสียงคล้ายปืน เพราะมันกระตุ้นความทรงจำ (Embodied Memory) ภาวะภัยตกค้าง (Aftermath) เช่น ระเบิด กระสุน กับดัก (Landmine) ที่ตกค้างทำให้ชาวบ้านไม่กล้าเข้าไปทำไร่ บางคนสูญเสียขา แขน หรือชีวิต ทำให้สูญเสียรายได้และแรงงานในครอบครัว การเกิดบาดแผลทางจิตใจและสังคม โดยครอบครัวที่เคยมีสมาชิกเสียชีวิตจากเหตุการณ์ ทำให้เกิดความรู้สึกไม่ปลอดภัยแม้อยู่ในบ้านของตนเองก็ตาม บ้านเรือนที่ถูกระเบิดเสียหาย ได้เปลี่ยนแปลงความหมายของบ้าน จากพื้นที่ปลอดภัยอบอุ่น กลายเป็นความสูญเสีย และเป็นสัญลักษณ์ของความทรงจำ บ้านบางหลังที่ถูกยิงหรือระเบิดเสียหาย แม้ซ่อมแล้ว แต่ร่องรอยหรือความทรงจำยังฝังใจคนในชุมชน ภาวะความเงียบหลายคนเลือกไม่พูดถึงเหตุการณ์ เพราะพูดแล้วเจ็บปวด หรือกลัวความขัดแย้งกลับมา แต่ความเงียบนั้นก็ทำให้บาดแผลยังคงอยู่ ชาวบ้านชายแดนไม่ได้เพียงอยู่รอดหลังเหตุการณ์ แต่ต้องจัดการให้ชีวิตเดินต่อได้ท่ามกลางความหวาดระแวง ภาวะที่เรียกว่า ความทรงจำที่ถูกบ่มเพาะ (Embodied Memory) สามารถอธิบายได้ว่าทำไมเสียงประทัด เสียงพลุ เสียงสิ่งของหล่นแตก ในบ้านหรือ หมู่บ้าน ถึงทำให้บางคนวิ่งหลบหรือหัวใจเต้นแรง ทั้งที่เหตุการณ์สงครามจบไปแล้ว แนวคิดนี้ช่วยเปิดพื้นที่ให้เข้าใจว่าความรุนแรงไม่จบแค่การหยุดยิง แต่ฝังอยู่ในบ้าน ร่างกาย และความสัมพันธ์ในชุมชน…ซึ่งเราจะต้องทำความเข้าใจและเยียวยาบาดแผลเหล่านี้ยาวนาน

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...