นิทานก่อนนอน…สำหรับลูกสาว
นึกถึงตอนที่ผมสอนวิชา Folketale in Anthropological Perspective ที่ให้นักศึกษาวิเคราะห์ Motif หรืออนุภาคของนิทาน วิเคราะห์โครงสร้าง เนื้อหาของนิทาน หลาย ๆ เรื่องมาประกอบกันกัน ตามแนวของ Stith Thompson นักคติชนวิทยาชาวอังกฤษ และ Vladímir Propp นักภาษาศาสตร์ชาวรัสเซีย
ตำนานหรือนิทานเป็นเครื่องมือของการปลูกฝังอคติแบบนุ่มนวล หรือสำนึกแบบไม่รู้ตัว ซึ่งตำนานหรือนิทานถูกใช้เป็นกลไกแห่งความทรงจำ(mechanism of memory) ที่หล่อเลี้ยงอคติผ่านภาพแทนเชิงอารมณ์ ดังเช่น เด็กกัมพูชาที่เติบโตมาพร้อมภาพจำว่าไทยคือผู้ปล้นสมบัติของชาติ แม้จะไม่มีประสบการณ์ตรงก็ตาม นิทานจึงเป็นทั้งเครื่องมือการศึกษาทางวัฒนธรรม และกลไกการผลิตอารมณ์การเมืองแบบไม่รู้ตัว
ผมนึกถึงนิทานเรื่องพระโค พระแก้วและพระเจ้าแตงหวาน นิทานพื้นบ้านทั้งสองเรื่อง เป็นเหมือนเส้นเลือดฝอยของชาติพันธุ์นิยมเขมรที่ผูกโยงความทรงจำทางประวัติศาสตร์เข้ากับความรู้สึกพ่ายแพ้ เสียศักดิ์ศรี และการแย่งชิง ในขณะเดียวกัน เราลองคิดดูว่าหากเราลองตีความนิทานหรือตำนานใหม่โดยเน้นความสัมพันธ์แบบพี่น้อง และความสามัคคีกัน นิทานเหล่านี้ก็สามารถกลายมาเป็นเครื่องมือสร้างความสมานฉันท์ในการอยู่ร่วมกันได้เช่นกัน…
ตำนาน 2 เรื่องที่ผมอยากหยิบยกมา เพราะเวลาไปเขมร ไกด์ชาวเขมรมักจะเล่าให้ฟังมี 2 เรื่องคือ ตำนานนิทานเรื่องพระแก้ว พระโค และตำนานพระเจ้าแตงหวาน …ผมฟังแบบที่ไม่อยากตอบโต้ถกเถียงอะไร เพราะเวลาเขาพูด แววตา สีหน้าของพวกเขาอินมาก ๆ ราวกับว่ามันคือเรื่องจริงและอยู่ร่วมกับเหตุการณ์นั้นจริง ๆ พร้อมกับบอกผมว่า “อาจารย์รู้ไหม เราต้องไปเรียนการรำของนางอัปสรจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ไทย เพราะเขมรเราไม่มี ไทยเอาไปหมด” ….
เรื่องย่อตำนานพระโคกับพระแก้ว เป็นเรื่องเล่าของเขมรที่อธิบายการเสียเมืองให้แก่ไทย เรื่องเล่ามีอยู่ว่าชาวนาเขมรคนหนึ่งมีภรรยาที่เสียชีวิตขณะตั้งครรภ์ แฝดในครรภ์คลอดออกมาเป็น วัว (พระโคนนทิ) และ มนุษย์ (พระแก้ว) ทั้งสองถูกชาวบ้านรังเกียจ ต้องระเห็จออกจากเมือง พ่อเสียชีวิต เหลือสองพี่น้องดูแลกันเอง พระโคมีอิทธิฤทธิ์ สร้างอาหารและของวิเศษให้พระแก้ว คนในเมืองเกิดความละโมบ พยายามฆ่าพระโค พระโคพาพระแก้วหนี และต่อมา พระแก้วแต่งงานกับเจ้าหญิงของเมืองละแวก
ข่าวเรื่องพระโค พระแก้วทราบไปถึงกรุงศรีอยุธยา กษัตริย์ไทยจึงส่งทูตมาท้าประลอง พระโคแปลงกายชนะชนไก่และชนช้าง แต่แพ้ชนวัว พระโคพาพระแก้วและนางเภาหนี แต่โชคร้ายนางเภาตกลงมาตาย ในที่สุดพระโคและพระแก้วถูกจับ และถูกกวาดต้อนไปอยุธยา สุดท้ายของวิเศษทั้งหมดตกเป็นของสยาม และกลายเป็นที่มาของความรุ่งเรืองของไทย พร้อมไปกับละแวกเสื่อมอำนาจ
ในส่วนตำนานพระเจ้าแตงหวาน (พระเจ้านิรวาณบท) เป็นตำนานเกี่ยวกับการกำเนิดราชวงศ์ใหม่ของกัมพูชา โดยชาวสวนธรรมดาชื่อ นายแตงหวาน ปลูกแตงถวายกษัตริย์ กษัตริย์ชอบมากจึงมอบหอกให้ไว้ฆ่าขโมย คืนหนึ่ง กษัตริย์อยากกินแตง แอบเข้าไร่ แต่ นายแตงหวานไม่รู้ว่าเป็นกษัตริย์ จึงแทงจนตาย เมื่อถึงเวลาคัดเลือกกษัตริย์ใหม่ ช้างหลวงเลือกนายแตงหวาน ได้แต่งงานกับเจ้าหญิง และขึ้นเป็นกษัตริย์ ซึ่งพระโอรสของนายแตงหวาน คือ พระเจ้านิรวาณบท ผู้สืบราชบัลลังก์ ต่อมาสยามยกทัพมาตีเขมรและยึดเมืองพระนครหลวงเกิดการช่วงชิงเมืองไปมาระหว่างไทยและเขมร ราชวงศ์ใหม่ของกัมพูชาจึงต้องย้ายเมืองหลวงไปยังลุ่มน้ำโขง เช่น เมืองบาสัน เมืองพนมเปญ
จากเนื้อเรื่องที่พอจะสรุปสั้น ๆ ข้างต้น เราจะพบว่านิทานพื้นบ้านไม่เคยเป็นสิ่งที่ไร้เดียงสา แต่เป็นพื้นที่การต่อสู้เชิงอุดมการณ์ที่ทรงพลังอย่างยิ่ง โดยเฉพาะมุขปาถะที่ถูกถ่ายทอดบอกเล่าสืบต่อกันมาจากรุ่นสู่รุ่น
หากเราวิเคราะห์นิทานหรือตำนาน เราจะเห็นกระบวนการก่อรูปความเป็นชาติใหม่ผ่านการต่อสู้กับภายนอก (โดยเฉพาะสยาม) เช่น พระราชโอรสของพระเจ้าแตงหวานคือ พระเจ้านิรวาณบท มีบทบาทในการย้ายศูนย์อำนาจจากนครหลวงไปสู่ลุ่มแม่น้ำโขง เรื่องนี้ตอกย้ำภาพของเขมรที่มีสถานะเป็นผู้ถูกรุกรานโดยไทย หลายครั้งหลายครา ที่ได้สร้างอารมณ์ร่วมว่าอำนาจดั้งเดิมของเขมรถูกแย่งชิง
สิ่งที่น่าสนใจคือ อคติที่ปรากกฏในนิทาน เช่น อัตลักษณ์ชาติ ในพระโคและพระแก้ว เน้นเรื่องวัฒนธรรมและศิลปะที่ถูกแย่งชิงไป ในขณะที่พระเจ้าแตงหวาน เนื้อเรื่องเน้นการขึ้นครองราชย์ของคนธรรมดา ที่สะท้อนชาติเป็นของประชาชนธรรมดา
เรื่องเล่าเรื่องทั้ง 2 เรื่องนี้ มีจุดเน้นร่วมกันคือ การทำให้ไทยกลายเป็นผู้รุกรานที่ขโมยทรัพยากร อารยธรรม และศิลปะจากกัมพูชา ทั้งในเชิงรูปธรรม (พระโค คือพระโคนนทิ, พระแก้ว คือพระแก้วมรกต) และนามธรรม (ความรู้, อำนาจและ วัฒนธรรม)
ในเรื่องของความสูญเสีย เรื่องของพระโคพระแก้วเน้นการตกเป็นเมืองขึ้น การสูญเสียพระโค พระแก้ว ในขณะที่พระเจ้าแตงหวาน เนื้อเรื่องเน้นภาพการถูกรุกรานซ้ำ ๆ โดยไทย ที่ถูกผลิตและตอกย้ำทั้งในแบบเรียน และคำบอกเล่า
การแพ้ศึกของพระโค พระแก้ว และการสูญเสีย วัตถุวิเศษถูกนำเสนอราวกับกับกับเชื่อมโยงกับความ เป็นรากเหง้าและการเสื่อมถอยของกัมพูชา ตรงนี้ฝังความรู้สึกที่ทำให้เชื่อว่า ตัวเองเคยเป็นเจ้าของสิ่งนั้น ก่อน แต่ไทยคือผู้ยึดเอาไปและพวกเขาต้องทวงคืน
ในเรื่องศัตรูร่วมและการสร้างความชอบธรรมของชาติในพระโคพระแก้ว เน้นว่าไทยในฐานะผู้ปล้นอารยธรรม การพยามชี้ว่าความรุ่งเรืองของไทยมีรากจากกัมพูชา ในส่วนของพรเจ้าแตงหวาน เน้นว่าไทยในฐานะผู้รบชนะยึดเมือง และการสถาปนาราชวงศ์ใหม่จากชนชั้นล่าง
สิ่งนี้สะท้อนกลไกสร้างอัตลักษณ์ผ่านศัตรูร่วม ทำให้ไทยกลายเป็นตัวร้ายในตำนานและเป็นภาพจำที่ผู้นำกัมพูชาใช้ผลิตความชอบธรรมของชาติตนเอง โดยเฉพาะช่วงต่อต้านจักรวรรดินิยมฝรั่งเศส หรือวิกฤตการณ์เขาพระวิหาร ดังนั้น ตำนานนี้จึงไม่ใช่แค่การเล่าเรื่อง แต่เป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สื่อว่าครั้งหนึ่งพวกเขาเคยรุ่งเรือง แต่ถูกปล้น และต้องยึดคืนศักดิ์ศรีของชาติกลับมา
Benedict Anderson มองว่า ชาติ คือ ชุมชนที่ถูกจินตนาการร่วม (imagined community) และตำนาน คือหนึ่งในเครื่องมือที่ช่วยผลิตความรู้สึกเป็นพวกเดียวกันอย่างเข้มข้น ดังนั้นนิทานพื้นบ้านทำหน้าที่คล้ายคัมภีร์ของชาติ ที่บอกว่า เรามีอดีตร่วมกัน เรามีศัตรูร่วม และ เราต้องร่วมกันปกป้อง ที่น่าเศร้าคือ ตำนานนี้ได้เปลี่ยนความพ่ายแพ้ทางการเมืองให้กลายเป็นโศกนาฏกรรมแห่งชาติที่น่าไว้อาลัย จดจำ และเรียกร้องความชอบธรรมในการทวงคืนอารยธรรมแม้ว่าจะแลกด้วยอะไรก็ตาม
ดังนั้นตำนาน และนิทานคือ Myth คือ ภาษาชั้นที่สองที่สร้างความหมายใหม่ให้กับสิ่งธรรมดาในชีวิตประจำวัน โดยอิงกับอุดมการณ์ของชนชั้นปกครองอย่างแยกไม่ออก เราต้องอ่านนิทาน ไปพร้อมกับการอ่านความสัมพันธ์เชิงอำนาจ มองให้ลึกกว่าชาติที่เพิ่งเกิดมาทีหลัง…
คืนนี้ฟ้าใสให้ผมเล่านิทาน 2 เรื่องนี้ให้ฟัง แต่ผมจะเล่าในเวอร์ชั่นใหม่ที่ส่งเสริมความเข้าใจ และการอยู่ร่วมกันมากกว่าเป็นศัตรูกัน…
ดังนั้น พระโค จะเป็นสัญลักษณ์แทนความรู้ ภูมิปัญญา หรือธรรมชาติที่ชาวบ้านไม่เข้าใจ กลายเป็นเหยื่อของความโลภ แต่ก็ยังปกป้องน้องอย่างสุดความสามารถ ส่วน พระแก้ว แทนความเปราะบาง ความเป็นมนุษย์ และความหวัง ที่ถูกโยกย้ายไปอยุธยาแต่ไม่ใช่ในฐานะ ทรัพย์สมบัติหากเป็นสะพานวัฒนธรรม ในตอนจบที่เคยเป็นการกวาดต้อน อาจเล่าใหม่เป็นการอพยพโดยจำใจ แต่ก่อให้เกิดการผสมผสานทางวัฒนธรรม สุดท้ายของวิเศษไม่ใช่เครื่องยืนยันอำนาจ แต่คือมรดกร่วมที่สร้างความรุ่งเรืองทั้งสองฝั่ง..
ในส่วนนายแตงหวานคือคนธรรมดาที่มีคุณธรรม ความขยัน ความรับผิดชอบ เป็นภาพแทนของประชาชนทั่วไป ความผิดพลาดที่แทงกษัตริย์โดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่ความผิดร้ายแรง แต่แสดงถึงความไม่รู้ที่สังคมต้องเรียนรู้และเยียวยา การได้รับเลือกจากช้างหลวง คือ ฉันทามติจากธรรมชาติที่สะท้อนความเชื่อมโยงระหว่างผู้นำกับความยุติธรรม ส่วนการย้ายเมืองหลวง ไม่ใช่แค่ผลของสงคราม หากคือการปรับตัวเพื่อรักษาชีวิตและวัฒนธรรม
การเล่านิทานในรูปแบบใหม่ของผม ไม่ใช่การบิดเบือนประวัติศาสตร์ หากคือการเปิดพื้นที่ใหม่ในการเข้าใจอดีตร่วมกันและ ลดอคติที่สืบทอดมาในนามของความรักชาติ นิทานเหล่านี้สามารถใช้ในห้องเรียน พิพิธภัณฑ์ หรือเวทีสาธารณะ เพื่อพูดถึงอดีตที่หลากหลาย และเน้น ความเจ็บปวดร่วมมากกว่าชัยชนะฝ่ายเดียว ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญของการปรองดองทางวัฒนธรรมซึ่งลึกยิ่งกว่าการเจรจาทางการเมือง เพราะมันทำงานกับความรู้สึก ความทรงจำ และความหวังของผู้คน…
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น