คำพูดของฮุนมาเนตที่บอกว่า “คุณค่าที่แท้จริงของสันติภาพจะชัดเจนขึ้นเมื่อไม่มีสันติภาพ เราต้องปกป้องสันติภาพไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตา ”
ฮุนมาเนตกล่าวถึงสันติภาพ ไม่ใช่ในฐานะสิ่งที่มีอยู่ แต่เป็นสิ่งที่ จะรู้คุณค่า ก็ต่อเมื่อมันหายไปแล้ว สิ่งนี้หากมองมันผ่านแนวคิด hauntology ของ Derrida ก็สะท้อนว่า สิ่งที่ไม่อยู่ตรงนี้ กลับเป็นสิ่งที่อยู่ดำรงอยู่โดยไม่ยอมไปไหน…
ความหมายของสันติภาพในที่นี้จึงไม่ใช่สิ่งมั่นคง หากแต่คือ ผีหรือความหลอกหลอนของสันติภาพที่ปรากฏท่ามกลางเงาของสงคราม การพูดเช่นนี้เท่ากับเรียกผี ให้ประชาชน ระลึกถึงอดีตอันโหดร้าย เพื่อสร้างความกลัวต่อการสูญเสีย
ตัวอย่างจากกัมพูชาที่เห็นได้ชัดคือผีของสงครามในยุคเขมรแดง, การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์, การฆ่าล้างครอบครัวคนที่เห็นต่าง สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็น trauma ร่วมที่ยังคงหลอกหลอน ( haunt ) คนกัมพูชา การกล่าวแบบนี้จึงเป็นการใช้ ความทรงจำที่เจ็บปวด มาเป็นฐานอำนาจเชิงอารมณ์
สันติภาพที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นอย่างแท้จริงในกัมพูชา หลังยุคเขมรแดง สันติภาพที่มีอยู่ในปัจจุบันจึงอาจเป็นแค่ ภาพจำลอง (simulation) หรือร่องรอยของบางสิ่งที่ควรจะมี แต่ไม่มี ซึ่งจากแนวคิดของ Derrida ชี้ว่าสันติภาพที่พูดถึงนี้ไม่ใช่สันติภาพต้นฉบับ แต่เป็นความหมายที่ลื่นไหล ซึ่งสร้างขึ้นจากการเปรียบเทียบกับ ความรุนแรง สันติภาพในวาทกรรมนี้ไม่ได้อยู่ในปัจจุบัน แต่อยู่ในเงาของสิ่งที่อาจจะสูญเสีย มันคือสันติภาพที่ยังไม่เคยมาถึง และไม่มีวันมาถึงในดินแดนกัมพูชา
การพูดถึงคุณค่าของสันติภาพ ภายใต้เงาของการ สูญเสียเป็นการเปิดบาดแผลทางจิตสำนึก ซึ่งสอดคล้องกับสิ่งที่ Freud บอกว่า ความกลัวสงคราม ความเจ็บปวดในอดีต คือ บาดแผลจิตไร้สำนึก (repressed trauma) ที่กลับมาในรูปของวาทกรรมเตือนภัย ดังนั้นประชาชนจึงถูกทำให้ หวาดกลัวต่อสิ่งที่อาจกลับมา โดยผ่านคำพูดที่อ้างว่ากำลังปกป้องสันติภาพ
การตั้งคำถามต่อสิ่งที่เรียกว่าสันติภาพที่กล่าวอ้าง คำพูดของฮุน มาเนต สถาปนาสิ่งที่เรียกว่า สันติภาพ ขึ้นมาโดยไม่พูดถึงมันตรง ๆ แต่กลับ นิยามมันจากการหายไป และการไม่เคยมีอยู่ของมันทั้งในอดีตและปัจจุบัน
สันติภาพในคำพูดนี้จึงไม่อยู่ตรงหน้า แต่เป็นผีของสิ่งที่อาจจะหายไปและตามหลอกหลอนชาวกัมพูชาเสมอ
การเรียกร้องถึงคุณค่าที่แท้จริงของสันติภาพ…แสดงว่าสิ่งที่ถูกเรียกว่าสันติภาพไม่มั่นคงอีกต่อไป วาทกรรมนี้ไม่ใช่การเฉลิมฉลองสันติภาพ แต่เป็น เสียงจากจุดที่มันแตกร้าว(Rupture) แล้วในประเทศกัมพูชา ความกลัวที่คุกรุ่นจากภัยสงครามชายแดน ความไม่มั่นคงทางการเมืองภายใน รวมทั้งความหวาดระแวงว่าคนรุ่นใหม่ อาจไม่เห็นด้วยกับการรักษาอำนาจแบบเดิม นั่นทำให้การเรียกหาสันติภาพ คือผลของรอยร้าวไม่ใช่หลักประกันของเสถียรภาพแต่อย่างใด
สิ่งที่น่าสนใจคือ สันติภาพไม่ใช่สิ่งที่เป็นอยู่ แต่เป็นสิ่งที่ อาจหายไป หรือ อาจจะมีอยู่ (Perhaps) เขาไม่ได้พูดว่าเรามีสันติภาพแต่กลับพูดว่า สันติภาพจะชัดเจนขึ้นเมื่อไม่มีสันติภาพคือ การยืนยันว่ากัมพูชาไม่มีมัน( สันติภาพ) อย่างมั่นคงมาเลยนับตั้งแต่ต้น
ความท้าทายคือการสร้างสภาวะของ perhapsเพื่อเลื่อนคำถามที่สำคัญคือ ถ้าไม่ใช่รัฐบาลชุดนี้ กัมพูชาจะมีสันติภาพหรือไม่?
วลีของฮุนมาเนตที่บอกว่า “เราต้องปกป้องสันติภาพไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม” สะท้อนการพยามสถาปนาวาทกรรมของอำนาจที่สร้างให้สันติภาพกลายเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ การทำให้สันติภาพกลายเป็นสิ่งสูงสุด (ultimate value) ที่ ไม่อาจตั้งคำถาม แม้ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม ซึ่งอาจรวมถึง สิทธิเสรีภาพ, ความยุติธรรม, หรือชีวิตของผู้เห็นต่างด้วยก็ตาม
ถ้ามองแบบถอดรื้อก็ต้องถามกลับว่า แล้วใครเป็นคนกำหนดว่าอะไรคือสันติภาพ? แล้วใครต้องแลก?” แลกดด้วยอะไร ? ที่สะท้อนว่าความหมายของ สันติภาพไม่ได้มีความเป็นกลาง แต่ถูกกำหนดโดยผู้มีอำนาจในวาทกรรม เช่น รัฐ, ผู้นำประเทศ นี่คือการเปิดช่องให้กับความรุนแรงในนามของความสงบ
นี่คือความรุนแรงเชิงอุดมการณ์ที่ซ่อนตัวอยู่ใต้คำพูดดีงาม ที่ตอกย้ำว่าสันติภาพไม่ใช่สิ่งตรงข้ามกับความรุนแรง แต่บ่อยครั้งมันถูกสร้างขึ้นบนความรุนแรงเช่นกัน
สันติภาพจึงกลายเป็นผีที่ตามหลอกหลอน วนเวียนอยู่ในความกลัวว่า ถ้าไม่เชื่อฟัง มันก็จะหายไป
คำพูดนี้จึงเป็นภัยเชิงจริยธรรม ถ้าไม่ตั้งคำถามกับมัน
ลองคิดดูว่าถ้าสันติภาพต้องแลกด้วย ความอยุติธรรม, ความเงียบของคนจน ความตายของผู้คน ความยอมจำนนของคนถูกกดขี่ นั่นยังเป็นสันติภาพจริงหรือไม่? ใครได้ประโยชน์จาก “สันติภาพ” แบบนี้? ใครต้องแลก?
สันติภาพจึงอาจเป็นเพียงผีของความปรารถนา ที่ตามหลอกหลอนผู้คนกัมพูชา และยังไม่เคยเกิดขึ้นจริงเลยด้วยซ้ำ…
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น