ผมชอบอ่านแนวคิดทฤษฎี หรืองานวิเคราะห์ที่น่าสนใจ เพราะมันทำให้เรื่องธรรมดามีความลึกซึ้งมากขึ้น อย่างเช่นหนังสือ Stone Masters: Power Encounters in Mainland Southeast Asia บรรณาธิการโดย Holly High ( 2022) เป็นงานหลักที่ครอบคลุมแนวคิดเรื่อง “ผู้ทรงอำนาจหรือพลังอำนาจที่สถิตในหินและสิ่งต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฝั่งแผ่นดินใหญ่ (เช่น เมียนมาร์ ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม)
แนวคิดสำคัญ (Key Concepts)ในหนังสือ Stone Masters คือวิญญาณหรือพลังลี้ลับที่ถือครองดินแดนผ่านองค์ประกอบหินต่าง ๆ เช่น เสาหินใหญ่ (megaliths), เมืองเสาหลัก (city pillars), เนินปลวก, ภูเขา หรือหินที่มีการเคลื่อนย้ายมาประดิษฐาน ดังนั้น หินเหล่านี้ไม่ใช่เพียงสัญลักษณ์ แต่เป็นตัวกลางสำหรับ ความสัมพันธ์กับพลังเหนือธรรมชาติ ที่นำมาซึ่งชีวิต อันตราย อุดมสมบูรณ์ และโชคชะตา
แนวคิดเรื่องผู้ทรงอำนาจ (Masters) มีลักษณะทั้ง เมตตาโกรธเกรี้ยวและดื้อรั้น ทำให้เกิดเรื่องของพิธีกรรม มนุษย์ไม่ได้บูชาสิ่งเหล่านี้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องเจรจา ระงับความไม่พอใจ และสร้างสัมพันธ์แบบสองฝ่าย นอกจากนี้ หนังสือยังมีการใช้กรณีศึกษาเปรียบเทียบข้ามชาติ และการรวม theory เรื่อง animism เข้ากับแนวคิดเรื่องอำนาจ และรัฐ สมัยใหม่อย่าสนใจ
Holly High กำหนดกรอบแนวคิดเรื่อง stone masters และเชื่อมโยงความสัมพันธ์ระหว่างพื้นที่ ดินแดน และวิญญาณ กรณีศึกษาที่น่าสนใจเช่น ในลาวชุมชน Kantu ( บางครั้งเรียกกันตู หรือกะตู้) และการเคลื่อนย้ายหมู่บ้านกับการมีปฏิสัมพันธ์กับเสาหินประจำเมืองและสถูปของรัฐ หรือบางที่มีความเชื่อเรื่องภูเขาศักดิ์สิทธิ์ หรือในกัมพูชามีประเพณีเฉลิมฉลองผ่านเพลง เต้น และกินเลี้ยง เพื่อสร้างสัมพันธ์กับพลังใต้ดิน (chthonic power) ในประเทศไทยมีการเคารพเนินปลวกในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เชื่อว่าเป็นศูนย์กลางของพลังชีวิตและชุมชีวิต
ในชุมชน Kantu ชื่อในสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยมีเสาหิน (stone pillars) และเนินดินใหญ่ กรณีของชุมชน Kantu ย้ายหมู่บ้านเนื่องจากรัฐมีโครงการพัฒนา พวกเขาต้องย้ายเสาหินศักดิ์สิทธิ์ประจำหมู่บ้านไปด้วย และต้องทำพิธีขออนุญาตวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในเสาก่อนย้าย เพราะพวกเขาเชื่อและให้ความหมายว่า เสาหินคือผู้คุ้มครองหมู่บ้านและเป็นหลักฐานของความสัมพันธ์ระหว่างคน-ดินแดน-วิญญาณ ถ้าไม่ย้ายเสา วิญญาณอาจไม่ปกป้องหมู่บ้านใหม่
ในกัมพูชา (พื้นที่ชนบท) มีความเชื่อเรื่องสิ่งศักดิ์สิทธิ์เช่น เนินดินและหินศักดิ์สิทธิ์ (chthonic mounds) โดยเชื่อว่าในช่วงเก็บเกี่ยว จะมีงานเฉลิมฉลองรอบเนินดินนี้ มีการตั้งเวทีดนตรี ร้องเพลง เต้น และจัดงานเลี้ยงทั้งคืน เชื่อว่าการทำให้ผู้ครองเนินดิน( สิ่งศักดิ์สิทธิ์) พอใจ จะทำให้พืชผลอุดมสมบูรณ์ ที่สะท้อนการผสมผสานระหว่างความบันเทิงกับศาสนาพื้นบ้าน ทำให้เห็นว่า “พลังในหิน/ดิน” เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย มีความเชื่อเรื่อง สิ่งศักดิ์สิทธิ์ดังเช่น เนินปลวก โดยมีความเชื่อว่าเนินปลวกเป็นที่อยู่ของพญานาคหรือวิญญาณเจ้าเมือง บางหมู่บ้านจะผูกผ้าแพรสีรอบเนินปลวกและตั้งศาลเล็กๆ ข้างๆ มีการจุดธูปขอหวย หรือขอฝน จอมปลวกจึงมีความหมายถึงการเป็นจุดศูนย์รวมของความเชื่อท้องถิ่นและเศรษฐกิจเชิงพิธีกรรม เช่น การซื้อเครื่องเซ่น การมารวมตัวกันประกอบพิธีกรรมเซ่น สรวง บูชา เป็นต้น หรือภาคเหนืออย่างเชียงใหม่ มีเสาพิธีอินทขีล ที่เป็นเสาหลักเมือง สะดือเมือง เดิมเสาอยู่ในพิธีราชสำนัก แต่ในยุคปัจจุบัน หมอผี ร่างทรงและชุมชนมีการฟื้นฟูพิธีกรรมไหว้เสา โดยผสมเครื่องบูชาแบบเก่าเข้ากับของใหม่ เช่น น้ำอัดลม และดอกไม้พลาสติก นี่เป็นตัวอย่างการดัดแปลงพิธีกรรมให้เข้ากับยุคสมัย พร้อมรักษาสถานะของเสาในฐานะตัวแทนความมั่นคงของเมือง
กรณีเวียดนาม ในดอยฮุง (Hung Mountain) ซึ่งถือเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ โดยเชื่อมโยงภูเขาและศาลเจ้าแม่กษัตริย์บรรพบุรุษ ซึ่งภูเขาแห่งนี้เป็นสถานที่ประกอบพิธีของรัฐเพื่อย้ำรากเหง้าทางประวัติศาสตร์ของชาติ ในยุคปัจจุบันมีการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม รัฐจัดขบวนแห่และการแสดงเพื่อดึงนักท่องเที่ยว นี่เป็นตัวอย่างของการนำพลังในหินและภูเขา มาเชื่อมกับชาตินิยมและเศรษฐกิจสมัยใหม่
กรณี เมียนมาร์ (Mandala cult) สิ่งศักดิ์สิทธิ์ คือเสาหลักในราชสำนักโบราณ โดยมีพิธีกรรมวางเสาหลักเมืองเกี่ยวข้องกับการเรียกวิญญาณผู้ปกป้องดินแดน และการฝังวัตถุบูชาใต้เสาเพื่อผูกพลังดินแดนกับอำนาจกษัตริย์ ที่สะท้อนความหมายและแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างโครงสร้างอำนาจทางการเมืองกับพลังเหนือธรรมชาติ
คำสำคัญในหนังสือที่น่าสนใจอาทิเช่น
Stone Masters หมายถึงผู้ครองพลังที่สถิตในหิน ภูเขา เสาหลัก หรือเนินดิน
Power Encounters คือ การเผชิญหน้าและต่อรองกับพลังเหนือธรรมชาติ
Mainland Southeast Asia คือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ฝั่งแผ่นดินใหญ่ (ลาว กัมพูชา ไทย เมียนมาร์ เวียดนาม)
Animism คือ ความเชื่อเรื่องวิญญาณในธรรมชาติ
Chthonic Powers คือ พลังใต้ดิน/ใต้โลก (เช่น ในเนินดินหรือภูเขา)
Spirit Lords / Spirit Masters คือ เจ้าที่เจ้าทางหรือเทพผู้คุ้มครองดินแดน
City Pillars คือเสาหลักเมือง (ศูนย์กลางพลังและอำนาจของรัฐ/เมือง)
Megaliths คือหินขนาดใหญ่ที่มีความหมายทางพิธีกรรมและอำนาจ
Ritual Negotiation คือการต่อรองกับวิญญาณผ่านพิธีกรรม
Mandala Polity คือ แนวคิดการปกครองแบบจักรวาลทัศน์ (mandala) ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Place-Making คือ การสร้างความหมายให้พื้นที่ผ่านพิธีกรรมและเรื่องเล่า
Sacred Geography คือ ภูมิศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์
Spirits and State คือ ความสัมพันธ์ระหว่างความเชื่อท้องถิ่นกับรัฐ
Syncretism คือการผสมผสานความเชื่อ (local cult + Buddhism + state ideology)
Heritage Politics คือ การใช้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เพื่อการท่องเที่ยวและการเมือง
Ritual Economy คือเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนโดยการบูชาและพิธีกรรม
Relocation of Spirits คือการย้ายหรืออัญเชิญวิญญาณเมื่อต้องเคลื่อนย้ายหมู่บ้าน
Sacralization คือกระบวนการทำให้พื้นที่/วัตถุมีความศักดิ์สิทธิ์
Embodied Power คือ อำนาจที่สถิตในวัตถุหรือพื้นที่
Negotiated Sovereignty คืออธิปไตยที่เกิดจากการเจรจาระหว่างคน รัฐ และวิญญาณ
ดังนั้น หนังสือเล่มนี้ทำให้เราเห็นความสัมพันธ์ของ
โครงสร้างความสัมพันธ์: Stone Masters – พื้นที่ – พิธีกรรม – รัฐ เริ่มจาก Stone Masters สถิตอยู่ใน
หิน, เสาหลัก , ภูเขา และเนินดิน ที่สร้าง ภูมิศาสตร์ศักดิ์สิทธิ์ (Sacred Geography) ให้กลายเป็นจุดศูนย์กลางพิธีกรรม (Place-Making) ทำให้เกิดการต่อรอง (Ritual Negotiation)ร่วมกับ ชุมชน, ร่างทรง หมอผี และพระสงฆ์ ที่เชื่อมโยงกับรัฐ อำนาจการเมือง และชาตินิยม
การมองหิน เสากิน เนินดิน และภูเขาไม่ใช่เพียงวัตถุ แต่เป็น ผู้ครองพลัง (Spirit Lords) พลังเหล่านี้มีทั้งให้คุณและให้โทษ ที่ชุมชนและผู้คนต้อง เจรจาผ่านพิธีกรรม (Ritual Negotiation) การที่ Stone Masters สถิตอยู่ในพื้นที่ เช่น เสาหลักเมือง, เนินปลวก, ภูเขา ทำให้พื้นที่นั้นมีความหมายเกินกว่าทางกายภาพ เกิดการ Place-Making คือสร้างเรื่องเล่าและพิธีกรรมให้พื้นที่นั้นมีความศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น Stone Masters จึงไม่ใช่สิ่งตายตัว แต่เป็น “ผู้เล่น” ที่มีบทบาททั้งในเศรษฐกิจ พิธีกรรม และการเมือง
พิธีกรรม เช่น การเลี้ยงผี การผูกผ้า หรือการย้ายเสา คือกระบวนการเจรจาระหว่างคนกับ Stone Masters
(Ritual Negotiation ) การต่อรองนี้ไม่ใช่เพียงเรื่องความเชื่อ แต่เป็น เศรษฐกิจพิธีกรรม (Ritual Economy) ที่หมุนเงินและทรัพยากรในชุมชน
รัฐเข้ามาเกี่ยวข้องกับ Stone Masters ผ่านการ สถาปนาอำนาจ (เช่น เสาหลักเมืองในราชสำนัก) ซึ่งในยุคใหม่ รัฐใช้สถานที่ศักดิ์สิทธิ์เป็น มรดกทางวัฒนธรรม (Heritage Politics) และเครื่องมือชาตินิยมทำให้เกิดการผสมผสาน (Syncretism) ระหว่างความเชื่อท้องถิ่นกับพุทธศาสนาและอุดมการณ์รัฐ นี่คือความสัมพันธ์แบบ Spirits กับ State
ในขณะเดียวกัน การครองดินแดนและอำนาจไม่ใช่แค่เรื่องรัฐ แต่ต้อง ได้รับการยอมรับจาก Stone Masters และชุมชน ตัวอย่าง การย้ายหมู่บ้านต้องอัญเชิญวิญญาณเจ้าที่ไปด้วย เพื่อไม่ให้ อำนาจของชุมชนหลุดออกจากพื้นที่ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า Negotiated Sovereignty
ผมว่าแนวคิดนี้ เราเอามาใช้อธิบายเสาหลักเมืองใบเสมา พื้นที่เจดีย์ เสาหิน ศาลากลางบ้านที่มีใบเสมา และอื่นๆ ได้เยอะเลย
พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ Victor turner ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก Arnold Van Gennep ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา (Periodicity) ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์ จะทำอะไร จะปลูกอะไร ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น 3 ระยะคือ 1.rite of separation หรือขั้นของการแยกตัว ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์ (purification rites) เช่น การโกนผม การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย รวมถึงการตัด การสร้างรอยแผลเป็น การขลิบ (scarification or cutting) ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น