ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

แนวคิดเรื่องความสกปรก ความสะอาด ในแนวคิดของ Mary Douglas โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล

ผมขอเริ่มด้วยคำกล่าวของแมรี่ ดักลาส (Mary Douglas) ที่ว่า “The human body is always treated as an image of society” “ร่างกายมนุษย์ถูกมองและปฏิบัติในฐานะภาพสะท้อนของสังคมเสมอมา” แมรี่ ดักลาสชี้ให้เห็นว่า ร่างกายมีความสัมพันธ์อย่างลึกซึ้งกับแนวคิดเรื่อง “ความสะอาด” และ “ความสกปรก” ซึ่งโยงไปถึงภาวะชายขอบ ความเสี่ยง อันตราย และความเจ็บป่วย ทั้งหมดนี้สะท้อนระบบความคิดและวิธีปฏิบัติของสังคมต่อเรื่องเหล่านี้ ดังที่เธอกล่าวว่า “Where there is dirt, there is system.” “ที่ใดมีสิ่งสกปรก ที่นั่นย่อมมีระบบ” สิ่งสกปรกจึงไม่ใช่เพียงคราบหรือความไม่สะอาดในเชิงกายภาพ แต่คือ “ผลพลอยได้” ของกระบวนการจัดระเบียบและจำแนกประเภทของสิ่งต่าง ๆ ในสังคม รวมถึงการสร้างกฎเกณฑ์เพื่อปฏิเสธหรือตัดทอนองค์ประกอบที่ไม่เหมาะสมออกจากระบบ เมื่อร่างกายถูกมองว่าเป็นภาพแทนของสังคมและวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงสังคมจึงต้องเริ่มจากการเปลี่ยนระบบความคิดและรูปแบบการจัดระเบียบ ดังที่ดักลาสกล่าวไว้ว่า “If you want to change the culture, you will have to start by changing the organization.” “หากต้องการเปลี่ยนวัฒนธรรม ต้องเริ่มจากการเปลี่ยนโครงสร้างการจัดระเบียบของสังคม” ในหนังสือ Purity and Danger: An Analysis of the Concepts of Pollution and Taboo (1966) ดักลาสอธิบายว่า ในสังคมดั้งเดิม (Primitive Societies) ความแตกต่างระหว่าง “ความบริสุทธิ์” (Purity) และ “ความเป็นมลทิน” (Pollution) ไม่ได้ถูกแบ่งแยกอย่างชัดเจน ต่างจากสังคมตะวันตกที่มีเส้นแบ่งชัดระหว่างสิ่งที่สกปรกกับสิ่งศักดิ์สิทธิ์ กฎศักดิ์สิทธิ์ (Sacred rules) จึงทำหน้าที่ปกป้องความบริสุทธิ์ของพระเจ้า และกีดกันความไม่สะอาดออกจากการติดต่อสื่อสารกับพระเจ้าหรือตัวแทนพระเจ้า
ในสังคมดั้งเดิม ความคิดเรื่องข้อห้าม ความสะอาด และความศักดิ์สิทธิ์ถูกฝังอยู่ในตัวตนของผู้คน ผ่านการแบ่งแยกบุคคล วัตถุ หรือสถานที่ว่า “ศักดิ์สิทธิ์” หรือ “ไม่บริสุทธิ์” การสัมผัสกันระหว่างสิ่งเหล่านี้อาจทำให้เกิดการปนเปื้อน เช่น ในศาสนาคริสต์ ความไม่สะอาดไม่ได้เพียงซึมซับเข้าสู่ร่างกาย แต่ยังซึมเข้าสู่จิตวิญญาณด้วย ดักลาสจึงชี้ว่า การเข้าใจข้อห้ามและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของสังคมอื่น ต้องเริ่มจากการพิจารณาสิ่งที่เราทำและเชื่ออยู่เองเสียก่อน เธอยังวิจารณ์มุมมองแบบ “ยูโรปาเป็นศูนย์กลาง” ที่มักอธิบายพิธีกรรมเรื่องความสะอาดด้วยเหตุผลด้านสุขอนามัย เช่น การเลี่ยงเนื้อหมูในศาสนาอิสลามถูกมองว่าเพื่อสุขลักษณะ หรือการใช้ธูปเทียนเพื่อกลบกลิ่นตัว ทั้งที่แท้จริงแล้ว สิ่งเหล่านี้มีความหมายเชิงสัญลักษณ์และศาสนามากกว่า ดักลาสเปรียบเทียบว่า พิธีกรรมในยุโรปมีพื้นฐานจากความคิดเรื่องสุขอนามัย (hygiene) เพื่อฆ่าเชื้อโรค ขณะที่พิธีกรรมดั้งเดิมมุ่งขับไล่วิญญาณชั่วร้าย แม้ทั้งสองจะมีความคล้ายกันในเชิง “ข้อห้าม” แต่ก็มีรากฐานต่างกัน การจำกัดความพิธีกรรมเพียงเพื่อเหตุผลด้านสุขอนามัยจึงไม่เพียงพอ เธอเสนอว่า แนวคิดสมัยใหม่มักทำให้เราเท่ากับ “สิ่งสกปรก” กับ “เชื้อโรคและแบคทีเรีย” จนยากจะคิดถึงมันในบริบทอื่น แต่หากเราถอดความหมายด้านสุขอนามัยออก สิ่งที่เหลือคือ “สัญลักษณ์ของสิ่งสกปรก” ในฐานะผลผลิตของระบบกฎเกณฑ์และการจำแนกประเภทในสังคม ดักลาสยังตั้งข้อสังเกตว่า มนุษย์มีแนวโน้มจัดระเบียบสิ่งรอบตัวให้เข้ากับโครงสร้างที่คุ้นเคย เมื่อโครงสร้างนั้นมั่นคง ผู้คนมักเพิกเฉยต่อสิ่งที่ไม่เข้ากัน สิ่งที่ไม่บริสุทธิ์จึงหมายถึงสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับโครงสร้างเดิม และถูกมองว่าเป็นความเสี่ยง ความคลุมเครือ หรือความชายขอบที่ต้องถูกกีดกัน เพื่อคงความสมบูรณ์ของระบบผ่านข้อห้ามและวิธีปฏิบัติ เธอยังขยายความคำว่า “Taboo” ซึ่งมาจากภาษาของเผ่า Tonga ในโพลินีเซีย ว่าเกี่ยวข้องกับข้อห้ามทางศาสนา พิธีกรรม และความศักดิ์สิทธิ์ แต่เมื่อเข้าสู่สังคมยุโรปในยุควิกตอเรียน คำนี้ก็ถูกตีความใหม่ภายใต้อิทธิพลของโปรเตสแตนต์ ลัทธิล่าอาณานิคม และชนชั้นกลาง ทำให้ข้อห้ามมีความหมายกว้างออกไป ซิกมันด์ ฟรอยด์ มองว่า “Taboo” มีความหมายตรงข้ามกันในตัวเอง คือเป็นทั้งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องเคารพและสิ่งไม่บริสุทธิ์ที่ต้องหลีกเลี่ยง และไม่จำกัดเพียงเรื่องศาสนา(Sacred ) แต่รวมถึงข้อห้ามในชีวิตประจำวัทั่วไปด้วย(Profane) แนวคิดเหล่านี้สามารถประยุกต์อธิบายปรากฏการณ์ร่วมสมัย เช่น มาตรการป้องกันโรคระบาด การสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง ล้างมือ ล้างผัก ซึ่งก่อให้เกิด “Taboo แบบใหม่” ในยุค New Normal หรือแม้แต่การรักษาความบริสุทธิ์เมื่อเข้าสักการะพระธาตุหรือเจดีย์ ผมอยากยกตัวอย่างรูปธรรม ในสังคมสมัยใหม่ มาเชื่อมโยงและทำให้เห็นภาพ ดังนี้ 1. การใช้คำว่า “สะอาด” และ “ไม่สะอาด” ในการเมือง ดังเช่น การกล่าวหาคนอื่น ว่า “มือไม่สะอาด” “สกปรก” หรือ “มีมลทิน” ไม่ได้หมายถึงร่างกายจริง ๆ แต่เป็นการใช้ “ความสะอาด” เป็นสัญลักษณ์ของความชอบธรรมทางศีลธรรมและความน่าเชื่อถือ เช่น การชุมนุมทางการเมืองที่กำหนดพื้นที่ว่า “โซนปลอดคนขายชาติ” หรือ “พื้นที่ปลอดคอร์รัปชัน” ทำให้เกิดเส้นแบ่งเชิงสัญลักษณ์ว่าใคร “บริสุทธิ์” และใคร “ไม่บริสุทธิ์” 2. โซนปลอดโทรศัพท์มือถือ ในบางพื้นที่ เช่น ห้องประชุมลับ ห้องสวดมนต์ หรือบางวัด มีการห้ามใช้โทรศัพท์มือถือ ไม่ใช่เพราะโทรศัพท์เป็นสิ่งสกปรกทางกายภาพ แต่เพราะถูกมองว่าเป็นสิ่ง “ปนเปื้อน” หรือ “รบกวน” ความศักดิ์สิทธิ์และความสงบ เป็นตัวอย่างของการสร้างข้อห้าม (taboo) ที่ปกป้องพื้นที่หรือกิจกรรมให้คงคุณค่าเดิม 3. ข้อห้ามด้านอาหารในยุคสมัยใหม่ ดังเช่นเทรนด์ “อาหารคลีน” (Clean Food) หรือ “อาหารออร์แกนิก” กลายเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์และการดูแลสุขภาพ ในบางวงสังคม การกินอาหารฟาสต์ฟู้ดหรือเนื้อสัตว์บางประเภทถูกมองว่า “สกปรก” ในเชิงศีลธรรม ทั้งต่อร่างกาย สิ่งแวดล้อม และสัตว์ 4. มาตรการโควิด-19 และ New Normal ดังเช่น การสวมหน้ากาก ล้างมือ และเว้นระยะห่าง ถูกสถาปนาเป็น “ข้อห้าม” ใหม่ เช่น การไม่ใส่หน้ากากในบางช่วงอาจทำให้ถูกมองว่า “ไม่รับผิดชอบต่อสังคม” หรือ “ปนเปื้อน” สิ่งเหล่านี้เป็น ritual of purity ในบริบทโรคระบาด 5. ข้อห้ามทางศาสนาและการท่องเที่ยวเชิงศรัทธา ดังเช่น การห้ามผู้หญิงเข้าสู่พื้นที่บางส่วนของวัดบางแห่ง หรือห้ามใส่เสื้อแขนกุด/กางเกงขาสั้นเข้าพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ข้อห้ามเหล่านี้ไม่เกี่ยวกับความสะอาดทางกาย แต่เกี่ยวกับ “ความบริสุทธิ์เชิงสัญลักษณ์” และการรักษาระเบียบพิธีกรรม 6. การสร้าง “พื้นที่ปลอดบางสิ่ง” ในสังคมออนไลน์ กลุ่มในโซเชียลที่ตั้งกฎว่า “ปลอดการเมือง” “ปลอดดราม่า” หรือ “ปลอดคอนเทนต์ NSFW” เป็นการสร้าง taboo เพื่อรักษาบรรยากาศและความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันของชุมชนออนไลน์ โดยสรุปสาระสำคัญของแนวคิด Mary Douglas โดยเฉพาะในหนังสือ Purity and Danger: An Analysis of the Concepts of Pollution and Taboo (1966) ที่น่าสนใจคือ 1. ร่างกายคือภาพสะท้อนของสังคม โดย ร่างกายมนุษย์ไม่เพียงเป็นสิ่งกายภาพ แต่เป็น “สัญลักษณ์” ของระเบียบและโครงสร้างทางสังคมที่สะท้อน วิธีที่สังคมปฏิบัติต่อร่างกาย สะท้อนวิธีที่สังคมจัดระเบียบ ควบคุม และรักษาความสมบูรณ์ของตนเอง 2. ความสะอาดและความสกปรกคือผลผลิตของระบบความคิด ดังเช่น สิ่งสกปรก (dirt) ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งไม่พึงประสงค์ทางกายภาพ แต่เป็นสิ่งที่ “อยู่นอกที่ของมัน” (matter out of place) ความสะอาดและความ สกปรกจึงเป็นผลจากการจำแนกประเภท (classification) และการวางระบบ (systematization) ของสังคม เมื่อโครงสร้างถูกคุกคาม สิ่งที่ไม่เข้ากับโครงสร้างจะถูกมองว่า “ไม่บริสุทธิ์” และต้องถูกกีดกัน 3. Taboo คือกลไกปกป้องโครงสร้างสังคม ซึ่ง Taboo ไม่ใช่แค่ข้อห้ามทางศาสนา แต่ยังรวมถึงข้อห้ามทางสังคมและวัฒนธรรมที่ช่วยคงความเป็นระเบียบ ข้อห้ามสามารถห้ามการกระทำ การสัมผัส การกิน หรือแม้แต่การคิดถึงบางเรื่อง ดังนั้น Taboo จึงมีทั้งมิติของการปกป้องสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และการควบคุมความเสี่ยงหรือสิ่งที่ไม่แน่นอน 4. ความแตกต่างระหว่างพิธีกรรมดั้งเดิมกับพิธีกรรมสมัยใหม่ พิธีกรรมในสังคมดั้งเดิมเน้นความหมายเชิงสัญลักษณ์และศาสนา เช่น ขับไล่วิญญาณชั่วร้าย แต่พิธีกรรมในสังคมสมัยใหม่ (เช่นยุโรป) เน้นสุขอนามัยและเหตุผลทางวิทยาศาสตร์ เช่น ฆ่าเชื้อโรค อย่างไรก็ตาม ทั้งสองรูปแบบทำงานคล้ายกันในฐานะ “การรักษาความบริสุทธิ์” เช่นเดียวกัน 5. มองสิ่งสกปรกเกินกว่าแค่เรื่องสุขอนามัย โดย ความคิดสมัยใหม่มักตีความสิ่งสกปรกเป็นเรื่องเชื้อโรคและแบคทีเรีย แต่ดักลาสเสนอว่าเราควรมองมันเป็น “สัญลักษณ์” ที่สะท้อนโครงสร้าง อำนาจ และวิธีคิดของสังคม ดังนั้นการทำความเข้าใจสิ่งสกปรกและข้อห้ามจึงต้องวิเคราะห์ระบบที่สร้างมันขึ้นมา 6. การเปลี่ยนวัฒนธรรมต้องเริ่มที่การเปลี่ยนโครงสร้างการจัดระเบียบ โดยวัฒนธรรมไม่ได้เปลี่ยนเพราะแค่เปลี่ยนความเชื่อ แต่ต้องเปลี่ยน “ระบบการจัดระเบียบ” ที่เป็นฐานของความคิดและพฤติกรรม การจัดระเบียบใหม่นำไปสู่การสร้างนิยามใหม่ของสิ่งที่ถือว่า “บริสุทธิ์” หรือ “ไม่บริสุทธิ์” แนวคิดของ Mary Douglas มีความ น่าสนใจสี่ทำให้เรามองสัญลักษณ์และระบบความคิดของสังคม ที่สามารถเชื่อมโยงกับวรรณนะ ชนชั้น ความเชื่อ การปฏิบัติ และอื่น ๆ ทำให้ผมนำมาใช้ในการเรียนการสอน ในรายวิชามานุษยวิทยาว่าด้วยร่างกาย มานุษยวิทยาว่าด้วยเพศและเพศวิถี

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

พิธีกรรม สัญลักษณ์ และ Victor Turner โดยนัฐวุฒิ สิงห์กุล

  พิธีกรรมวิเคราะห์แบบ  Victor turner  ที่ได้รับอิทธิพลทางความคิดจาก  Arnold Van Gennep  ที่มองภาวะภายในของจักรวาลที่ถูกจัดการให้มีลักษณะของการเปลี่ยนผ่านหมุนเวียนของช่วงเวลา  (Periodicity)  ที่จะส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตของมนุษย์   จะทำอะไร   จะปลูกอะไร   ชีวิตของมนุษย์ก็เหมือนกับภาวะของธรรมชาติ   ทั้งตัวปัจเจกชนและกลุ่มสังคม ล้วนแล้วแต่เชื่อมโยงสัมพันธ์ไม่มีส่วนใดที่สามารถแยกขาดได้อย่างอิสระ   โดยพิธีกรรมดังกล่าวจะแบ่งออกเป็น  3  ระยะคือ 1.rite of separation  หรือขั้นของการแยกตัว   ถือว่าเป็นส่วนของพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับการแยกตัวเองจากสถานภาพเดิม   ผ่านพิธีกรรมที่ทำให้บริสุทธิ์  (purification rites)  เช่น   การโกนผม   การกรีดบนเนื้อตัวร่างกาย   รวมถึงการตัด   การสร้างรอยแผลเป็น   การขลิบ  (scarification or cutting)  ที่เกิดขึ้นกับอวัยวะส่วนใดส่วนหนึ่ง 2.rite of transition  เป็นส่วนของพิธีกรรมที่ว่าด้วยการเปลี่ยนสภาพ   โดยบุคคลที่ร่วมในพิธีกรรมจะมีก...

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์

เฟอร์ดิน็องต์ เดอร์ โซซูร์ (1857-1923) นักภาษาศาสตร์ชาวสวิสเซอร์แลนด์ เป็นผู้มีบทบาทอย่างสำคัญในประวัติศาสตร์ของพวกโครงสร้างนิยม   ที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาสัญวิทยาในช่วงปลายศตวรรษที่ 19 และช่วงต้นศตวรรษที่ 20 โดยเฉพาะการเคลื่อนไหวของ เลวี่ สเตร๊าท์ (Levi-Strauss) ชาร์ค ลากอง (Jacques Lacan) และ โรล็องต์ บาร์ธ (Roland Barthes) รวมถึง มิเชล ฟูโก้ (Micheal Foucault) ที่ได้กลับมาวางรางฐานและปฎิเสธเกี่ยวกับโครงสร้างนิยม ภายใต้ทิศทางใหม่ของหลังโครงสร้างนิยม (Post-Structuralism) ในคำบรรยายเริ่มแรกของเขาที่มหาวิทยาลัยเจนีวา ในช่วงปี 1906-1911 และการตีพิมพ์โครงร่างงานของเขาที่เขียนไว้ และคำบรรยายของเขาที่ลูกศิษย์ได้รวบรวมไว้ ภายหลังการมรณกรรมของเขาเมื่อปี 1915-1916   ภายใต้ชื่อ Course de linguistique   Generale ซึ่งถูกแปลเป็นภาษาอังกฤษและเผยแพร่ในยุโรป ภายใต้ชื่อ Course in general linguistic ในปี 1960 เขาได้นำเสนอความคิดว่า การศึกษาภาษาศาสตร์ในปัจจุบัน สามารถศึกษาได้อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากอีมิล เดอร์ไคม์ (Emile D...

Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Mode

(1)        อะไรคือ Biomedical Model และ Bio-Psycho-social Model ? แนวคิดแบบจำลองทางชีวะการแพทย์ ( Biomeaical Model ) เริ่มต้นในช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ที่ความรู้ทางด้านวิทยาศาสตร์และการแพทย์มีการพัฒนาอย่างเติบโตรวดเร็วและกว้างขวาง การค้นพบเครื่องมือทางการแพทย์ที่ทันสมัยอย่างกล้องจุลทรรศน์ ทำให้มนุษย์ได้เห็นสิ่งที่ไม่เคยเห็น แม้แต่สิ่งที่เล็กที่สุดในร่างกายของมนุษย์ รวมถึงเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมต่างๆที่เข้าสู่ร่างกายของมนุษย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่แพทย์ใช้วินิจฉัยสาเหตุของโรคและความเจ็บป่วย แบบจำลองนี้ ดังนั้นแบบจำลองนี้เสนอว่า โรคหรือความผิดปกติทางกาย( Physiology )ซึ่งเกิดจากการบาดเจ็บ ความผิดปกติของพันธุกรรม ( Abnomal Genetics ) ความไม่สมดุลทางชีวะเคมี ( Biochemistry ) เรื่องของพยาธิวิทยา ( Pathology )   แบคทีเรีย หรือไวรัส หรือสิ่งอื่นๆที่คล้ายคลึงกันที่นำไปสู่การติดเชื้อและความเจ็บป่วยของมนุษย์ ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ไม่ได้อธิบายบทบาทของปัจจัยทางสังคม( The role of Social factors )หรือความคิดของปัจเจกบุคคล  ( Individual Subjectivity ) โดยแบบจำลองทางชีวะ...