นักมานุษยวิทยาหญิง การต่อสู้ในสนามในงาน Interpid woman : Adventures in Anthropoogy โดย นัฐวุฒิ สิงห์กุล
หนังสือภาคสนาม …เรื่องราวการต่อสู้ของนักมานุษยวิทยาหญิง
ผมนึกถึงหนังสือชื่อ Intrepid Women: Adventures in Anthropology โดยบรรณาธิการคือ Julia Nicholson
ผมสะดุดกับคำว่า Interpid woman ซึ่งมีความน่าสนใจ ความหมายของคำว่า Intrepid คือความกล้าหาญ, ความไม่เกรงกลัว, ความมุ่งมั่น และผู้บุกเบิก ดังนั้นเมื่อนำมาใช้กับผู้หญิง (Intrepid Women) จึงสื่อถึง ผู้หญิงที่กล้าลุยไปในพื้นที่และบทบาทที่สังคมไม่คาดว่าจะทำได้ ไม่ใช่แค่ไม่กลัวแต่เป็น ความกล้าที่ผสานกับความเพียรพยาม อดทน ความมุ่งมั่น และการฝ่าข้ามข้อจำกัดของเพศและสังคม
ความหมายในบริบทหนังสือเล่มนี้ คำนี้เชื่อมโยงกับนักมานุษยวิทยาหญิง ที่ทำงานภาคสนามในที่กันดาร, ห่างไกลและค่อนข้างอันตราย ซึ่งพวกเธอต้องเผชิญทั้งความท้าทายจากธรรมชาติ อาทิ โรคภัย, อุบัติเหตุ, สภาพอากาศที่เลวร้าย และความท้าทายจากสังคม ภายใต้มุมมองของการกีดกันทางเพศ การไม่ยอมรับในวิชาชีพ ถูกคาดหวังให้เป็นแม่บ้านไม่ใช่นักวิชาการ แต่อย่างใด
คำว่า “Intrepid” จึงไม่ใช่เพียงคำยกย่อง แต่เป็น คุณสมบัติที่ทำให้ผู้หญิงเหล่านี้สามารถสร้างองค์ความรู้ใหม่ และขยายพรมแดนของมานุษยวิทยาได้จริง
หนังสือเล่มนี้ มีลักษณะเป็น หนังสือสารคดีภาพ (coffee-table book) ที่เล่าเรื่องราวชีวิตจริงของนักมานุษยวิทยาหญิงผู้กล้าในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ผู้ที่กล้าท้าทายบทบาทและข้อจำกัดของผู้หญิงในยุคนั้น โดยการถ่ายทอดเรื่องราวจริงจากการทำงานภาคสนามของนักมานุษยวิทยาหญิงที่มีความหลากหลาย ทั้งในสังคมตะวันตก สังคมตะวันออก ผู้หญิงในประเทศโลกที่สาม หรือประเทศกำลังพัฒนา การเป็นนักมานุษยวิทยาหญิงชนเผ่าพื้นเมือง และอื่น ๆ พวกเธอทำงานภาคสนามที่ต้องเผชิญโรคภัย อุบัติเหตุทางน้ำ ความโดดเดี่ยว และความไม่ยอมรับทางเพศ ขณะทำงานภาคสนามในพื้นที่ห่างไกลที่สังคม หรือผู้ชายมองว่า ผู้หญิงไม่ควรไป
ผู้หญิงเหล่านี้ไม่ได้แค่การเอารอดชีวิตแต่ยังเรียนรู้ภาษา เรียนรู้วัฒนธรรม สร้างสัมพันธ์ และเก็บข้อมูลอย่างละเอียด — ไม่ว่าจะเป็นการเขียนบันทึก ภาพถ่าย หรือการสะสมวัตถุ ซึ่งล้วนสะท้อนความเป็นมนุษย์ในบริบทต่าง ๆ อย่างลึกซึ้ง
ตัวอย่างเชิงรูปธรรมที่น่าสนใจ ในหนังสือ คือการ ปฏิบัติภารกิจที่น่าประทับใจและตื่นเต้น ท้าทายของนักมานุษยวิทยาหญิง ตัวอย่างเช่น
Barbara Freire-Marreco ที่มีการลงสำรวจภาคสนามในท้องถิ่นของ Pueblo ใน New Mexico และ Yavapai ใน Arizona ระหว่างปี 1910–1913 เธอมีความสามารถเก่งถึงขั้นพูดภาษา Tewa และ Yavapai ได้ ใช้ภาษาในการช่วยชุมชนเรียกร้องสิทธิทางกฎหมายและทรัพยากรน้ำ
Maria Czaplicka ที่ได้เดินทางไป Siberia ในปี 1914–1915 เพียงลำพัง เธออาศัยร่วมกับกลุ่มผู้เลี้ยงกวางเรนเดียร์ และหลังกลับอังกฤษ กลายเป็นผู้หญิงคนแรกที่เป็นอาจารย์มานุษยวิทยาที่ Oxford
Beatrice Blackwood ที่ได้ลงสำรวจและศึกษาภาคสนามในอเมริกาเหนือ แล้วเดินทางต่อไปยังหมู่เกาะ Melanesia เช่น Papua New Guinea ในเวลาต่อมาเธอกลายมาเป็นผู้บริหาร Pitt Rivers Museum และอาจารย์ที่ Oxford
Mākereti (Makereti) นักเรียนมานุษยวิทยาชาว Māori คนแรกใน Oxford หลังจากนั้นใช้ชีวิตในอังกฤษ แต่ยังกลับไปวิจัยวัฒนธรรม Māori เธอถือเป็นผู้บุกเบิกด้านคนพื้นเมืองผู้เขียนเกี่ยวกับตนเอง ในวงการมานุษยวิทยา
Elsie McDougall หญิงม่ายที่รอดชีวิตจากอุบัติเหตุทางน้ำ (shipwreck ในปี 1935) เธอลงพื้นที่ภาคสนามใน Mexico และ Guatemala ระหว่างปี 1926–1940 เก็บงานผ้าถักทอและเรียนรู้เทคนิคท้องถิ่นอย่างเชี่ยวชาญ
หนังสือปลุกเร้าและสร้างแรงบันดาลใจ ด้วยเรื่อง เล่าการเดินทางที่เปี่ยมการผจญภัย และการทำงานภาคสนามในบริบทจริง สะท้อนความกล้า การท้าทายขีดจำกัดของบทบาทเพศ และของสังคมที่ไม่เชื่อว่าผู้หญิงทำได้ โดยเน้นความละเอียดของการบันทึก: ทั้งในด้านวัฒนธรรม ภาษา และมนุษย์ ที่สะท้อนประณีตของงานมานุษยวิทยา นอกจากนี้หนังสือยังให้ภาพผ่านภาพถ่ายและวัตถุประกอบในหนังสือ ทำให้เห็นภาพชีวิตในอดีตอย่างชัดเจนมากขึ้น
หากมองผ่านกรองแนวคิดเรื่องเพศ น.มีแววคิดสำคัญคือ Gender and Anthropology โดยผู้หญิงในโลกวิชาการต้นศตวรรษที่ 20 ต้องฝ่าด่านอคติ งานภาคสนามของพวกเธอพิสูจน์ให้เห็นอจ้างขัดเจน ว่าการวิจัยไม่ได้มีเพศ
ในแง่ของวิธีการศึกษา การลงพื้นที่ไม่ใช่แค่เก็บข้อมูล แต่เป็นการผจญภัยที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง การอยู่กินกับชุมชน การเรียนภาษา และการเผชิญอันตรายคือ การเรียนรู้แบบมีชีวิตร่วมกัน ภายใต้สภาวะแบบ Cross-Cultural Encounters นักมานุษยวิทยาหญิงแต่ละคนไม่ได้เพียงศึกษาแต่เข้าไปใช้ชีวิตด้วย เช่น การเรียนรู้การทอผ้า, การเข้าร่วมพิธีกรรม, การใช้ภาษาในระดับเจ้าของภาษา
ปรากฏการณ์เหล่านี้ สะท้อนภาวะการทำลายขอบเขต( Breaking Boundaries )ทั้งในเชิงพื้นที่ ไปยัง Siberia, Melanesia, New Mexico ฯลฯ รวมถึงขอบเขตในเชิงสังคม เช่น การฝ่าข้อห้ามของเพศหญิง ในการใช้ชีวิต การเดินทาง การศึกษา ในการเข้าสู่ตำแหน่งอาจารย์/นักวิจัยที่ไม่เคยมีผู้หญิงมาก่อน
นักมานุษยวิทยา นักวิจัยเหล่านี้ไม่เพียงเก็บข้อมูล แต่ยังเกี่ยวพันกับอำนาจ เช่น การช่วยชุมชนพื้นเมืองต่อสู้ทางกฎหมาย, หรือการถูกดึงเข้าสู่สงคราม (กรณี Ursula Graham Bower) ที่สะท้อนความสัมพันธ์ของความรู้และอำนาจ
เรื่องราวเหล่านี้สร้างแรงบันดาลใจให้คนรุ่นหลังทำให้เห็นว่ามานุษยวิทยาไม่ใช่วิชาของผู้ชายผิวขาว เท่านั้นแต่ผู้หญิงและคนพื้นเมืองก็มีบทบาทเช่นกัน
โดย สรุป Intrepid Women: Adventures in Anthropology ถือเป็นหนังสือเล่มงามที่ถ่ายทอดเรื่องราวนักมานุษยวิทยาหญิงผู้กล้าในโลกที่ผู้หญิงถูกคาดหวังให้อยู่เฉย ๆ ผ่านเรื่องราวการเอาตัวรอด การเรียนรู้ภาคสนาม และการบันทึกที่เข้มข้น พร้อมภาพประกอบและวัตถุจริงจากงานภาคสนามที่น่าสะสมมากครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น